ตอนที่ 13 ฉันไม่ใช่คนดีอะไร

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินหร่านจ้องดูข้อความอยู่นานพักใหญ่ จากนั้นจึงโยนหนังสือให้เว่ยจื่อหังถือ ก่อนจะตอบข้อความกลับ 

 

 

[คนที่สั่งงานมาบ้าไปแล้วหรือไง] 

 

 

ราคาของเธอสูงกว่าราคาตลาดถึงสิบเท่า 

 

 

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ เด็กสาวคนสวยอาศัยความไวติดจรวดในการพิมพ์ตอบกลับไปอีกสี่คำ 

 

 

[ฉันไม่รับงาน] 

 

 

ขาโจ๋รูปหล่อรับหนังสือมาแล้วจ่ายเงินให้ เขาเปิดดูหนังสือที่ลูกพี่เลือก จึงตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่หนังสือเรียน แต่เป็นต้นฉบับหนังสือต่างประเทศ เป็นหนังสือประเภทที่คนทั่วไปจะไม่สนใจ 

 

 

เว่ยจื่อหังรู้ว่าเธอชอบอ่านหนังสือ ห้องหนังสือของเฉินซูหลานมีแต่หนังสือของหลานสาวเต็มไปหมด ฉินหร่านชอบการอ่านหนังสือจากภาษาต้นฉบับเป็นพิเศษ 

 

 

หนุ่มรูปหล่อเคยเห็นหนังสือต้นภาษาชื่อ “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” และ “เด็กเก็บว่าว” ข้างเตียงเธอมาก่อน 

 

 

เขาวางหนังสือบนแคชเชียร์ชำระเงิน ผมดัดของเขาห้อยลงมาเล็กน้อย ดวงตาดำขลับนั้นดูคมกริบ 

 

 

หัวหน้าแก๊งจ่ายเงินให้ ฉินหร่านไม่ได้แย้งเขาเรื่องนี้ 

 

 

หลังจากตอบข้อความเรียบร้อย เด็กสาวเก็บมือถือใส่กระเป๋าตามเดิม แล้วเดินนำหน้าออกจากร้านก่อน 

 

 

เว่ยจื่อหังรับถุงหนังสือ แล้วเดินมาหาเธอ เขาถือบุหรี่ที่ใกล้จะดับ ทำท่าจะโยนมันทิ้งถังขยะ 

 

 

“เราจะไปกินอาหารเย็นกันก่อนไหม” วัยรุ่นหนุ่มโบกมือไปมาหน้าเด็กสาวคนสวย แล้วเอียงคอยิ้ม 

 

 

อีกฝั่งส่ายหน้า เธอจะต้องกลับหอเพื่อเรียนหนังสือ 

 

 

“ขอมวนหนึ่ง” เด็กสาวปรายตามองอีกฝ่าย 

 

 

“…” หัวหน้าแก๊งรู้ว่าเธอกำลังหมายความว่าอะไร เขาผงะหลัง พูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไม่ล่ะ คุณยายเฉินมีหวังฆ่าฉันแหง” 

 

 

เด็กสาวเตะเพื่อน แล้วจ้องเขาด้วยดวงตาคู่สวยที่แฝงไว้ด้วยแววอันธพาล 

 

 

โจ๋หน้าหล่อหยิบซองบุหรี่ออกมาอย่างจำยอม เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งส่งให้คนที่ขอ แล้วตามด้วยไฟแช็ก 

 

 

ไฟแช็กนี้เป็นแบบปุ่มกดทำให้เห็นนิ้วมือเรียวยาวของเด็กสาว ซึ่งดูเหมือนหยกที่มีสีชมพูระเรื่อเปล่งประกายปนอยู่ 

 

 

แค่กด “กริ๊ก” เบาๆ ก็มีเปลวไฟสีฟ้าพุ่งออกมา 

 

 

ควันจางๆ เริ่มลอยออกมาพร้อมกลิ่นสะระแหน่อ่อนๆ เด็กสาวที่สูบบุหรี่ใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดสีขาว โดยมีเครื่องแบบโรงเรียนห้อยไว้บนเสื้ออย่างหลวมๆ 

 

 

เธอดูเหมือนคนว่าง่าย แต่ก็ยังทำเรื่องที่ดื้อดึง 

 

 

ผมนุ่มเบาสลวยของเธอห้อยลงมาปรกบ่า ลมที่พัดผ่านทำให้ผมนั้นยุ่งเล็กน้อย 

 

 

เด็กสาวหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วยืนพิงกำแพงอย่างสบายใจ มีควันลอยออกมาจากนิ้วที่คีบบุหรี่ไว้ เธอดู เกียจคร้านและผ่อนคลาย คล้ายกับมีความสงบที่ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันนี้ เริ่มปรากฏออกมา 

 

 

ท่าสูบบุหรี่ของเธอคนนี้เท่สุดๆ 

 

 

เพื่อนหนุ่มที่มาด้วยมองไปรอบๆ ทางแยกเพื่อคอยระวังหลังให้ เขาอดไม่ไหวที่จะมองกลับมาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด 

 

 

นิสัยสูบบุหรี่ของเธอเป็นเพราะเขา เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ฉินหร่านมาเคาะประตูบ้านเขาในสภาพเลือดอาบเต็มตัว เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวไปเจอกับอะไรมา 

 

 

เว่ยจื่อหังไม่ได้ถามเรื่องส่วนตัวเธอเยอะ หนุ่มคนนี้ไม่รู้วิธีปลอบใจคนอื่น เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสูบบุหรี่ตั้งแต่ยังเด็ก แล้วบุหรี่ก็กลายเป็นสิ่งสำคัญทางจิตใจสำหรับคนแบบเขา 

 

 

คืนนั้น ขาโจ๋สูบบุหรี่ทั้งคืนกับเด็กสาว ก่อนที่เธอจะกลับมาหายดี 

 

 

แต่ฉินหร่านต่างจากเขา เธอไม่ค่อยสูบบุหรี่ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัญหาหนักๆ เด็กคนนี้จะมาซ่อนตัวที่บ้านเขาเพื่อสูบบุหรี่ 

 

 

ตอนที่มีคนมาพบเข้า เว่ยจื่อหังถูกคุณยายเขาฟาดไม่ยั้ง ส่วนเธอ เพียงแค่ใช้ดวงตาอันไร้เดียงสามองดูคุณยายทั้งคู่ พวกเขาก็เชื่อแล้วว่าขาโจ๋หนุ่มเป็นคนหลอกล่อให้เด็กสาวตัวน้อยสูบบุหรี่ 

 

 

“สูบบุหรี่มันไม่ดีหรอกนะ” เพื่อนหนุ่มมองไปรอบถนนด้วยความเครียด เขาถอยมายืนที่เดิมตอนที่เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น แล้วพยายามเปลี่ยนใจเธอด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก 

 

 

ตอนนี้ ชายหนุ่มอยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน แล้วแขวนคอตาย ดีกว่าจะให้บุหรี่กับเด็กสาวคนนี้ไป 

 

 

หลังสูบไปได้ครึ่งมวน เด็กสาวคนสวยก็ดับ แล้วทิ้งมันลงขยะ 

 

 

ฉินหร่านถอยหลังไปสองก้าวเพื่อสางผมให้ตรงเหมือนเดิม ตอนที่ได้ยินเสียงของเว่ยจื่อหัง เธอค่อยๆปรายตามองเขา แล้วทำเสียงหึในลำคอเบาๆ “ไปไกลๆ เลยไป” 

 

 

“ฉันคิดทบทวนกับตัวเองหลายครั้งเลยว่า ฉันพาเธอมาอยู่บนเส้นทางแย่ๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน” ชายหนุ่มดึงปกเสื้อขึ้น 

 

 

“แล้วมันไม่ดียังไง” เธอบอกให้เพื่อนหนุ่มส่งหนังสือมา น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา แต่คิ้วขมวดเข้าหากัน แล้วเธอก็ยิ้มแบบวายร้ายออกมา “ฉันเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้วนี่” 

 

 

“เธอเป็นคนดีนะ” เพื่อนหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากๆ 

 

 

เด็กสาวหน้าสวยเดินไปข้างหน้าพร้อมเป้ เธอโบกมือไปทางเพื่อนหนุ่ม “นั่นก็เพราะว่านายไม่รู้จักฉันดีไง” 

 

 

เด็กใหม่กลับมาถึงหอพัก ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ เธอจึงมีเวลาสั้นๆ ที่จะเรียนด้วยตัวเอง พวกนักเรียนมัธยมปลายทุกคนต่างกลับเข้าชั้นเรียนกันหมดแล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จ 

 

 

ฉินหร่านวางหนังสือไว้บนโต๊ะ 

 

 

เด็กสาวหยิบกล่องเหล็กสีแดงที่อยู่บนเตียงออกมา หยิบยาเม็ดสีขาวที่อยู่ข้างใน แล้วกลืนลงคอไปหลังจากที่ทานยาเสร็จ ฉินหร่านไม่ได้กลับไปที่ชั้นเรียนทันที เธอหยิบเป้สีดำออกมารูดซิปเปิด แล้วนำมือถือเครื่องสีดำที่มีน้ำหนักมากออกมา 

 

 

หน้าจอมือถือยังคงมืดสนิท 

 

 

เด็กสาวจิ้มไปที่หน้าจอเพื่อกดปุ่มเปิดเครื่อง 

 

 

ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งวินาที มือถือก็ปรากฏหน้าจอขึ้น แต่ไม่ใช่หน้าหลัก บนหน้าจอคือ หน้าแผนที่ ที่มีจุดสีแดงหนึ่งจุดปรากฏอยู่ ซึ่งปักไว้ที่ห้องพยาบาลโรงเรียน 

 

 

** 

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้น 

 

 

ณ บ้านตระกูลหลิน 

 

 

หลินจิ่นเซวียนไม่ได้ออกไปข้างนอกวันนี้ ครอบครัวทั้งหมดนั่งทานข้าวที่โต๊ะอาหาร 

 

 

หลินฉีถามเรื่องฉินหร่าน ตอนที่เขาได้ยินว่าสมาชิกบ้านคนใหม่จะอยู่ที่โรงเรียน เขารู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาถามเรื่องอาจารย์ใหญ่สวีแทน 

 

 

“คุณรู้จักอาจารย์ใหญ่สวีเหรอ” 

 

 

หนิงฉิงไม่รู้จักกับชายชรา แต่ลูกชายหลินฉีที่เพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงได้ข่าวมา 

 

 

ผู้เป็นแม่ตักผักใส่จานฉินอวี่ “ฉันได้ยินมาจากคุณแม่ว่า อาจารย์ใหญ่สวีไปที่หนิงไห่เพื่อช่วยเหลือคนยากไร้เมื่อสามปีก่อนค่ะ” 

 

 

จนช้อนของฉินอวี่ดังกระทบชาม 

 

 

หลายคนหันไปมองเธอ หลินฉีแสดงท่าทางห่วงใย “ลูกคิดอะไรอยู่หรือเปล่า” 

 

 

“หลังเลิกเรียนตอนเย็น หนูคิดว่าเห็นพี่เขาค่ะ” ลูกสาวของบ้านทำท่าทีลังเล “พี่เขาอยู่กับเด็กโรงเรียนมัธยมปลายจื๋อ” 

 

 

“โรงเรียนจื๋อเหรอ” ผู้เป็นแม่พูดเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย ข้อนิ้วเธอเป็นสีขาวเผือด “พี่ลูกไม่ได้อยู่ที่อี่จงหรอกเหรอ” 

 

 

ลูกสาวคนโปรดของบ้านมองลงต่ำ เธอกำช้อนในมือไว้แน่น “หนูได้ยินมาว่าพี่สู้กับพวกนั้นช่วงกลางวัน พอตกเย็นพวกอันธพาลเลยมาเอาคืน หนูเป็นห่วงพี่เขา…” 

 

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก!” เสียงของหนิงฉิงเย็นชา นัยน์ตาของเธอราวกับซ่อนคมดาบเอาไว้ ตอนที่มองไปยังลูกคนเล็ก เธอข่มโทสะไว้ แล้วกดเสียงลงต่ำ “ตั้งใจเรียน แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจพี่ ต่อให้เขาจะมาหาลูกก็ช่าง” 

 

 

ผู้เป็นแม่ฉุนกึ้ก 

 

 

จนไม่สามารถทานอาหารได้อีก 

 

 

ผู้เป็นสามียังทานต่อไป โดยไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ 

 

 

เด็กสาวที่ทุกคนพูดถึงเป็นเพียงลูกเลี้ยงของเขา ถือว่าเขาใจดีมากแล้วที่ช่วยจัดการเรื่องที่พักและโรงเรียนให้สมาชิกใหม่คนนี้ 

 

 

หากอีกฝ่ายเป็นเหมือนฉินอวี่ เขาอาจจะกังวลบ้าง แต่ไม่มีเรื่องไหนของฉินหร่านที่คู่ควรให้เขาต้องใส่ใจ 

 

 

นายใหญ่ของบ้านต้องยุ่งกับเรื่องธุรกิจ แล้วเขาจะมีเวลาไปใส่ใจได้อย่างไรกัน 

 

 

“เก็บกวาดชั้นสามให้เรียบร้อย เตรียมให้อวี่เอ๋อร์เรียนหนังสือ” หลินจิ่นเซวียนไม่สนใจเรื่องที่ทุกคนคุยกัน เขามีเพียงแต่ความสงสัยเกี่ยวกับตัวฉินหร่าน แต่มันก็ไม่เท่ากับความรักความเอ็นดูที่เขามีให้ฉินอวี่ 

 

 

อัจฉริยะอย่างเขาที่ทุกเรื่องในชีวิตราบรื่น แทบจะไม่มีเวลาใส่ใจใคร 

 

 

ท่าทีของหนิงฉิงก็ดูสงบลงเช่นกัน 

 

 

เธอไม่ได้มีลูกเพิ่ม เพราะฉะนั้นตระกูลหลินยังถือว่าอยู่ในมือของหลินจิ่นเซวียน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เธอต้องได้รับความเคารพจากลูกเลี้ยงคนนี้ 

 

 

เขาอาจเฉยเมยกับเธอ แต่ว่านายน้อยของบ้านเอ็นดูฉินอวี่ 

 

 

ผู้เป็นแม่จึงหวังพึ่งลูกคนเล็กเพื่อจะได้มีที่ยืนในตระกูลหลิน 

 

 

ทุกอย่างจะราบรื่นแน่ ตราบใดที่สองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน 

 

 

น้องเล็กส่งยิ้มหวาน “ขอบคุณนะคะพี่ชาย” 

 

 

“พี่ต้องรับสายละ” ผู้เป็นพี่พยักหน้าเล็กน้อย ดึงเก้าอี้ออกเพื่อยืนขึ้น หลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดไปพร้อมมือถือ 

 

 

มีเสียงสุภาพที่แสดงถึงความรู้สึกขอโทษขอโพยจากคนวัยกลางคนที่อยู่อีกฝั่งของปลายสาย “คุณหลินครับ เรารับงานของคุณไม่ได้ ผมโอนเงินมัดจำคืนเข้าบัตรคุณไปแล้วนะครับ” 

 

 

เขาถึงกับงง แต่น้ำเสียงที่ประหลาดใจของเขายังคงความสุภาพอยู่ “ขอทราบเหตุผลได้ไหมครับ”