ตอนที่ 10 มองย้อนอดีต (1)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เนื่องจากนายท่านเยี่ยนกระตือรือร้นจะไปให้ถึงลี่โจวแต่เนิ่นๆ จึงรีบเร่งเดินทาง กลุ่มคณะก็มาถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ลี่โจวที่สุดในตอนโพล้เพล้ของวันที่สิบ ใช้เวลาเพียงครึ่งวันจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไปยังลี่โจว ถ้าไม่ใช่ซั่งกวนจิ่นยืนยันจะค้างแรมที่นี่ เพื่อพักผ่อนสักหน่อย นายท่านเยี่ยนคงจะรีบไปถึงลี่โจวในเวลาอันรวดเดียวอย่างแน่นอน

“คุณหนู เราจะไปถึงลี่โจวตอนเที่ยงวันพรุ่งนี้ แม่นมฉินบอกว่าเร่งรีบเดินทางหลายวัน ไม่ได้ดูแลให้ดี ผิวพรรณของคุณหนูแห้งเล็กน้อย แม่นมฉินจึงสั่งเป็นพิเศษว่าแม่นมฉินจะรับใช้อาบน้ำให้คุณหนูเองในตอนเย็นเจ้าค่ะ” หลังอาหารค่ำ จื่อ หลัวกับลู่หลัวรับใช้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กับซั่งกวนจิงอิ๋งแล้วกลับไปที่ห้องพัก จากนั้นคุยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม

“ข้ารู้แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ฉี่เซียงกับลี่เซียงของแม่นมฉินนั้นฉลาด พวกเจ้าสองคนก็ไปรับใช้คุณหนูซั่งกวนให้ดีในตอนกลางคืน ไม่ต้องฟังคำสั่งใคร!”

“ข้าไม่เป็นไร!” จิงอิ๋งส่ายหัวระรัวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าทำทุกอย่างได้เอง ไม่ต้องให้พวกนางมารับใช้หรอก”

“ไม่ได้หรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์บีบจมูกของนางด้วยความเอ็นดูพลางกล่าวว่า “แม้จะนั่งรถม้าในการเดินทางคราวนี้ แต่ก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีสาวใช้แข็งแกร่งอยู่เคียงข้างเจ้าเลย พวกนางจะรับใช้อาบน้ำให้เจ้าได้พักผ่อน จะพูดได้อย่างไรว่าไม่เป็นอะไร?”

“งั้นก็ได้” จิงอิ๋งไม่ปฏิเสธ แต่เพียงสิบวันเท่านั้นเอง นางก็ถูกจื่อหลัวกับลู่หลัวรับใช้จนลืมสาวใช้ข้างกายตัวเองไปแล้ว…บางทีอาจเป็นภาพลวงตาของนาง หรือเป็นกลิ่นหอมของกระถางธูปห้องข้างๆ นางมักจะรู้สึกว่าจื่อหลัวกับลู่หลัวละเอียดรอบคอบมากกว่าสาวใช้ที่อยู่กับนางมาห้าหรือหกปี ซึ่งเกือบจะไล่เลี่ยกับแม่นมที่เลี้ยงดูนางมา

“และแม่นมจ้าวบอกว่าจะให้สาวใช้ตัวน้อยทั้งสี่คนนั้นมาพบท่านเจ้าค่ะ” จื่อหลัวพูดต่อ “คุณหนู ข้าคิดว่าพวกนางฉลาดมาก ท่าทางกระฉับกระเฉงหน่วยก้านดี สมแล้วที่ท่านป้าโม่เตรียมไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ”

“ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า นางยังไม่เห็นสาวใช้ตัวน้อยทั้งสี่ที่ว่ากันว่าดีมาก และจะได้ดูว่าเป็นคนแบบไหนจึงพูดขึ้นว่า “ให้แม่นมจ้าวพาพวกนางเข้ามาก่อน พูดคุยกับพวกนางแล้วข้าค่อยอาบน้ำแล้วกัน”

“เจ้าค่ะ คุณหนู!” จื่อหลัวรับคำแล้วออกไป

“พี่สะใภ้ ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนแล้ว คืนนี้จะไม่มารบกวนเจ้า” แล้วจิงอิ๋งก็ยังขยิบตาให้บอกเป็นนัย ไม่ได้อยู่ต่ออย่างรู้จักกาลเทศะ

“ไปเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ไม่ได้แกล้งรั้งนางไว้ พรุ่งนี้ก็จะถึงลี่โจว นางมีบางอย่างจะพูดกับแม่นมจ้าวและแม่นมฉิน ส่วนพวกนางก็ย่อมมีความในใจที่อยากจะอธิบายกับตัวเองเช่นกัน

ทันทีที่ซั่งกวนจิงอิ๋งกับลู่หลัวจากไป แม่นมจ้าวก็พาสาวใช้สี่คนที่อายุสิบสี่สิบห้าปีเข้ามา ในขณะที่จื่อหลัวยืนเฝ้าอยู่ข้างประตูเพื่อไม่ให้ใครมารบกวน เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง บนใบหน้าเผยให้เห็นความประหลาดใจที่ยากจะปกปิดได้

“คุณหนู พวกนางทั้งสี่เป็นสาวใช้สินเดิมที่ป้าโม่เตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว ป้าโม่บอกว่า แม้พวกนางล้วนจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ตระกูลซั่งกวนแตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ได้เป็นบ่าวไพร่ในบ้าน และไม่ได้รับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูเป็นเวลานาน จึงต้องเป็นสาวใช้ชั้นสามเท่านั้น รอจนกระทั่งคุณหนูคิดว่าพวกนางไม่เลวใช้ได้ จึงค่อยเลื่อนตำแหน่งให้พวกนางเจ้าค่ะ” แม่นมจ้าวเห็นได้ชัดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจกับหน้าตาของสาวใช้ทั้งสี่คนนี้ ซึ่งดูสวยงามและถูกใจไม่น้อย ไม่ด้อยไปกว่าจื่อ หลัวกับลู่หลัวแม้แต่น้อย

“อื้ม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลดความแปลกใจบนใบหน้าลง พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าชื่ออะไรบ้าง? เก่งทางด้านไหน? พูดทีละคนเถอะ”

“บ่าวชื่อเซียงเสวี่ย เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าแต่งตัว ผมมวยทุกแบบ การแต่งกายทุกประเภทบ่าวเรียนรู้มาหมดแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนแรกพูดจาชัดถ้อยชัดคำ โดยไม่ตกประหม่าเลยสักนิด

“บ่าวชื่อจื่ออวิ๋น เรียนรู้วิธีชงชา ชงชาทุกชนิดได้อย่างพอเหมาะพอดี และก็เรียนรู้สุรากับอุ่นสุราด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้คนที่สองพูดต่อ

“บ่าวชื่อเซียงชุ่ย เรียนรู้งานในครัว ทำขนมกับยารักษาโรคได้ทุกชนิดเจ้าค่ะ”

“บ่าวชื่อจินหรุ่ย ถนัดงานเย็บปักถักร้อยเจ้าค่ะ”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ดีมาก! แม่นมจ้าว อย่างที่เจ้าว่าไว้ ให้พวกนางเป็นสาวใช้ชั้นสามก่อนชั่วคราว เซียงเสวี่ยกับจื่ออวิ๋นอยู่รับใช้ใกล้ๆ ข้าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป และช่วยเป็นลูกมือให้จื่อหลัวกับลู่หลัว เซียงชุ่ยและจินหรุ่ยยังคงติดตามแม่นมจ้าวเหมือนเดิม หลังจากงานแต่งค่อยจัดการกันอีกที!”

“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ทั้งสี่ตอบอย่างเคารพนบนอบ

“แม่นมฉินเห็นพวกนางหรือยัง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามอย่างสบายๆ นางเชื่อว่าแม่นมฉินต้องเห็นพวกนางอย่างแน่นอนเมื่อพวกนางมาถึงบ้านของตระกูลเยี่ยนเป็นครั้งแรก

“ได้เห็นแล้ว ได้ยินมาว่าตอนที่ป้าโม่ซื้อพวกนางไว้ แม่นมฉินก็ให้ผ่านการทดสอบเช่นกัน และแม้แต่ชื่อของพวกนาง แม่นมฉินก็ตั้งให้” แม่นมจ้าวตอบทันที โดยรู้ว่าแม้นางจะเป็นคนแรกที่ดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่แรก แต่ตำแหน่งของนางในหัวใจของคุณหนูไม่มีทางข้ามป้าโม่กับแม่นมฉินไปได้

“เมื่อได้ยินชื่อนี้ก็รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่นมฉิน พวกนางจะต้องได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษจากแม่นมฉินเป็นแน่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหลือบมองไปที่เซียงเสวี่ยซึ่งไม่โดดเด่นนักในบรรดาทั้งหมด แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้เถอะ!”

“เชิญคุณหนูพักผ่อนให้สบาย!” แม่นมจ้าวคำนับ แล้วจากไปพร้อมกับสาวใช้ทั้งสี่ จื่อหลัวซึ่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูก็เข้ามาทันที

“คุณหนู ข้าคิดว่าพวกนางหาตัวจับยาก ไม่รู้จริงๆ ว่าป้าโม่ซื้อสาวใช้ที่ดีขนาดนี้มาจากใครกัน” จื่อหลัวพูดอย่างจริงใจ นางรู้ดีว่า คุณหนูของตัวเองขาดคนรับใช้ ส่วนพวกนางที่เพิ่มเข้ามาแม้จะไม่เพียงพอ แต่ก็ยังดีที่รักษาหน้าไว้ได้

“ป้าโม่ซื้อพวกนางเมื่อนานมาแล้ว ต้องใช้เวลาอย่างมากในการฝึกฝน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์บอกกับจื่อหลัวอย่างไม่ปิดบังว่า“เมื่อเห็นพวกนางข้าถึงนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง ในปีนั้นที่แม่จากไป ฮูหยินซั่งกวนให้เงินแก่แม่นมฉินห้าพันตำลึงเป็นการส่วนตัว โดยบอกว่าเพื่อให้ข้าไว้ฝึกสาวใช้ส่วนตัวที่มีฝีมือสักสองสามคนจะได้มีชีวิตที่ดีในช่วงสามปีที่ไว้ทุกข์ ถึงแม้จะไม่ดีนัก แต่ก็ใช้งานได้ สันนิษฐานว่าจะต้องเป็นพวกนาง!”

“เงินห้าพันตำลึง?” จื่อหลัวตกตะลึงอ้าปากค้าง ชิงหลัวก็ถือว่าดีเช่นกัน แต่นางขายตัวด้วยเงินเพียงห้าตำลึง สี่คนนี้เป็นเพียงแค่สาวใช้ที่บอบบางต้องใช้เงินไปมากขนาดนี้เชียวหรือ? นางพูดไม่ออกเลยสักนิด!

“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่พวกนางทั้งสี่คนที่ใช้เงินมหาศาลขนาดนั้น! ตามนิสัยของแม่นมฉินกับท่านป้า คงต้องซื้อผู้ฝึกสอนที่ฉลาดเฉลียวมากกว่าสิบคน แล้วจึงคัดเลือกออกมา แต่ถึงอย่างไรพวกนางยังเด็ก ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับข้าขนาดนั้น เป็นสาวใช้ชั้นสามก็เพียงพอแล้ว! จื่อหลัว ต่อไปเจ้าผ่อนคลายบ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองเหมือนอย่างที่ผ่านมา มอบหมายให้พวกนางทำก็ได้ พรุ่งนี้จะถึงลี่โจวแล้ว ตระกูลซั่งกวนจะส่งสาวใช้บางส่วนมาเป็นแน่ เจ้าจะให้พวกนางดูเบาไปไม่ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเตือน

“จื่อหลัวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าจะเตือนลู่หลัว เพียงแต่ชิงหลัวนั้น…”

“นางเป็นคนฉลาดคิดออกว่าตัวเองจะอย่างไร ไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เคียงข้างข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตัดสินใจอนาคตของชิงหลัวอย่างแผ่วเบา

“จื่อหลัวรับทราบเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวรู้ว่านางควรทำอะไร ในขณะที่พูดคุยกันก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู

“แม่นมฉินมาเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้เมื่อแม่นมฉินเข้ามาหา แต่นางก็ไม่ได้สนใจจนเป็นนิสัย และไม่พูดจนกว่าพวกนางจะเคาะประตู

แม่นมฉินเป็นแม่นมคนโตในบรรดาแม่นมทั้งสามคน อายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว นางเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูมารดาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางเป็นคนประณีตที่สุด และสอนมารยาทโดยทั่วไปให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ตั้งแต่มารดาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียชีวิต นางได้อุทิศตัวให้กับพระพุทธศาสนา โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น เพื่อชี้แนะบางสิ่งบางอย่าง

สาวใช้สองสามคนที่อยู่ข้างหลังแม่นมฉินยื่นมือเข้ามา เพื่อเตรียมอาบน้ำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ เมื่อน้ำร้อนพร้อม นอกจากแม่นมฉินกับจื่อหลัวแล้วทุกคนรู้จักกาลเทศะก็ออกไป ในขณะที่จื่อหลัวกำลังรับใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์แช่ตัวในอ่างอาบน้ำ จากนั้นก็ออกไปอย่างเชื่อฟังและเฝ้าอยู่นอกประตู

“คุณหนูโตแล้ว” แม่นมฉินหวีผมงามสลวยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยตัวเอง กำผมยาวดำขลับนุ่มละมุนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ในมืออย่างอารมณ์ดีมาก

เยี่ยนมี่เอ๋อร์นิ่งเงียบไม่ได้พูด นางรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่นางจะพูดคุย และรู้ว่าพรุ่งนี้จะไปถึงลี่โจว แม่นมฉินจะต้องมีเรื่องมากมายที่จะกำชับตัวเอง ไม่ว่านางจะตั้งใจฟังหรือจะทำตามความคิดของแม่นมฉินหรือไม่ ก็จำเป็นต้องฟังสิ่งที่นางจะพูด

“ตอนที่พูดคุยเรื่องการแต่งงาน ฮูหยินซั่งกวนส่งคนสนิทให้นำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้บ่าว” แม่นมฉินลูบผมงามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เบาๆ ด้วยจ้าวเจี่ยว[1] ชนิดพิเศษ แล้วกล่าวว่า “ฮูหยินซั่งกวนตอนสมัยยังเด็กนั้นสนิทสนมกับคุณหนูฉิงอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่มิตรภาพที่ลึกซึ้ง แล้วตระกูลจงมีนายหญิงสนมชั้นสูง ซึ่งเป็นน้องสาวของนายท่านผู้เฒ่า นายหญิงผู้นั้นมีองค์หญิงเพียงคนเดียว ส่วนน้องสะใภ้ของราชบุตรเขยคือคุณหนูท่านหนึ่งจากตระกูลหวงฝู่ เกี่ยวข้องเป็นญาติห่างๆ กัน”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ‘อืม’ คำเดียว โดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา

คุณหนูฉิงที่แม่นมฉินพูดถึงนั้นเป็นมารดาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งมีนามว่าจงเสวี่ยฉิง เป็นบุตรสาวคนเดียวซึ่งเป็นลูกคนที่สามของตระกูลจง หลังจากที่นางเสียชีวิตไป ห้องของลูกคนที่สามของตระกูลจงก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง

“เมื่อคุณหนูฉิงอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปี ก็เริ่มเป็นหญิงสาวที่มากความสามารถแล้ว รูปร่างหน้าตาของนางสะสวยงดงามมาก ก่อนที่นางจะถึงวัยปักปิ่น[2] ใครก็ตามที่ต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลจงก็ต้องก้าวข้ามธรณีประตูของตระกูลจงไปให้ได้…” แม่นมฉินหยุดเล็กน้อยครู่หนึ่ง ราวกับจำภาพในวันวานนั้นได้

“นายท่านใหญ่ของตระกูลจงกล่าวทำนองเดียวกันกับผู้มาขอหมั้นทุกคน โดยบอกว่าจะต้องรอจนกว่าคุณหนูฉิงถึงวัยปักปิ่นก่อนจึงจะพูดคุยเรื่องการแต่งงาน ปฏิเสธทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น ในเวลานั้นบรรดาหญิงสาวของเซิ่งจิงต่างรู้สึกภาค ภูมิใจที่ได้คบหากับคุณหนูฉิง ฮูหยินซั่งกวนยังมาที่เซิ่งจิง แล้วตั้งใจไปเยี่ยมคุณหนูฉิงโดยบังเอิญครั้งหนึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จนได้รู้จักกัน” แม่นมฉินตักน้ำล้างฟองออกจากผมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แล้วชโลมด้วยน้ำมันหอมระเหยของกลิ่นดอกถาน

ฮวา ถูเบาๆ ให้กลิ่นหอมนั้นซึมซับเข้าสู่เส้นผม

“ฮูหยินซั่งกวนยังไม่เป็นที่รู้จักในเวลานั้น แม้จะเป็นบุตรสาวจากฝ่ายภรรยาหลวงของตระกูลหวงฝู่ แต่นางก็มีพี่สาวท้องเดียวกันคนหนึ่ง พี่สาวต่างมารดาสามคนล้วนมีชื่อเสียง เป็นคนมีเชาวน์ปัญญา เก่งยอดเยี่ยม อ่อนโยนดั่งสายวารี วรยุทธ์ล้ำเลิศ แม้น้องสาวท้องเดียวกับนางจะอายุน้อย แต่เพราะนายท่านของตระกูลหวงฝู่โปรดปราน จึงไม่มีชื่อเสียงอะไรจากภายนอก แต่ในครอบครัวกลับค่อนข้างมีหน้ามีตา มีเพียงฮูหยินซั่งกวนคนเดียวที่มีชาติกำเนิด มีความสามารถและรูปโฉมโนมพรรณดูโดดเด่น แต่ก็มักจะเทียบกับพี่น้องพวกนั้นไม่ได้ เป็นคนที่ถูกมองข้ามจากที่บ้านเสมอ” แม่นมฉินเล่าเรื่องเก่าๆ ในตอนนั้นอย่างสั้นๆ และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตั้งใจฟัง

“จำได้ว่าครั้งแรกที่นางได้พบกับคุณหนูฉิงนั้นบังเอิญพบกับคุณหนูชนชั้นสูงหลายคน ในขณะที่คุณหนูฉิงกำลังวาดภาพอยู่ในป่าไผ่ ได้ยินมาว่ามีคุณหนูผู้หนึ่งมาจากตระกูลหวงฝู่ที่ไม่มีมิตรสหาย และไม่เคยได้ยินว่าจะมาเยี่ยมเยียน บรรดาคุณหนูที่หยิ่งยโสเหล่านั้นต่างพากันหัวเราะเยาะเซ็งแซ่ แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด คุณหนูฉิงซึ่งไม่เคยชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จักทว่ากลับชวนนางเข้าไปในจวน นับเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยมีมาก่อน และชื่นชอบนางในแวบแรก ต่อมาทั้งสองค่อยๆ คุ้น เคยกัน ฮูหยินซั่งกวนอยู่ที่เซิ่งจิงใช้เวลาสั้นมาก นับตั้งแต่ที่คุณหนูฉิงรู้จักกับนาง จนถึงเวลาที่แยกจากกัน เป็นเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น แต่ในช่วงสองเดือนนั้น คุณหนูฉิงไม่เพียงแนะนำฮูหยินซั่งกวนถึงวิธีจัดการกับผู้อื่นอย่างลับๆ ยังบอกวิธีใช้จุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อน วิธีแสดงความสามารถของตัวเองออกมาโดยไม่ทำให้คนอื่นไม่พอใจ แล้วใช้ความเป็นเพื่อนของนางผลัก ดันฮูหยินซั่งกวนให้มีชื่อเสียงอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งฮูหยินซั่งกวนออกจากเซิ่งจิงไป นางจึงได้กลายเป็นหญิงสาวชั้นสูงที่มีชื่อ เสียงในเมืองเซิ่งจิง แรงผลักดันของชนชั้นสูงที่เหนือกว่า เมื่อเทียบกับคุณหนูคนอื่นๆ ในตระกูลหวงฝู่ ต่อมาฮูหยินซั่งกวนได้แต่งงานกับลูกชายคนโตของตระกูลซั่งกวน แน่นอนว่าเป็นเพราะมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างสองตระกูล แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็เป็นเพราะสถานะของนางในตระกูลหวงฝู่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นนางจึงรู้สึกซาบซึ้งใจคุณหนูฉิงเป็นอย่างมาก”

จากคำพูดของแม่นมฉินนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้แปลกใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เองรู้ดีว่ามารดาฉลาดแค่ไหน แต่ถึงขั้นขยายเรื่อง ราวได้เก่งกว่ามารดา เหมือนได้ส่งวิญญาณของมารดากลับมาหาแม่นมฉินถึงได้รู้ดีเช่นนี้

—————————————————

[1] จ้าวเจี่ยว เป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง กิ่งมีหนาม รูปร่างคล้ายฝักถั่ว ใช้ขจัดคราบสกปรก จึงนำมาใช้ทำยาสระผมและสบู่ได้

[2] วัยปักปิ่น คือช่วงวัยของเด็กสาวที่มีอายุครบสิบห้าปี ถือเป็นวัยที่ออกเรือนได้แล้ว