ตอนที่ 11 มองย้อนอดีต (2)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คุณหนูฉิงเป็นผู้ที่เดินหนึ่งก้าวแล้วมองไปที่หนึ่งร้อยก้าวเสมอ ในเวลานั้นบ่าวไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูฉิงจึงผูกพันกับฮูหยินซั่งกวนขนาดนั้น การให้คำแนะนำอย่างลับๆ ก็พอแล้ว ยังจะช่วยเหลือซึ่งหน้าอีกด้วย…” แม่นมฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชมแล้วเล่าว่า “จนกระทั่งต่อมา เมื่อสิบห้าปีก่อน ตอนที่คุณหนูฉิงกับฮูหยินซั่งกวนกลับมาพบกันอีกครั้งโดยไม่คาดคิด บ่าวถึงเข้าใจว่า คุณหนูฉิงหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองและลูกหลานของนาง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับพลัน”

อดีตของจงเสวี่ยฉิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวของนางในเซิ่งจิงนั้นแม่นมฉินกับป้าเซียงยังคงปิดปากเงียบ แม้แต่นายท่านเยี่ยนจะรู้จักแค่ไท่ไท่รองของเขา ซึ่งเข้าพิธีแต่งงานเป็นภรรยาผิงชี แต่เหมือนอนุภรรยาที่เคยมีศักดิ์ศรีเช่นภรรยาทั่วไป ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ใช่สิ่งที่พ่อค้าอย่างเขาจะรู้ได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้เรื่องเล็กน้อยจากปากของป้าโม่ แต่จากคำพูดไม่กี่คำเหล่านั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดเดาได้ว่ามารดาเคยมีหน้ามีตามากแค่ไหน และรู้ด้วยว่าเหตุการณ์ของอ๋องเหยี่ยนในปีนั้นทำให้มารดาเกือบจะพบเจอหายนะ ยิ่งรู้ถึงหายนะเช่นนี้ แม้ทางฝ่ายตาจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก จนทิ้งเกียรติยศกับความมั่งคั่ง ในท้ายที่สุดมารดาก็ต้องเตรียมการมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อหนีเอาตัวรอดให้ได้ ฮูหยินซั่งกวนก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้นที่เข้ามาช่วยเหลือ

“ข้าไม่เข้าใจมาตลอด ว่าเหตุใดมารดาถึงเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์อ๋องเหยี่ยน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดมาคำหนึ่งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงความงุนงงและทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะของแม่นมฉินที่อยู่ข้างหลังนางอย่างฉับไว

“ป้าโม่บอกกับคุณหนูแล้วสินะ” แม่นมฉินกลับมารู้สึกตัว แล้วห่อผมสลวยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยผ้าไหมผืนหนึ่ง กลิ่นหอมของดอกถานฮวานั้นจางมากและระเหยง่าย ต่อให้จะผ่านการกลั่นมาแล้วก็ตาม น้ำมันหอมระเหยก็ยังเก็บไว้ในเส้นผมได้ยากมาก หากไม่ทำเช่นนี้ พรุ่งนี้กลิ่นหอมจะอ่อนเกินไปจนแทบไม่ได้กลิ่น

“ท่านป้าเอ่ยเพียงเล็กน้อย เมื่อเล่าว่าฮูหยินซั่งกวนกับมารดาเป็นคนรู้จักกันมาก่อน แต่สิ่งที่นางรู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็คือยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่มาแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ทำให้ข้าก็รู้น้อยลง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ปิดบัง บอกแม่นมตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะเป็นมารดาหรือแม่นมฉินต่างรู้ว่าป้าโม่ผิดปกติ พวกนางจึงทำเมินเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะเชื่อว่าป้าโม่จะไม่ทำอะไรที่ไม่ดีกับตัวเอง

“ตอนนี้คุณหนูไม่รู้เรื่องพวกนั้นยังจะดีกว่า!” แม่นมฉินพูดอย่างขมขื่นเล็กน้อย “ถ้ามีวันหนึ่ง จำเป็นต้องให้คุณหนูรู้เรื่องเหล่านี้ บ่าวจะบอกทุกอย่างที่รู้อย่างหมดเปลือกแน่นอน”

“อื้ม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ซักถาม นางเข้าใจบางสิ่งบางอย่างมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่รู้ว่านั่นคือความสุข

“ตอนที่พวกนางพบกัน ฮูหยินซั่งกวนเพิ่งอยู่ในวัยปักปิ่น แต่คุณหนูฉิงยังเป็นเด็กวัยแรกแย้มอายุสิบเอ็ดขวบเท่านั้น หน้าตาและนิสัยใจคอของนางเปลี่ยนไปมาก เพื่อนทั้งสองไม่ได้พบกันมาแปดเก้าปี แม้จะพบกัน คุณหนูฉิงจำนางไม่ได้ และนางก็จำคุณหนูฉิงไม่ได้เช่นกัน แม่นมสีที่อยู่รับใช้ฮูหยินซั่งกวนจำบ่าวได้ จากนั้นนายหญิงทั้งสองก็จำกันและกันได้” แม่นมฉินเล่าอดีตว่า “ตอนนั้นฮูหยินซั่งกวนกำลังตั้งท้องคุณหนูรองซั่งกวนจิงอิ๋ง พูดตามเหตุผลแล้ว ควรจะเป็นเรื่องมงคล แต่แทนที่ใบ หน้าของนางจะแสดงความยินดี กลับกระอักกระอ่วนใจ คุณหนูฉิงพูดเพียงไม่กี่คำ ก็รู้ว่าฮูหยินซั่งกวนที่เดิมทีดูเหมือนจะมีเกียรติอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นก็หน้าชื่นอกตรมเช่นกัน”

“ฮูหยินซั่งกวนได้พูดเรื่องงานหมั้นหมายกับตระกูลซั่งกวนเมื่อครึ่งปีหลังจากที่กลับไปถึงฝูโจวจากเซิ่งจิง ก่อนหน้านี้ตระกูลซั่งกวนไม่สนใจนาง ฮูหยินใหญ่ซั่งกวนชอบหลานสาวของตระกูลทั่วป๋า ในขณะที่นายท่านใหญ่ซั่งกวนชอบคุณหนูของตระกูลจือหยางชุย ทั้งคู่เป็นสุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น เนื่องจากสามีภรรยาไม่เห็นพ้องต้องกัน จึงปล่อยให้นายท่านซั่งกวนเลือกด้วยตัวเอง ส่วนนายท่านซั่งกวนตัดสินใจเลือกภรรยาจากตระกูลอื่น เพื่อแสดงว่าเขาไม่ได้เข้าข้างพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ดังนั้นฮูหยินซั่งกวนที่มีหน้ามีตามาสักระยะหนึ่งจึงเข้ามาในสายตาของตระกูลซั่งกวน ในปีต่อมา ทั้งสองก็แต่งงานกัน” แม่นมฉินเริ่มลูบหลังให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบาๆ ผิวพรรณของนางเนียนนุ่มและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติราวกับหยกเนื้อดีราคาแพง ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย เนื่องจากผิวละเอียดอ่อนมาโดยกำเนิดจึงถูกกระทบกระแทกเล็กน้อยไม่ได้ แรงที่หนักไปหน่อยจะทำให้เกิดรอยฟกช้ำและบวมได้ แม้หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์ของป้าโม่ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นก็ตาม

“ฮูหยินซั่งกวนก็เป็นคนมีวาสนาดีเช่นกัน เพิ่งแต่งงานก็มีข่าวมงคลออกมา ภายในปีนั้นก็ได้ลูกชายในบัดดล ไม่ต้องพูดถึงฐานะที่มั่นคง ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากพ่อสามี แต่ช่วงเวลาดีๆ มีไม่นานนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร อีกสองปีให้หลังก็ไม่มีข่าวคราว นางไม่เพียงวิตกกังวลใจ แต่ยังทำให้เกิดเรื่องบางอย่าง ประการแรกฮูหยินใหญ่ซั่งกวนให้ลูกชายแต่งกับสาวใช้ใหญ่ที่ชื่อหนิงซินเป็นเมียบ่าว หนิงซินคนนั้นก็ใจสู้มากเช่นกัน ไม่ถึงครึ่งปี ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นอนุภรรยา หลังแต่งงานทั้งฮูหยินซั่งกวนกับนายท่านซั่งกวนก็ผูกพันรักใคร่กันดีมาโดยตลอด แม้กระทั่งจะมีหนิงซิน นายท่านซั่งกวนก็ยังคงห่วงใยและเกรงใจฮูหยินซั่งกวนเหมือนเช่นเคย แต่ฮูหยินซั่งกวนก็เป็นธุระจัดการให้เสียเอง ด้วยอนุภรรยาตั้งท้อง ไม่สามารถปรนนิบัติสามีได้ จึงแต่งหน้าทำผมให้สาวใช้ที่คอยดูแลประจำตัวมาแต่งงาน ให้นางไปปรนนิบัตินายท่านซั่งกวน หากตั้งท้อง เอามาเลี้ยงดูอยู่กับตัวเองได้ และยังช่วยเพิ่มคนงานที่บ้านได้อีกด้วย แต่ไม่คิดว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น นึกไม่ถึงว่าจะโดน

น่งอวิ๋นสาวใช้อีกคนที่นางไว้วางใจชิงขึ้นเตียงกับนายท่านซั่งกวนแทน…เรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่ได้ใหญ่โตหรือเล็กน้อย ถ้าพายเรือตามน้ำให้เป็นไปอย่างราบรื่น แค่ปล่อยให้น่งอวิ๋นเข้ารับตำแหน่ง ก็เท่านั้นเอง แต่เดิมทีฮูหยินซั่งกวนไม่มีประสบการณ์อะไรในเรื่องพวกนี้ แม่นมที่อยู่ข้างๆ นางก็ไม่ได้ชี้แนะเรื่องนี้ได้ทันกาล เมื่อฮูหยินซั่งกวนทราบเรื่องนี้เข้า นางไม่ได้ให้ฐานะกับน่งอวิ๋น ยังลงโทษสาวใช้ที่ไม่เชื่อฟังคนนี้อย่างรุนแรง น่งอวิ๋นเป็นคนที่มาจากสินเดิมของตระกูลหวงฝู่ ไม่ว่าจะถูกฮูหยินซั่งกวนทุบตีตายก็ดีหรือถูกขายไปก็ช่าง นายท่านซั่งกวนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่น่าเสียดายที่ฮูหยินซั่งกวนไม่ได้ให้นางดื่มยาต้มในวันรุ่งขึ้นที่น่งอวิ๋นปรนนิบัตินายท่านซั่งกวน น่งอวิ๋นจึงตั้งท้องจริงๆ และเพิ่งรู้ตอนที่ฮูหยินซั่งกวนลงโทษนางจนแท้งโดยไม่ได้ตั้งใจ”

“พวกคนโง่เขลา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงความคิดเห็นอย่างเรียบง่าย

“ช่างโง่จริงๆ” แม่นมฉินเห็นด้วยแล้วพูดต่อ “แต่สิ่งที่โง่กว่านั้นคือนางไม่ได้ตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด โดยจัดการน่งอวิ๋นให้เรียบร้อย แต่ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าน่งอวิ๋นนั้นดี ไม่เพียงเชิญหมอมาดูแลนางอย่างสุดชีวิต ทั้งยังทิ้งความหายนะนี้ไว้ที่บ้านของซั่งกวน”

“นางคิดว่าการทำเช่นนี้จะทำให้น่งอวิ๋นคนนั้นตื้นตันใจงั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจวิธีการของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนมีสมองควรทำ นับประสาอะไรกับนายหญิงระดับเจ้าบ้านต้องทำด้วยหรือ

“น่งอวิ๋นคนนั้นก็ซาบซึ้งใจจนร่ำไห้สะอึกสะอื้น แล้วสารภาพหมดเปลือก บอกว่านางไม่ควรทำเรื่องที่เนรคุณกับฮูหยิน ซั่งกวน นางไม่เพียงสาบานว่าจะภักดีต่อฮูหยินซั่งกวนตลอดไป ทั้งยังขอให้ส่งนางไปที่เรือนด้วยความสมัครใจ เพื่อไม่ให้นายท่านซั่งกวนรู้เรื่องนี้ เนื่องจากการแสดงของนาง ทำให้ฮูหยินซั่งกวนไม่ฟังคำแนะนำจากบรรดาแม่นมที่ให้จัดการกับน่งอวิ๋น แต่ส่งนางไปที่เรือนแห่งหนึ่งของตระกูลซั่งกวน และให้สถานะที่เหมาะสมกับนาง”

“เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ภัยจะถึงตัวเอาได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็มาจากครอบครัวใหญ่ น่าจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้มามาก ทำไมเมื่อถึงขั้นวิกฤติกลับทำผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้?

“ใช่แล้ว เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ภัยจะถึงตัว!” แม่นมฉินไม่แปลกใจเลยที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะตัดสินแบบนี้แล้วเล่าว่า “ตอนนั้นอนุภรรยาหนิงตั้งท้อง แต่เนื่องจากสุขภาพไม่ดีจึงเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ทุกคนในตระกูลซั่งกวนล้วนให้ความสนใจ โดยไม่ได้ห่วงใยความเป็นความตายของสาวใช้คนหนึ่ง จึงละทิ้งน่งอวิ๋นไปโดยปริยาย อนุภรรยาหนิงคนนั้นตั้งท้องสิบเดือน ให้กำเนิดลูกชาย ฮูหยินซั่งกวนก็พบว่าตัวเองตั้งท้องหลังจากนั้นไม่นาน สำหรับครอบครัวซั่งกวนแล้ว นี่เป็นความสุขสองเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย รวมถึงอนุภรรยาหนิงก็มีสถานะดีขึ้นด้วย”

“แต่ในขณะที่ฮูหยินซั่งกวนรู้สึกอิ่มเอิบภาคภูมิใจ นึกไม่ถึงว่าน่งอวิ๋นสบโอกาสที่นายท่านซั่งกวนพาฮูหยินไปพักผ่อนที่เรือนสวน ปีนขึ้นไปบนเตียงของนายท่านซั่งกวนอีกครั้งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วบอกว่าฮูหยินซั่งกวนทำร้ายนางอย่างไร พูดบิดเบือนความจริงว่าทำให้นางแท้งลูกแล้วร้องไห้คร่ำครวญอีกรอบ นายท่านซั่งกวนเกลียดเรื่องพรรค์นี้มากที่สุด สามีภรรยาทั้งคู่ทะเลาะกันครั้งใหญ่ ฮูหยินซั่งกวนหวิดจะแท้งลูก เด็กได้รับการช่วยเหลือในภายหลัง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มาถึงจุดเยือกแข็งที่พร้อมจะแตกหัก หลังคลอดคุณหนูใหญ่ของตระกูลซั่งกวน นายท่านซั่งกวนเพิกเฉยต่อการคัดค้านของฮูหยินซั่งกวน แล้วรับน่งอวิ๋นมาเป็นอนุภรรยา” ตอนนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ แม่นมฉินซับน้ำให้แห้งและสวมเสื้อคลุมให้นางอย่างนุ่มนวล

“เพื่อให้น่งอวิ๋นมีคู่ปรับ และเพื่อดึงหัวใจของนายท่านซั่งกวนกลับคืน ฮูหยินซั่งกวนจึงเป็นฝ่ายเสนอให้นายท่านซั่งกวนรับอนุภรรยา อนุภรรยาคนนั้นก็เชื่อฟัง ไม่เพียงเพิ่มลูกชายอีกคนให้กับตระกูลซั่งกวนในเวลาเพียงปีกว่าๆ และพยายามปรับความเข้าใจระหว่างสองสามีภรรยา หลังจากนั้นฮูหยินซั่งกวนก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง” แม่นมฉินไม่ได้เรียกสาวใช้มาทำความสะอาดภายหลัง แต่ยังคงพูดคุยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต่อไป

“หลังจากที่ฮูหยินซั่งกวนระบายความทุกข์กับคุณหนูฉิง คุณหนูฉิงก็ถามเรื่องราวอย่างละเอียดแล้วให้คำแนะนำสองประการ ประการแรก ในเมื่อน่งอวิ๋นยังไม่ได้ตั้งท้อง งั้นต่อไปก็อย่าให้นางตั้งท้องได้ ประการที่สอง ในเวลานั้น ตระกูลซั่งกวนยังคงอยู่ในมือของฮูหยินใหญ่แห่งซั่งกวน ฮูหยินใหญ่ซั่งกวนเป็นคนที่ชอบควบคุม อย่าต่อสู้ชิงอำนาจกับนาง ฮูหยินซั่งกวนเชื่อมั่นในตัวคุณหนูฉิงมาก จึงรับคำแนะนำทั้งสองข้อนี้โดยไม่ลังเล สีหน้าถึงดูมีความสุขขึ้นบ้าง”

“การแต่งงานของข้ากับซั่งกวนเจวี๋ยกำหนดไว้ในตอนนั้นงั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กังวลกับปัญหาของตัวเองมากขึ้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อขอให้หมั้นหมายกับลูกชายของนาง เพราะความซาบซึ้งใจ?

“เจ้าค่ะ!” คำตอบของแม่นมฉินทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบ้ปากอย่างเย้ยหยัน นี่ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจงั้นหรือ? มิน่าเล่าที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจึงดีกับตัวเองขนาดนั้น!

“เพียงแต่…การแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่ฮูหยินซั่งกวนเป็นฝ่ายเอ่ยปาก!” ทันใดนั้นแม่นมฉินก็ยิ้มพราย สีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดูไม่พอใจเล็กน้อยจึงคิดในใจว่า ‘หรือท่านแม่กลัวว่าเมื่อข้าโตขึ้นแล้วจะหาคนดีไม่ได้ จึงเอาหนี้บุญคุณมาบีบบังคับ? แต่ด้วยความฉลาดของท่านแม่ ไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้’

“และคุณหนูฉิงก็ไม่ใช่คนเอ่ยปาก!” แม่นมฉินก็รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่โดยไม่ต้องมองแล้วพูดว่า “ตอนที่คุณหนูฉิงพูดคุยกับฮูหยินซั่งกวนเสร็จแล้ว นายน้อยซั่งกวนในวัยเพียงเจ็ดขวบก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเห็นคุณหนูฉิงก็มึนงงอยู่พักหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า ‘ท่านป้าสวยจริงๆ ข้าจะแต่งงานกับท่านเมื่อโตขึ้นได้ไหม?’ ต่อให้เป็นคุณหนูฉิงก็หัวเราะชอบใจเมื่อถูกนายน้อยซั่งกวนกระเซ้าเย้าแหย่ ในตอนนั้นคุณหนูฉิงพูดก่นด่ากลั้วหัวเราะว่า ‘เจ้าเด็กแก่แดด รอเจ้าโตขึ้น ป้าก็จะแก่และไม่สวย!’ นายน้อยซั่งกวนดื้อดึงอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า ‘ไม่เป็นไร ข้าไม่รังเกียจท่าน!’ ”

“พูดแบบนี้ ซั่งกวนเจวี๋ยตกหลุมรักท่านแม่ตั้งแต่แรกเห็นงั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเสียงหลง นางรู้ว่ามารดางดงามมาก ความงามของนางแตกต่างจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้ทั้งมารดากับบุตรสาวจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกันแปดถึงเก้าส่วน แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเย็นชา มีท่าทีห่างเหินกับทุกคน แต่เมื่อเข้าใกล้นางก็จะพบว่านางอ่อนโยนที่สุด ในขณะที่จงเสวี่ยฉิงดูอ่อนโยนและมีน้ำใจ หากต้องการเข้าใกล้จะพบว่าเข้าถึงนางค่อนข้างเข้าถึงได้ยาก แน่นอนว่านี่เป็นเพียงนิสัยภายนอกของแม่ลูกคู่นี้ พวกนางเก็บอารมณ์ได้เก่ง ทั้งชีวิตของแม่นมฉินก็ไม่เข้าใจจงเสวี่ยฉิงอย่างละเอียดนัก ส่วนโม่อวี๋ฮวนรู้จักเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงเจ็ดหรือแปดส่วนก่อนตายเท่านั้น

“ลืมไปเถอะ! แต่เพราะคำพูดแบบเด็กๆ ของนายน้อยซั่งกวน จึงเตือนสติฮูหยินซั่งกวน ทำให้ฮูหยินซั่งกวนซักถามถึงชีวิตของคุณหนูฉิงในด้านอื่น เมื่อรู้ว่าคุณหนูฉิงมีลูกสาวคนหนึ่ง จึงทึกทักกำหนดการแต่งงานของพวกท่านเอาเอง เพียงแต่คุณหนูฉิงมีเงื่อนไขเพิ่มเติมในเวลานั้น นั่นคือจะพูดคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น จะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะชนชั่วคราว

รอจนกว่าคุณหนูถึงวัยปักปิ่นและนายน้อยซั่งกวนถึงวัยสวมหมวก[1] ทั้งสองครอบครัวจะหารือเรื่องการแต่งงานอีกครั้ง” นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินแม่นมฉินพูด

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้ามีสิทธิ์ถอนหมั้นใช่หรือไม่?” หัวใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จมดิ่งลง ทำไมไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับนาง?

———————————————

[1] วัยสวมหมวก ในสมัยโบราณ เมื่อชายหนุ่มมีอายุยี่สิบปีแล้วจะประกอบพิธีสวมหมวก ต่อมาหมายถึง ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี