บทที่ 10 ตวนมู่หว่าน (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

มีดสั้นพุ่งเข้าใกล้ทรวงอกของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว คมมีดกรีดฟันอาภรณ์ตรงหน้าอกของเขาขาดไป

ใบหน้าที่สวมหน้ากากของลู่เซิ่งจ้องมองเขาโดยไม่กระพริบ เหมือนกับตะลึงงันไปแล้ว

จางจวิ้นตงยกมุมปากเป็นรอยยิ้มที่ดุดันสายหนึ่ง

“อย่าโทษข้า ต้องโทษเจ้า ที่ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน!”

ปลายมีดกรีดอาภรณ์ลู่เซิ่งออกด้วยความเร็วสูง เกิดริ้วรอยสายหนึ่งบนผิวหนังเขา

ฟุ่บ!

ในตอนนี้เอง ลู่เซิ่งพลันเอนหลัง ชักอสรพิษดำตัวหนึ่งออกมาจากเอวด้านหลัง ถึงกับเป็นดาบด้ามยาวเล่มหนึ่ง

ดาบด้ามยาวกวาดออกจากด้านหลังของเขาอย่างรุนแรง คมดาบฟันใส่มีดสั้นในมือของจางจวิ้นตงอย่างดุร้าย ความเร็วของดาบไม่ใช่กระบวนท่ามีดสั้นของจางจวิ้นตง ซึ่งเป็นเกาทัณฑ์แรงปลายจะเปรียบเทียบได้

ฟันถูกมีดสั้น กระเด็นออกไป

ลู่เซิ่งพลิกคมดาบ ใช้ท่าพยัคฆ์สังหาร ฟันใส่ศีรษะจางจวิ้นตงทันที

ฟ้าว!

เสียงแหวกอากาศที่แทรกเสียงเสือคำรามดังเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว จางจวิ้นตงม่านตาหดตัว

ขนทั่วร่างเขาลุกตั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า คุณชายบ้านรวยที่มีคนคุ้มกันสามคนคอยคุ้มครองผู้นี้ ถึงกับระเบิดความสามารถที่น่ากลัวขนาดนี้ออกมาได้ในพริบตา

ปฏิกิริยาเช่นนี้ ความเร็วเช่นนี้!

แย่แล้ว!

เขาไม่ทันได้ขบคิด รีบตีลังกาไปด้านหลัง สองขาสะกิดพื้นติดต่อกันเจ็ดแปดก้าว หมุนตัวได้ หลบหนีทันที

สวบ!

คมดาบของดาบด้ามยาวเล่มหนึ่งทะลุออกมาจากอกของเขา

เลือดค่อยๆ ไหลออกมาตามบาดแผล

สวบ!

ลู่เซิ่งเดินเข้าไป ยื่นมือชักดาบด้ามยาวออกจากร่างเขา เช็ดตัวดาบบนศพ

“ไปเถอะ ส่งข้ากลับไป”

เขาเดินไปขึ้นรถม้าอย่างสงบ ปลดม่านรถลง เหลือคนคุ้มกันสามคนและยามเฝ้าประตูสองคนที่อยู่รอบๆ

คนห้าคนบวกกับสารถีอีกคนหนึ่งมองศพบนพื้น ไม่มีผู้ใดพูดจา

โดยเฉพาะคนคุ้มกันสามคนยามนี้มีสีหน้าซีดขาว ทั้งสามคนขึ้นรถม้าอย่างเงียบงัน ไม่พูดจาเลยสักคำ

“ฮ่าห์!

สารถีสะบัดแส้ม้า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัว

ภายในรถม้า ได้ยินแค่เสียงล้อหมุน

คนคุ้มกันสามคนนั่งอยู่ตรงข้ามกับลู่เซิ่งได้สักพัก ก็ทนรับความเงียบงันไม่ได้ ต่างก็ประสานมือลงจากรถ ไปเดินอยู่ข้างตัวรถแทน

ภายในรถม้าจึงเหลือเพียงลู่เซิ่งแค่คนเดียว

เขานั่งอยู่บนเบาะกลมทำด้วยผ้าใบหนึ่ง ใบหน้าไร้อารมรณ์ สองตาปิดเล็กน้อย คล้ายกำลังงีบหลับ

แต่มีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ว่า ตอนนี้ความความพลุ่งพล่านในใจของเขารุนแรงขนาดไหน

ฆ่าคนแล้ว…

เขาฆ่าคนแล้ว..

ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือว่าชาตินี้ เขาแม้แต่ทำร้ายคนอื่นก็ยังไม่เคยกระทำ

อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย

แต่ว่าพริบตาก่อนหน้านี้ เขาตอบโต้ตามสัญชาตญาณโดยสิ้นเชิง เห็นอีกฝ่ายจะหนี เขาก็ยกดาบด้ามยาวซัดไปด้านหน้าอย่างแน่วแน่

ความทรงจำอันเหี้ยมหาญของกล้ามเนื้อหลังถูกปรับเปลี่ยน ใช้วิชาหัตถ์ของท่าบารมีพยัคฆ์กระบวนท่าที่สองซัดมีดด้ามยาวออกไป

กลับถูกกลางหลังอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ

หลังจากนั้น เขาก็ตายแล้ว

ฉากแต่ละฉากเมื่อสักครู่ เล่นย้อนอยู่ในจิตใจของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง คนผู้นั้นต้องการให้เขาตายจริงๆ ไม่ใช่ล้อเล่น

เขาได้รับการกระตุ้น การตอบสนองโดยสัญชาตญาณคือต้องกำจัดการคุกคามทิ้งโดยสิ้นเชิง

ผลลัพธ์ถูกแก้ไขโดยสิ้นเชิงแล้วจริงๆ

แต่ว่าความสามารถบนร่างของเขาถูกเปิดเผยแล้ว

และยังฆ่าคนด้วย

‘ดีที่วิชาดาบพยัคฆ์ดำแสดงคุณลักษณะพิเศษชัดเจน ค่อยๆ ตรวจสอบก็จะทราบว่า ที่มาเป็นลุงจ้าว นี่ไม่มีอะไร เพียงแต่ภายหลังต้องระวังแล้ว…’

รถม้าค่อยๆ ขับเคลื่อน ออกจากหมู่บ้านไปได้ประมาณเจ็ดแปดนาที

ติ้งๆๆ..

ติ้งๆๆ..

ไม่ทราบเป็นเวลาใด ด้านนอกที่มืดสนิท ค่อยๆ แว่วเสียงกระดิ่งกระจ่างใสมาจากทางด้านหลัง

สารถีรถม้ามองไปด้านหลัง กลับเห็นรถม้าสีขาวคันหนึ่งกำลังไล่กวดตามมาจากทางด้านหลังด้วยความเร็วสูง อย่างน่าประหลาด

ดูท่าทางพวกเขาก็จะไปเมืองเก้าประสานจากเส้นทางนี้เช่นกัน

คนคุ้มกันทั้งสามคนก็เห็นรถม้าสีขาวด้านหลังแล้วเช่นกัน

ม้าใหญ่สีขาวปลอดสองตัว รถม้าก็สีขาววิจิตรสลักลวดลายสีเงินไปทั่ว รอบๆ รถม้าพัดกลิ่นหอมจางๆ มาเลือนราง

ทั้งสามคนสบตากัน ต่างค่อยๆ กดมือลงบนดาบข้างเอว ก่อนหน้านี้ไม่ได้คุ้มครองแขกผู้ทรงเกียรติดีพอ เกือบเกิดเรื่อง ตอนนี้ถ้าเกิดปัญหาขึ้นอีก ตระกูลเจิ้งไม่มีทางละเว้นพวกเขา

ข้อมือของพวกเขาก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บไม่มาก หลังทายารักษาแล้ว ยังใช้ความสามารถเจ็ดแปดส่วนได้

ทั้งสามคนล้วนเป็นทหารเก่าที่เคยเข้าร่วมกองทัพ ทั้งสามคนร่วมมือเป็นขบวนขนาดเล็ก ชายฉกรรจ์ธรรมดาเจ็ดแปดคนไม่ใช่คู่มือของพวกเขา

รถม้าสีขาวไม่นับว่าหายาก ต่อให้หรูหราไปหน่อยก็ไม่เป็นอันใด

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตึงเครียดผิดธรรมดาก็คือ รถม้าที่มาทีหลังนี้ถึงกับไม่จุดโคมม้า!

ในป่าร้างนอกเมือง อากาศคืนนี้ยังอึมครึมไร้แสงจันทร์ ไม่จุดโคม ถนนมืดสนิทไม่อาจขับไปด้านหน้าได้

รถม้านี้ถึงกับยังเร็วยิ่ง ยังเร็วกว่าพวกเขาที่จุดโคมอีก!

“น่าประหลาด”

หนึ่งในสามคนกล่าวเสียงต่ำ

ลู่เซิ่งยามนี้เลิกม่านขึ้น มองไปด้านหลัง เห็นรถม้าสีขาวที่ควบขับอยู่

สารถีบนรถม้าเป็นบุรุษ บุรุษที่หน้าตาอ่อนโยนองอาจ

เป็นคนที่ก่อนหน้าเห็นในงานชุมนุมดำ บุรุษใบหน้าอ่อนโยนที่อยู่ข้างสตรีผู้นั้น

รถม้าสีขาวไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย ไม่ทันไรก็ค่อยๆ แซงไปจากทางด้านข้างรถม้าของลู่เซิ่ง

“อาจิ่ว หยุดก่อนเถอะ”

มีเสียงสตรีที่ไพเราะละมุนเสียงหนึ่งดังมาจากข้างในรถม้าสีขาว

รถม้าสีขาวพลันผ่อนความเร็วลง เคลื่อนขนาบพวกลู่เซิ่ง

ม่านรถเปิดออกช้าๆ คิ้วขมวดน้อยๆ บนใบหน้าที่งามพริ้ง โผล่ออกมา ภายใต้การส่องแสงจากโคมม้า

เป็นสตรีก่อนหน้านี้ผู้นั้น ตวนมู่หว่าน

ลู่เซิ่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน มองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง

“ถนนยามวิกาลมืดสนิท คุณชายท่านนี้ ขออาศัยโคมม้าของพวกท่านส่องทางได้หรือไม่ จะได้ช่วยเหลือกันด้วย”

ตวนมู่หว่านมองลู่เซิ่ง กล่าวยิ้มๆ กับเขา

“…ตามใจแม่นางตวนมู่หว่าน”

ลู่เซิ่งตอบอย่างไม่เค็มไม่จืด คิดจะปล่อยม่านรถลง

“คุณชาย ข้าน้อยยังมีคำขอไร้เหตุผลอีกข้อ”

ตวนมู่หว่านนั่นไม่รอให้เขากลับเข้าไปในตัวรถ ก็เอ่ยปากอีกครั้ง

“ข้าทำกาชาหกในรถม้าคันนี้ เบาะนั่งเปียกชุ่มไปหมด ข้าขอ…”

ลู่เซิ่งหยีตา ในใจบังเกิดความระวัง

ตวนมู่หว่านผู้นี้โผล่มาอย่างประหลาด นางบอกว่าในรถเปียกหมดแล้ว แต่จริงหรือไม่ผู้ใดทราบได้

แต่อีกฝ่ายไล่ตามมาในความมืด เหมือนยังมีเจตนาจะพูดคุยด้วย ต่อให้เขาปฏิเสธ ตวนมู่หว่านไม่แน่ว่าจะปล่อยเขาไป

“ถ้าแม่นางไม่ถือสาว่ารถม้าของข้าหยาบกระด้าง ขอเชิญขึ้นมาพักผ่อนสักครู่” เขาตอนนี้สำเร็จวิชาดาบพยัคฆ์ดำ ลงมือสองครั้งติดกัน ผลการลงมือล้วนไม่ธรรมดา ในใจค่อยๆ บังเกิดความเชื่อมั่น

ยอดฝีมือทั่วไป ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองเก้าประสานเหมือนอย่างลุงจ้าว สู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง เขาก็มีความมั่นใจว่าจะตัดสินผลแพ้ชนะกับอีกฝ่ายได้

ถึงแม้ในด้านประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจะมีไม่มาก แต่ว่าระดับสี่ของวิชาฝึกจิตในดาบพยัคฆ์ดำคล้ายทำให้เขามีพลังระเบิดอันเหี้ยมหาญยิ่งกว่าลุงจ้าว

ในเวลาอันสั้น ระหว่างพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้ เขากับลุงจ้าวยังไม่กล้ากล่าวว่าผู้ใดจะชนะผู้ใดจะแพ้

ดังนั้นต่อให้ตวนมู่หว่านครอบครองทักษะล้ำเลิศ เขาก็มีพลังป้องกันตัว

“เช่นนั้นขอบคุณคุณชายมากแล้ว”

ลู่เซิ่งบอกให้คนขับรถม้าหยุดรถ ภายใต้แสงไฟของโคมม้าที่ส่ายไหว

รถม้าสีขาวค่อยๆ หยุดลงเช่นกัน

ประตูรถเปิดออก ตวนมู่หว่านยังคงใส่ชุดกระโปรงเข้ารูปสีดำเหมือนก่อนหน้า ค่อยๆ ก้าวลงมา

นางเงยหน้ายิ้มให้ลู่เซิ่งที่เปิดประตูรถให้ ใบหน้าที่งดงามขาวผ่อง มุมปากน้อยๆ ที่แดงเหมือนกับอิงเถา(เชอร์รี่) ยังมีลิ้นสีชมพูดที่ค่อยๆ ยื่นหดเข้าออกจากมุมปาก เห็นดังนั้นทำให้คนคุ้มกันและสารถีที่อยู่รอบๆ อดจิตใจสั่นไหวไม่ได้

นางเหยียบขึ้นรถจากด้านข้างลำตัวของลู่เซิ่งอย่างเชื่องช้า

ขายาวสีขาวเรียวเล็กกลมกลึง พริบตาที่ก้าวขึ้นรถม้า กระโปรงดำที่ปิดบังได้แต่ส่วนสะโพกอ้าออกเล็กน้อย

ภาพใต้กระโปรงโผล่ออกมาแวบเดียว บังเอิญลู่เซิ่งมองเห็นเล็กน้อย แต่มองไม่ชัด

“อ๊ะ”

อยู่ๆ ร่างของตวนมู่หว่านพลันเอียง เท้าลื่นลง คนร่วงลงมาหาลู่เซิ่ง

“ระวัง”

ลู่เซิ่งรีบยื่นมือไปประคอง

ในใจกลับระวังระไวกว่าเดิม มารยาเช่นนี้ ความบังเอิญเช่นนี้ เขาหัวเราะเสียงเย็นในใจ ละครรักแต่ละเรื่องบนโลกถูกใช้มานับครั้งไม่ถ้วน

เขาระวังตวนมู่หว่าน แต่ก็ไม่จงใจเผยออกมา

เพียงแต่คิดรับมืออีกฝ่ายให้สอดคล้องกับหลักตรรกะตามปกติ

ตวนมู่หว่านล้มลงในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนแอ

ไม่ทันระวังทรวงอกมหึมาเสียดสีกับแขนของลู่เซิ่ง

ตวนมู่หว่านพลันหน้าแดงก้มหัวลง ยืนตรงเหมือนถูกกระแสไฟฟ้า

ลู่เซิ่งหวั่นไหวเช่นกัน ออกแรงจับตัวนางไว้

“ขอบคุณคุณชาย…” ตวนมู่หว่านกล่าวอย่างอ่อนแอ

“ไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่ง”

ลู่เซิ่งประคองนางไปนั่งด้านข้างตัวรถ

รถม้าใหญ่ยิ่ง มีที่นั่งสี่ที่สองแถว วางอยู่ตรงกันข้ามกัน

ลู่เซิ่งกับตวนมู่หว่านนั่งหันหน้าเข้าหากัน

รถม้าเริ่มค่อยๆ เคลื่อนตัวอีกครั้ง

ตวนมู่หว่านนั่งหน้าแดง สองขาวางเอียง ปิดไว้มิดชิด ไม่มีช่องว่าง

เพียงแต่จากมุมมองของลู่เซิ่งที่อยู่ตรงข้าม สามารถเห็นเงาสีดำเล็กน้อยระหว่างกระโปรงและขาอ่อนของนาง ถ้าหากลู่เซิ่งต้องการ สามารถแอบมองใต้กระโปรงตามเงาดำได้

ถึงอย่างไรในตัวรถก็ไม่มีคนอื่น มีแค่พวกเขาสองคน อีกทั้งตวนมู่หว่านขณะนี้ยังก้มหน้าเพราะเขินอาย มองไม่เห็นเขา

ตึง

ทันใดนั้นรถม้าคล้ายทับใส่สิ่งใด กระดอนขึ้นเล็กน้อย

สองขาของตวนมู่หว่าน สั่นอ้าออกเป็นช่องว่างน้อยๆ

ครั้งนี้ภาพใต้กระโปรงของนางเปิดเป็นช่องเล็กๆ ลู่เซิ่งใช้หางตาของเขากวาดมอง เห็นเป็นผ้าสีขาวผืนหนึ่ง

“คุณชายไปเมืองเก้าประสานหรือ”

ตวนมู่หว่านคล้ายไม่สังเกตเห็นว่าตนเผยจุดซ่อนเร้นแล้ว ถามเสียงค่อย

“ใช่แล้ว แม่นางก็ไปเมืองเก้าประสานเช่นกันหรือ”

ลู่เซิ่งถามเหมือนไม่คิดอะไร

“อืม ไม่ปิดบังคุณชาย หว่านเอ๋อร์ตอนนี้พักที่โรงเตี๊ยมหมื่นโชคในเมือง ได้ยินว่าที่นี่มีงานชุมนุมดำ จึงพาคนคุ้มครองมาเปิดหูเปิดตา กลับคิดไม่ถึงว่าทุกคนล้วนสวมหน้ากาก น่าเบื่ออยู่บ้าง”

ตวนมู่หว่านกล่าวอย่างค่อนข้างไม่พอใจ

“แม่นางหว่านเอ๋อร์กับคนคุ้มครองประจำตัวสามารถเดินทางมาไกลขนาดนี้ได้ตามลำพัง เป็นยอดฝีมือที่กล้าหาญ”

ลู่เซิ่งเอ่ยเรียบๆ

“ยอดฝีมืออันใด เพียงแต่ระหว่างทางถูกคณะพ่อค้ากลุ่มหนึ่งช่วยไว้ จึงค่อยมาถึงเมืองเก้าประสาน ไม่อย่างนั้นระหว่างทางหว่านเอ๋อร์กับคนคุ้มครองไม่แน่ว่าจะหิวโหยและแข็งตายอยู่ที่ไหนสักมุมหนึ่ง”

หว่านเอ๋อร์อธิบาย

“จะว่าไป คุณชายที่ช่วยหว่านเอ๋อร์ผู้นั้นก็มีทักษะวรยุทธ์แข็งแกร่งอย่างท่านเช่นกัน”

ตวนมู่หว่านยิ้มบาง

“จริงหรือ”

ลู่เซิ่งพอได้ยิน ก็ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายเห็นเหตุการณ์ที่่ตนลงมือก่อนหน้านี้แล้ว

“หว่านเอ๋อร์คล้ายเห็นคุณชายต้องการคัมภีร์ลับกำลังภายใน ในงานชุมนุมดำเป็นอย่างยิ่ง” ตวนมู่หว่านเอ่ยอีกครั้ง

……………………………………….