บทที่ 11 ซุ่มฝึกฝีมือ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“เป็นเช่นนี้จริงๆ” ลู่เซิ่งลูบหน้ากากเสือของตัวเอง ในใจเกิดความระวังตัวกว่าเดิม “หรือว่าหว่านเอ๋อร์มีวิธี”

“คัมภีร์ลับกำลังภายใน หว่านเอ๋อร์กลับมีลู่ทางหาส่วนหนึ่งมาให้คุณชาย เพียงไม่ทราบว่าคุณชายจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน”

ตวนมู่หว่านกล่าวเสียงอ่อน

วาจาใหญ่โตนัก

หาส่วนหนึ่งมาให้หรือ ต่อให้เป็นขุนนางข้าหลวงในเมืองก็ไม่กล้าพูดแบบนี้

ลู่เซิ่งจิตใจระวังกว่าเดิม

“คุณหนูหว่านเอ๋อร์ต้องการของแลกเปลี่ยนอันใด แท่งเงิน ทองเหลืองได้หรือไม่”

“ราคาของวิชาทมิฬพิฆาตในวันนี้เป็นอย่างไร” ตวนมู่หว่านยิ้มกล่าว

“ถ้าคุณหนูหว่านเอ๋อร์หาคัมภีร์ลับได้จริงๆ ก็ได้”

ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันยังมองสตรีนางนี้อย่างล้ำลึก

ตวนมู่หว่านไม่ว่าอะไร ยิ้มเล็กน้อย

“คุณชายไม่ต้องกังวล หว่านเอ๋อร์เพียงเห็นคุณชายมีความสามารถ บุคลิกท่วงท่าไม่ธรรมดา คิดเอาใจท่านไว้ก่อนเท่านั้น”

ลู่เซิ่งเชื่อก็บ้าแล้ว

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหน้า ไม่นานนักก็เข้าเมือง จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่ประตูโรงเตี๊ยมหมื่นโชคอย่างรวดเร็วยิ่ง

ตวนมู่หว่านกับบุรุษผู้คุ้มกันลงจากรถม้า เดินไปที่โรงเตี๊ยมภายใต้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้นของเด็กรับใช้

ลู่เซิ่งนั่งบนรถม้ามองเงาหลังคนทั้งสองหายเข้าไปในโรงเตี๊ยม สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ไม่ทราบว่าคิดอันใดในใจ

“ไปเถอะ กลับบ้านกันเถอะ”

เขาสั่ง

สารถีค่อยเหมือนตื่นจากฝัน เช็ดน้ำลายที่มุมปาก ตั้งสติเริ่มเดินทาง

แม้แต่คนคุ้มกันสามคนนั้นยังแสดงสีหน้าผิดหวังอย่างเลือนรางตอนห่างจากตวนมู่หว่าน

กลับมาถึงคฤหาสน์ ในเช้าวันต่อมา เจิ้งเสี่ยนกุ้ยมาเยี่ยมด้วยตัวเอง

เห็นได้ชัดว่ามาแสดงคำขอโทษเพราะเรื่องเมื่อวาน

ทั้งสองคนนั่งในสวนดอกไม้เล็กหลังลาน บนโต๊ะวางกาสุราใบเล็ก กับแกล้มมี ถั่วลิสงจานหนึ่ง ยำหัวไชเท้าดองจานหนึ่ง

อากาศร้อน รับประทานของเหล่านี้สดชื่นยิ่ง

“สุราจอกนี้ข้าต้องดื่ม!”

เจิ้งเสี่ยนกุ้ยประคองจอกสุรากล่าวอย่างจริงจัง

“เมื่อวานเป็นข้าดูแลไม่ทั่วถึง ตอนได้ยินข่าวข้าตกใจจนตับแทบหลุดออกมา ถ้าท่านมีอันเป็นไป ข้าเจิ้งเสี่ยนกุ้ยแม้จะทิ้งกายเนื้อไป ก็ขออภัยตระกูลลู่ไม่ได้”

ลู่เซิ่งส่ายหน้า

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้ายืนกรานให้เจ้าจัดการเอง”

เขาว่า

เจิ้งเสี่ยนกุ้ยดื่มรวดเดียวหมด วางจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง

ก๊อก

จอกกระแทกกับโต๊ะ มีเสียงเบาๆ

“พี่เซิ่ง อย่างอื่นไม่พูดถึง ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกประหลาดใจ ไฉนอยู่ๆ ท่านจึงกล้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าไปเสี่ยงซื้อของที่งานชุมนุมดำ

“คาดว่านี่เป็นท่านเก็บงำไว้ไม่เปิดเผย แต่ว่าเรื่องต่อสู้กับคนโดยตรงเช่นนี้ ภายหลังอย่าได้ทำแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นตระกูลจาง ตระกูลลู่ของท่านเป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองเก้าประสาน ตระกูลจางยังยื่นมือมาที่นี่ได้หรือ เกิดท่านมีอันใดผิดพลาด…”

ลู่เซิ่งยิ้มๆ

“ข้าความจริงชมชอบฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ก่อนหน้านี้ฝึกฝนไม่ได้ความอันใด จึงไม่เคยพูด ตอนนี้มีความสำเร็จเล็กๆ จึงอดไม่ไหว ที่งานชุมนุมดำก็แค่ลองฝึกซ้อมดูเท่านั้น”

“มิใช่ฝึกซ้อมกระมัง แม้แต่คนก็ล้วนฆ่าตายแล้ว ยังว่าฝึกซ้อมอีก” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยหมดคำพูด “เรื่องนี้ท่านต้องบอกลุงลู่ เกิดตระกูลจางคาดโทษขึ้นมา เขาจะได้มีการเตรียมตัว”

“ข้อนี้ข้าทราบดี” ลู่เซิ่งพยักหน้า “จะว่าไปเจ้าทราบรายละเอียดของตวนมู่หว่านนั่นมากกว่านี้ไหม”

“ตวนมู่หว่าน…นี่ไม่แน่ใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าตรวจสอบให้ท่านดีหรือไม่”

เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกล่าวอย่างลังเล ตระกูลเจิ้งเพราะคนที่คบหามีมังกรงูผสมปนเปไป ข่าวจึงรวดเร็วปลอดโปร่งกว่าตระกูลลู่ เป็นข้อได้เปรียบ

“ก็ดี”

ลู่เซิ่งเทสุราจอกหนึ่งให้ตัวเอง ค่อยๆ จิบ

สุราของที่นี่เจือจางยิ่ง เจือจางจนไม่ต่างจากน้ำผลไม้

“เป็นไร ตวนมู่หว่านติดต่อกับท่านแล้วหรือ” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยถาม

ลู่เซิ่งกำลังจะตอบ

ทันใดนั้น ที่ซุ้มประตูสวนดอกไม้ก็แว่วเสียงฝีเท้าเร่งร้อน

ดรุณีวัยสาวสะพรั่งสวมเสื้อแขนกุดสีเหลืองคนหนึ่งเดินเร็วรี่เข้าประตูมา

ดรุณีมีใบหน้ารูปไข่ห่าน เอวอ่อนช้อยคอดกิ่ว เล็กจนเหมือนแค่ถูกมือจับเบาๆ ก็อาจหักได้

ส่วนอกอาภรณ์ของนางเป็นเสื้อติดกระดุม เผยซับในสีขาวด้านใน หุ้มส่วนหน้าอกอันอุดมสมบูรณ์ไว้แน่น

เป็นเพราะหน้าอกอุดมสมบูรณ์เกินไป ยามเดินจึงส่ายไปมา

“พี่ พี่เซิ่ง พวกท่านซ่อนอยู่ที่นี่จริงๆด้วย!”

นางมองเห็นลู่เซิ่งกับเจิ้งเสี่ยนกุ้ยสองคน ก็พุ่งเข้ามาอย่างโมโห มือหนึ่งดึงเจิ้งเสี่ยนกุ้ยให้ลุกขึ้น

“ไปได้แล้วท่านพี่บ้า ถึงกับกล้าผิดสัญญากับข้า ให้ข้ารออยู่ในบ้านถึงสองชั่วยาม!”

“อวี่เอ๋อร์ ไม่เจอกันนาน ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ”

ลู่เซิ่งยิ้มน้อยๆ พลางทักทาย

“ยังไม่ใช่เพราะท่านพี่ บอกว่าจะพาข้าไปดูคณะงิ้วทางเหนือของเมือง ตอนบ่ายข้าจะออกเมืองแล้ว ถ้าไม่ไปอีกก็ไม่ทันแล้ว

“กลายเป็นข้ารออยู่นานไม่เห็นคนมา”

เจิ้งอวี่เอ๋อร์เป็นน้องสาวร่วมสายเลือดของเจิ้งเสี่ยนกุ้ย

ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กสนิทสนมกันมาก เป็นเพราะความสัมพันธ์ของลู่เซิ่งกับเจิ้งเสี่ยนกุ้ย ดังนั้นเจิ้งอวี่เอ๋อร์กับลู่เซิ่งจึงใกล้ชิดกันด้วย

“อวี่เอ๋อร์เป็นความผิดของข้าเอง…”

เจิ้งเสี่ยนกุ้ยทำหน้าขื่นขมพร้อมรีบกล่าวขอโทษ

“ข้าจะชดเชยให้เจ้า! เจ้าอยากได้อะไร ข้าจะไปซื้อให้!”

ในฐานะบุตรคนรองที่ถือครองการค้าขายส่วนหนึ่งในตระกูล เงินทุนกับเงินค่าขนมสุดที่น้องสาวจะเทียบได้

“ข้าอยากได้พู่กันม่วง แท่งหมึกสามแท่ง ผงหอมจารึกจันทร์แดงสิบตลับ ห่อใส่แป้งวันละห้าห่อ ดอกพู่หมวกวันละดอก…”

เจิ้งอวี่เอ๋อร์เริ่มยกเงื่อนไขอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าตอนมาคิดไว้แต่แรกแล้ว

แต่เพิ่งกล่าวได้สองสามประโยค นางก็พลันคิดได้ว่ายังมีลู่เซิ่งอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าน้อยๆ ก้มลงอย่างขวยเขิน

จากนั้นจึงกระทืบเท้าเจิ้งเสี่ยนกุ้ยอย่างแรง

โอ๊ย

เจิ้งเสี่ยนกุ้ยร้องโอยคำหนึ่ง

“น้องสาวคนดีๆ! พวกเรากลับบ้าน! กลับบ้านค่อยว่ากัน!”

ไม่นานนัก

ลู่เซิ่งมองเจิ้งเสี่ยนกุ้ยถูกเจิ้งอวี่เอ๋อร์ดึงหูกลับบ้านไป

เขานั่งบนม้าหินอ่อน มองคนรับใช้กุลีกุจอเก็บกับแกล้ม

‘วิชาทมิฬพิฆาต…สามารถเพิ่มคุณสมบัติร่างกายของตัวเอง แต่ว่าวิชาไม่ครอบคลุม…ทั้งไม่สอดคล้องกับการฝึกฝนของเราเป็นพิเศษ น่าเสียดาย…ตอนนี้เราไม่มีตัวเลือก’

เขาหลับตา เริ่มใช้ความคิดจินตนาการว่ามีลมปราณสายหนึ่งลอยจากฝ่าเท้า จากนั้นเข้าสู่ท้องน้อย กระจายไปทั่วร่างตามเส้นทางที่บันทึกในวิชาทมิฬพิฆาต

นี่เป็นขั้นตอนวิธีการเริ่มฝึกฝนระดับที่หนึ่งของวิชาทมิฬพิฆาต

ง่ายดายยิ่ง แต่ก็เป็นส่วนที่ทดสอบคุณสมบัติ ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ จะเริ่มฝึกฝนอย่างน้อยจำเป็นต้องใช้เวลาหลายวันถึงหนึ่งเดือน จึงจะอาจรู้สึกถึงปราณ

นี่เป็นเวลาที่ไม่นับว่านานนัก

เขาต้องเริ่มฝึกฝนวิชาก่อน จากนั้นค่อยหาวิชาที่สอดคล้องกันบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน จึงจะสามารถดำเนินการปรับเปลี่ยนได้

ดังนั้นขั้นตอนนี้ ลู่เซิ่งหลีกหนีไม่พ้น

“คุณชาย”

เสี่ยวเฉี่ยวเดินออกมาจากในห้อง เรียกอย่างระวัง

“เรื่องอันใด”

เสี่ยวเฉี่ยวมองลู่เซิ่ง มักรู้สึกว่าช่วงนี้คุณชายของตนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าทำไม

“คุณชายมีเรื่องไม่พอใจอันใดหรือ” เสี่ยวเฉี่ยวที่แล้วมาเข้าใจจิตใจคน ถามอย่างระมัดระวัง

“อย่าได้เดามั่วซั่ว เป็นปัญหาของตัวข้าเอง”

ลู่เซิ่งนั่งบนม้าหินอ่อน หลับตาสองตาโยกตัวไปมาตัวเล็กน้อย

อินเตอร์เฟสเครื่องมือปรับเปลี่ยนสีน้ำเงินเข้มโผล่ออกมาในดวงตาของเขา

ลู่เซิ่งมองจากบนลงล่าง ในตารางแถวแรกบันทึกว่า : ดาบพยัคฆ์ดำระดับสี่

วิชาทมิฬพิฆาตตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

คิดเงียบๆ อยู่ในใจ ลู่เซิ่งเก็บเครื่องมือปรับเปลี่ยน ลุกขึ้นยืนจากม้าหินอ่อน

ในเมื่อได้วิชาทมิฬพิฆาตมาแล้ว เขาก็ตั้งใจฝึกไปแบบนี้ก่อน ขอแค่มีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิดที่จะขึ้นระดับเบื้องต้นได้ เขาก็ยินดีลำบากแบบนี้สักเที่ยว

หลายวันต่อจากนั้น

ลู่เซิ่งไม่ไปไหน อยู่ในคฤหาสน์ลู่อย่างว่าง่าย ตั้งใจฝึกฝนวิชา

วิชาดาบพยัคฆ์ดำ เขานับว่าเปิดเผยแล้ว จึงไม่ปกปิดอีก นี่ไม่ใช่ทักษะที่สุดยอดอะไรมากนัก

ลู่เซิ่งเริ่มถามเคล็ดลับทักษะ รวมถึงประสบการณ์สู้จริงส่วนหนึ่งจากลุงจ้าว หลักๆ คือจงใจเผยว่าตนเองเรียนวิชาดาบพยัคฆ์ดำส่วนหนึ่งได้เอง

วิชาดาบของเขาแม้ฝึกฝนสำเร็จ แต่การใช้ในความเป็นจริง จะออกดาบตอนไหน เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างไหน ควรใช้กระบวนท่าอะไร เหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ จำเป็นต้องได้รับการชี้แนะอย่างละเอียด

อาศัยโอกาสนี้ เขากระจายเรื่องที่ตนแอบเรียนวรยุทธ์ไปทั่วคฤหาสน์ลู่

สามวันให้หลัง

เคร้ง เคร้งเคร้งเคร้ง!

ลู่เซิ่งกับลุงจ้าวแยกกันถือดาบบนลานฝึก เคลื่อนไหวประมือกันด้วยความรวดเร็ว

ประกายดาบสองสายขณะพลิกตัวก็ปะทะกันตลอดเวลา

เหมือนกับลูกกลมเงินสองกลุ่ม

ลุงจ้าววูบไหวร่าง เอียงตัวหลบออกมาจากในประกายดาบ

เขามีสีหน้าเคร่งขรึม เคราพัดพลิ้ว พลันเบิกสองตา

“พยัคฆ์สังหาร!”

โฮก!

เสียงลมที่แทรกเสียงเสือคำรามดังมา ดาบยาวในมือลุงจ้าวเหมือนกับดาวตก ฟันใส่ข้อมือลู่เซิ่งอย่างดุดัน

“พยัคฆ์สังหาร!”

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ลู่เซิ่งตวาดขึ้น ใช้ท่าพยัคฆ์สังหารลงมือพร้อมกัน

สองคนต่อสู้กันอยู่เนิ่นนาน ลู่เซิ่งจึงค่อยแสร้งตอบโต้ ‘ฝืน’ แก้ไข ใช้ท่าพยัคฆ์สังหารออกมา

จังหวะช้าลงไม่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น

เคร้ง!

คมดาบสองเล่มปะทะกันอย่างรุนแรง

คนทั้งสองแยกออกจากกัน ต่างหายใจหอบ พลางจับจ้องอีกฝ่าย

ลู่เซิ่งก้มหน้า เห็นแขนเสื้อข้างขวาของตัวเองหายไปส่วนหนึ่ง พลันแสดงสีหน้าเลื่อมใส

“สมกับเป็นลุงจ้าว!”

เขาเก็บดาบยืนตัวตรงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ร้ายกาจมากแล้ว…ร้ายกาจมากแล้ว…เวลาอันสั้นแบบนี้สามารถใช้ท่าพยัคฆ์สังหารออกมา ต่อให้ก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่แอบร่ำเรียนวรยุทธ์ แต่ท่านเพิ่งถือดาบได้นานเท่าไหร่เอง

“…ให้เวลาอีกหน่อย คุณชายใหญ่จะต้องเหนือกว่าตาเฒ่าเช่นข้าได้แน่ ถึงขั้นที่อาจนั่งอยู่บนห้าอันดับแรกในเมืองเก้าประสานทั้งเมือง”

ลุงจ้าวทอดถอนใจ

“น่าตลกจริงก่อนหน้านี้ข้านึกว่าคุณชายใหญ่ละทิ้งการฝึกดาบแล้ว คิดไม่ถึง…”

ลู่เซิ่งยิ้มๆ

“ลุงจ้าวล้อเล่นแล้ว ท่านเป็นถึงหนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งเมืองเก้าประสาน ไหนเลยเป็นคนที่ข้าคิดแซงหน้าก็แซงได้”

“มิกล้ารับๆ อายุมากแล้ว ไม่เก่งกล้าเท่าวันวานแล้ว”

ลุงจ้าวโบกมือพร้อมกัน

“แต่พรสวรรค์ของคุณชายใหญ่เหนือคน สามารถฝึกฝนกระบวนท่าแรกของวิชาดาบพยัคฆ์ดำได้ในระยะเวลาอันสั้น สามารถพิจารณาร่ำเรียนความสามารถหลากหลายติดตัวได้แล้ว”

“ร่ำเรียนความสามารถหลากหลายหรือ ความหมายของลุงจ้าวก็คือ…?”

ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว

ลุงจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ข้าเหล่าจ้าวนับว่ามีชื่อเสียงเล็กน้อยในเมืองเก้าประสาน ตระกูลลู่ของคุณชายใหญ่ท่านก็ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องทรัพย์สมบัติ สองอย่างรวมกัน สมควรโน้มน้าวพวกตาเฒ่าให้ส่งวรยุทธ์ก้นหีบของพวกเขาแก่ท่านได้

“จะว่าไป วรยุทธ์ที่ว่าเหล่านี้ล้วนเป็นความสามารถที่จัดอยู่อันดับสามได้ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่าวิชาดาบพยัคฆ์ดำ

“ถ้าคุณชายใหญ่มีความต้องการ ข้ากลับแนะนำแทนได้”

……………………………………….