ตอนที่ 12 มองย้อนอดีต (3)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คุณหนูฉิงนั้นเป็นห่วงว่าท่านเติบโตขึ้น มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่และมีความคิดมากขึ้น คุณหนูเจ้าคะ ในชีวิตนี้ของคุณหนูฉิง จะแบ่งใจเจ็ดส่วนนึกถึงผู้อื่น ส่วนสามส่วนจะคิดถึงตัวเอง ไม่เคยเก็บความรักไว้ทั้งหมดให้กับใครอย่างแท้จริงเลย จนกระทั่งมามีคุณหนู คุณหนูฉิงเป็นคนเย็นชามาตั้งแต่เล็ก ยกเว้นกับท่านแล้ว…ถ้าคุณหนูฉิงยังมีชีวิตอยู่ งั้นการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นจริงได้หรือไม่ก็ยังคงมีอยู่สองอย่าง แต่คุณหนูฉิงเป็นหญิงงามที่ชีวิตอาภัพ นางไม่ทันเห็นคุณหนูในวัยผู้ใหญ่ ในขณะที่คุณหนูฉิง กำลังจะสิ้นใจ นางก็ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ ว่าจะต้องทำให้การแต่งงานครั้งนี้กลายเป็นความจริง แม้อาจจะไม่ได้ทำให้คุณหนูมีความสุขไปตลอดชีวิต แต่ก็มีชีวิตที่สงบสุขและมั่งคั่งได้”

“ท่านแม่ฝากทางหนีทีไล่ไว้ที่ตระกูลซั่งกวนแบบไหน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเศร้าใจบ้างเล็กน้อย

“หลังจากที่คุณหนูฉิงกับฮูหยินซั่งกวนเคยพูดคุยเรื่องการแต่งงานของพวกท่านสองคน คุณหนูฉิงแอบซื้อแม่นมคนหนึ่งที่อยู่ประจำตัวน่งอวิ๋นคนนั้นไว้ มองออกว่าแม่นมคนนั้นจะให้ทางน่งอวิ๋นค่อยๆ ควบคุมเรื่องบางอย่างของตระกูลซั่งกวน

ฮูหยินซั่งกวนดูเหมือนจะเชิดหน้าชูตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จัดการงานในครอบครัวได้แต่ไม่มีอำนาจอย่างที่ใจปรารถนา อยู่ภาย ใต้การควบคุมของคนอื่น สำหรับเรื่องเหล่านี้ ฮูหยินซั่งกวนน้ำท่วมปาก ครั้งหนึ่งได้ขอความช่วยเหลือจากคุณหนูฉิงอย่างอ้อมๆ คุณหนูฉิงกล่าวว่า ประการแรกนางไม่ควรยื่นมือเข้าไปแทรกแซงงานในบ้านของตระกูลซั่งกวน ประการที่สองมันเหนือบ่ากว่าแรง ฮูหยินซั่งกวนก็เห็นด้วย จึงตั้งความหวังว่าจะหาทางออกที่สมบูรณ์แบบให้กับคุณหนูได้ นางเชื่อว่าคุณหนูจะต้องมีความงาม ความฉลาดและความสามารถเหมือนคุณหนูฉิง ถ้าทำให้การแต่งงานระหว่างนายน้อยซั่งกวนกับคุณหนูกลายเป็นความจริงได้ นางก็จะบรรลุความปรารถนาด้วยเช่นกัน”

“แล้วฮูหยินซั่งกวนจะให้ข้าแต่งงานกับซั่งกวนเจวี๋ยด้วยความรักงั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเยาะเย้ย มารดาพูดถูก นอกเหนือจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ตัดไม่ขาดแล้ว ไม่มีความรักที่ไร้เหตุไร้ผล และไม่มีความแค้นที่ไร้เหตุไร้ผลเช่นกัน เพียงแต่เหตุใดแม่นมฉินถึงพูดเรื่องพวกนี้กับตัวเองในเวลาอย่างนี้?

“ใช่! แต่คุณหนูฉิงยังลังเลในตอนสุดท้าย นางบอกว่าคุณหนูเยือกเย็นและฉลาด ทั้งเป็นคนที่มีความคิดอีกด้วย การแต่งงานครั้งนี้ยังคงต้องหารือกันอีก คุณหนูต้องไว้ทุกข์ให้กับคุณหนูฉิงเป็นเวลาสามปี ในสามปีนี้ถ้าคุณหนูคัดค้านการแต่งงานนี้ ก็ให้บ่าวทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันการแต่งงานนี้ออกไป!”

“เมื่อสามปีก่อน ที่หน้าห้องโถงไว้อาลัยของมารดา ฮูหยินซั่งกวนร้อนใจที่งานแต่งยังไม่ได้กำหนดขึ้น? แล้วเหตุใดจึงไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับข้า? และเหตุใดการแต่งงานครั้งนี้จึงเป็นไปอย่างราบรื่น?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าตัวเองก็เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่หลงเข้าไปในกับดักของนายพราน ทั้งกระสับกระส่าย อารมณ์ฉุนเฉียว และหวาดกลัว ล้วนประดังประเดเข้ามาในจิตใจ…

“เหตุผลที่ไม่บอกเรื่องนี้กับท่านเป็นเพราะนายท่านกับไท่ไท่! ท่านรู้เรื่องนี้ เท่ากับว่านายท่านกับไท่ไท่ก็รู้เช่นกัน! แม้จะกล่าวกันว่าการแต่งงานนี้คุณหนูฉิงพูดคุยกับฮูหยินซั่งกวน แต่คนที่กระตือรือร้นที่สุดกลับเป็นนายท่าน ตอนที่เขารู้เรื่องการแต่งงานนี้ แทบจะหัวเราะออกมา หากเขารู้เรื่องราวเบื้องหลัง เขาจะต้องส่งท่านไปที่ครอบครัวนั้นโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นเป็นแน่ และนั่นจะทำให้ท่านไร้ค่าในสายตาของตระกูลซั่งกวน คนที่อาจจะทำคือไท่ไท่ นางจะหาวิธีให้ท่านแต่งงานกับลูกผู้ ลากมากดีที่ทำตัวเสเพล หรือถึงขั้นให้แต่งเป็นอนุภรรยา”

แม่นมฉินเล่าอธิบาย เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดีว่าสิ่งที่นางพูดถึงคือความจริง แม้ตัวเองจะเอาแต่พูดว่าเพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้วออกจากตระกูลเยี่ยน แต่นั่นเป็นเพียงแค่การพูดคุยเท่านั้น ถ้าต้องการจากไปจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

“บ่าวก็เคยคิดเรื่องการแต่งงานนี้อย่างจริงจัง และเคยมีช่วงที่ลังเลใจ โดยเฉพาะวีรกรรมบางอย่างของนายน้อยซั่งกวน ทำให้บ่าวเป็นกังวลมาก และเป็นป้าโม่ที่พูดยืนยันการแต่งงานครั้งนี้” คำพูดของแม่นมฉินทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเหมือนเสียงฟ้าร้องดังกัมปนาทก้องอยู่ในหู เป็นป้าโม่ไปได้อย่างไร?

“เมื่อต้นปี ป้าโม่เคยคุยรายละเอียดกับบ่าวครั้งหนึ่ง นางเล่าเรื่องมากมาย นางบอกว่าเส้นตายของตัวเองใกล้เข้ามา แล้ว บอกว่าเป็นห่วงคุณหนู บอกว่านางได้ไปสืบข่าวของนายน้อยซั่งกวนทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาแล้ว ทั้งยังบอกด้วยว่านายน้อยซั่งกวนกับคุณหนูเป็นคู่ที่สวรรค์ส่งมาให้คู่กัน แล้วบอกอีกว่าคุณหนูจะมีความสุขมากแน่ๆ ที่ได้แต่งงานกับนายน้อยซั่งกวน! ดังนั้นบ่าวจึงบอกใบ้กับฮูหยินซั่งกวนว่าคุณหนูกำลังจะออกทุกข์ ไม่แปลกใจที่ตระกูลซั่งกวนจะมาเร่งเร้าปรึกษาเรื่องการแต่งงานทันที และนายท่านยังแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นยิ่งนัก แล้วตอบรับการแต่งงานครั้งนี้”

“ในจดหมายของฮูหยินซั่งกวนบอกว่าอะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ นางไม่เข้าใจว่าทำไมป้าโม่ถึงทำตัวเช่นนั้น แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ นางจึงทำได้แค่เดินหน้าต่อไป

“บอกไว้สองอย่าง” แม่นมฉินสังเกตสีหน้าอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “อย่างแรกคือฮูหยินใหญ่ซั่งกวนเริ่มไม่สนใจสิ่งต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มุ่งเน้นไปที่การทำบุญไหว้พระ เรื่องเล็กใหญ่ในครอบครัวก็จะให้ฮูหยินซั่งกวนกับอนุภรรยาสองสามคนแบ่งกันจัดการ เพียงแต่ฮูหยินซั่งกวนได้รับความเห็นชอบจากฮูหยินใหญ่ซั่งกวนกับนายท่านซั่งกวน หลังจากที่คุณหนูกับนายน้อยซั่งกวนแต่งงานกันแล้วก็จะมอบกิจการของครอบครัวให้คุณหนูดูแล!”

ช่างมีน้ำใจยิ่งนัก! เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเยาะ ดูท่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อถูกน่งอวิ๋นคนนั้นบีบบังคับจนสุดจะทนได้แล้ว แต่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน เบื้องหลังของน่งอวิ๋นคนนั้นก่อนหน้ามีแม่นมคอยชี้แนะ ตอนนี้ยังมีแม่นมฉินที่วางแผน ถ้าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อคิดแผนรับมือกับพวกนางได้ ก็จะไม่มีเรื่องราวพวกนี้

“ต่อไปเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย

“อย่างที่สองอธิบายถึงที่มา อุปนิสัยใจคอและจุดแข็งจุดอ่อนของหญิงสาวทั้งสามที่มีข่าวลือมาพัวพันกับนายน้อยซั่งกวน ฮูหยินซั่งกวนยังบอกด้วยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะไม่อนุญาตให้พวกนางเข้าเรือนมาง่ายๆ” เห็นได้ชัดว่าแม่นมฉินกล่าวคำนี้อย่างไม่เชื่อ

“จะไม่ปล่อยให้พวกนางเข้าเรือนมาง่ายๆ หรือ? ก็จะบอกว่านางไม่อาจป้องกันไม่ให้ซั่งกวนเจวี๋ยรับอนุภรรยาหลังแต่งงานได้งั้นหรือ? ที่มาของหญิงสาวเหล่านั้นอธิบายอย่างชัดเจนหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สบประมาทอย่างหยามเหยียด รับอนุภรรยาหรือ? ยังไม่แต่งภรรยาก็คิดจะรับอนุภรรยาแล้ว แถมยังมีตัวเลือกตั้งสามคน ซั่งกวนเจวี๋ยคนนี้อาจไม่ใช่แค่หนุ่มเจ้าสำราญ แต่ยังเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่อวดรู้เสียด้วย!

“คนหนึ่งชื่อสือหย่าฉี หรือที่ชาวยุทธภพเรียกกันว่าหงหลัวซา เป็นคนฉลาด มีชีวิตชีวา ร่าเริงแจ่มใส เก่งอาวุธลับ มัก จะสวมเสื้อคลุมสีแดง และใช้วิชาแส้ได้ช่ำชอง ร่ำเรียนมาจากสำนักดรุณีหยก กล่าวกันว่าเจ้าสำนักดรุณีหยกรับทารกที่ถูกทอด ทิ้งมาดูแล ส่วนอวี้เมิ่งเหยา ชาวยุทธ์รู้จักในนามว่าเทพธิดาหยก มีชื่อเสียงในด้านความฉลาดและเย่อหยิ่งโอหัง เก่งเพลงกระบี่ เป่าขลุ่ยได้อย่างไพเราะ ไม่ยินดียินร้ายในชื่อเสียง มีท่าทีสง่างามประดุจเทพธิดามาสู่พิภพ บิดาของนางเสียชีวิตเพื่อปกป้องความยุติธรรม มารดาที่เป็นหม้ายเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าร่ำเรียนมาจากในตระกูล สำหรับหวงเซียวเซียง เป็นบุตรสาวที่จอมยุทธ์ใหญ่ของตระกูลเซียวเซียงรักมาก มีชื่อเสียงโด่งดัง มีฝีมือดาบเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ เป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนหลากหลาย ได้รับสมญาว่าหนี่ว์เมิ่งฉาง ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี ครั้งหนึ่งนางเคยเรียนที่สำนักฝึกสตรีในเซิ่งจิงมานานกว่าหนึ่งปี ถือว่าเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถรอบรู้ทั้งบุ๋นบู๊ และเล่นกู่เจิงได้ดี”

“ข้าเคยได้ยินชื่อของพวกนางมาบ้าง ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า จำได้ว่าตอนที่ไปร่วม ‘งานประลองยุทธ์’ กับท่านป้าเป็นครั้งแรก เคยได้เห็นอวี้เมิ่งเหยาที่กระหยิ่มยิ้มย่องในตัวเองจากระยะไกล ป้าโม่มีความเห็นเดียวกับนางว่า ‘เสแสร้ง! ดูท่าสายตาของซั่งกวนเจวี๋ยจะมีเพียงเท่านี้!’

“ด้วยลักษณะนิสัยของคุณหนู…” แม่นมฉินเอ่ยซักถาม นางรู้ว่าคุณหนูของนางปกปิดอารมณ์ได้ดี แล้วนางจะให้ตระกูลซั่งกวนเห็นภาพลักษณ์แบบไหนกัน?

“ได้รับการอบรมสั่งสอน ภายนอกสุขุม ภายในอ่อนโยน เข้าใจผู้อื่นได้ดี เคารพมารยาท เลื่อมใสพระพุทธศาสนา…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดสักพักพลางกล่าว่า “แต่บางครั้งก็อ่อนแอเล็กน้อย!”

“บ่าวเข้าใจแล้ว” แม่นมฉินผงกศีรษะ เมื่อเทียบกับบ้านของตระกูลเยี่ยน เพียงแต่จะเข้าอกเข้าใจผู้อื่นขึ้นเล็กน้อย และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนกัน

“ข้าจะกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจเพื่อสถานการณ์โดยรวมและศักดิ์ศรี แต่ในส่วนตัวก็ร้องไห้เล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริมว่าสิ่งนี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ที่ ‘จอมยุทธ์หญิง’ พวกนั้นไม่มี นางจะแสดงให้พวกเขาเห็น

“บ่าวเข้าใจแล้ว” แม่นมฉินยิ้ม ดูท่าคุณหนูจะเตรียมพร้อมแล้ว คุณหนูผู้นี้จะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนในตระกูลซั่งกวน

“เซียงเสวี่ยกับจื่ออวิ๋นจะมารับใช้อยู่เคียงข้างข้าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เซียงชุ่ยกับจินหรุ่ยยังอยู่กับแม่นมจ้าว ก่อนเข้าเรือนและหลังแต่งงาน ข้ายังต้องรบกวนแม่นมช่วยข้าปรับตัวให้ชินด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอ่ยอย่างมีความหมายแฝงในคำพูด

“มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีแม่นมที่มีประสบการณ์อยู่เคียงข้าง คุณหนูที่อ่อนต่อโลก เมื่อถูกรังแกก็ไม่กล้าแผลงฤทธิ์ใช่หรือไม่?” แม่นมฉินเข้าใจความหมายของนาง และพร้อมจะเป็นคนชั่วร้ายแทน

“ซั่งกวนจิ่น ก็คือพ่อบ้านใหญ่ผู้นั้นที่มารับเรา คราวนี้บอกว่ามีแม่นมซึ่งมีหน้ามีตาอยู่ในเรือนประจำตัวฮูหยินซั่งกวนคนหนึ่งจะมารับ แม่นมฉินรู้หรือไม่ว่าเป็นใคร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามคำถามนี้ซึ่งไม่ได้นึกขึ้นอย่างฉุกละหุก แต่เป็นแผนที่เตรียมมาตั้งนานแล้ว

“ฮูหยินซั่งกวนมีแม่นมฝีมือดีอยู่ข้างกายสี่คน ได้แก่ แม่นมสี เหมย หยางและตู้ แม่นมสีกับแม่นมหยางมาจากตระกูลหวงฝู่ แม่นมสีเป็นแม่นมของฮูหยินซั่งกวน และเป็นคนสนิทที่สุดประจำตัวนางอีกด้วย แต่ยังขาดปฏิภาณไหวพริบ ส่วนแม่นม

หยางเป็นคนร้ายกาจ ทว่าน่าเสียดายที่ไม่แข็งแกร่งพอ ไม่สามารถทำให้ฮูหยินซั่งกวนเชื่อฟังได้ สำหรับแม่นมเหมยเข้ามาชด เชยได้ในภายหลัง และนางก็เก่งมากในแง่นั้น ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮูหยินซั่งกวนอย่างเต็มที่ สำหรับแม่นมตู้คนนั้น นางเป็นนกสองหัว ต่อหน้าเป็นแม่นมที่ใกล้ชิดของฮูหยินซั่งกวน แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นคนเก่าของฮูหยินใหญ่ซั่งกวน และมีนอกมีในกับอนุภรรยาอู๋น่งอวิ๋น แม่นมคนนั้นถึงกับไปรับใช้ถึงในเรือนสวนอย่างเต็มที่ ฮูหยินซั่งกวนก็ไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือน คุณหนู เท่าที่บ่าวรู้ แม้ฮูหยินซั่งกวนจะสั่งการหลายอย่าง แต่คนที่ทำงานได้คือคนสนิทของอนุภรรยาอู๋ของฮูหยินใหญ่ ฮูหยินซั่งกวนจึงรู้สึกเสียใจมากในบางครั้ง!”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า พูดตรงๆ คนรับใช้หลายคนต่างหน้าไหว้หลังหลอกกับฮูหยินซั่งกวน เพียงแต่ไม่ทราบว่าซั่งกวนฮ่าวรู้เรื่องนี้มากแค่ไหน ทำเป็นนั่งนิ่งดูดายกับเรื่องนี้งั้นหรือ? ไม่รู้อะไรเลย? หรือเป็นผลจากที่เขาคอยผสมโรง?

“อีกอย่าง เมื่อห้าปีก่อนตระกูลซั่งกวนรับแขกสำคัญผู้หนึ่งเข้ามาอาศัย นางเป็นหลานสาวของอนุภรรยาอู๋ผู้นั้น นามว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยน นางเป็นคนที่โดดเด่น สุภาพเรียบร้อย ไม่เพียงเป็นผู้ช่วยมือดีของอนุภรรยาอู๋ แต่ยังค่อนข้างสนิทสนมกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลซั่งกวนอีกด้วย อนุภรรยาอู๋ได้พาหลานสาวคนนี้เข้ามาในตระกูลซั่งกวน เพื่อเป็นนางบำเรอให้กับนายน้อยซั่งกวน และเรื่องนี้ นอกจากการคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยวของฮูหยินซั่งกวนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พลอยเห็นดีเห็นงาม” แม่นมฉินกล่าวว่า “คุณหนูอู๋คนนี้มีจิตใจลุ่มลึก เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือ!”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกยิ้มขึ้น ดวงตาเป็นประกายมองไปทางแม่นมฉิน แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าหูตาสว่างขึ้นเยอะเชียว!”

“ถ้างั้น คุณหนูพักผ่อนก่อนเถิด”

“แม่นมก็ไปพักผ่อนด้วยเช่นกัน”

———————————————-