ตอนที่ 14 เพราะว่าฉันดังสุดๆ ไงล่ะ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“ต้องขอโทษด้วย เหตุผลส่วนตัวน่ะครับ ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน” เสียงของปลายสายอีกฝั่งคงสุภาพเหมือนเดิม 

 

 

หลินจิ่นเซวียนวางสายด้วยความรู้สึกเสียดาย 

 

 

เขามองต่ำ ขนตาหลุบต่ำเพื่อปิดบังสีหน้าไว้ 

 

 

ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์จะไปทานอาหารเย็นข้างล่างต่อ จึงนั่งบนเก้าอี้ห้องทำงาน จ้องดูมือถือด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย 

 

 

แต่ภายในเวลาห้านาที ก็มีข้อความส่งมาว่ามีการคืนเงินเรียบร้อยแล้ว 

 

 

“ลูกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ไม่นานหลังจากนั้น ผู้เป็นพ่อก็เปิดประตูเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ 

 

 

ลูกชายคนเดียวของบ้านเป็นอัจฉริยะมาตลอด ตอนที่อยู่ปีหนึ่ง เขาเริ่มก่อตั้งบริษัทกับคนอื่นๆ แม้ว่าหลินฉีจะไม่ได้รู้เรื่องอะไรเยอะ แต่เขาก็มั่นใจว่าลูกชายมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเองพอ 

 

 

เขาแทบไม่เคยเห็นลูกชายกังวลจนกินข้าวไม่ลงมาก่อน 

 

 

ผู้เป็นลูกพยักหน้าด้วยใบหน้าบูดบึ้ง 

 

 

เขาหยิบบุหรี่ออกมา แต่ไม่ได้จุดสูบ แค่หยิบมันมาเล่นในมือแทน ใบหน้าที่อ่อนโยนของอัจฉริยะหนุ่มดูขรึมมาก อารมณ์หงุดหงิดถูกแสดงออกมาระหว่างคิ้วที่มุ่นอยู่ 

 

 

“นิดหน่อยครับ” ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมา 

 

 

แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก 

 

 

หลังจากที่สามารถติดต่อคนพวกนั้นได้ในที่สุด คุณชายหลินหมดเงินไปจำนวนมากโข แต่สุดท้าย กลับถูกปฏิเสธกลับมาเสียอย่างนั้น 

 

 

** 

 

 

ณ โรงเรียนอีจง 

 

 

ฉินหร่านไม่ได้ไปเข้าช่วงศึกษาด้วยตัวเอง 

 

 

เธอมองไปที่ประตูห้องพยาบาลของโรงเรียน ซึ่งไฟยังเปิดอยู่ 

 

 

แพทย์ประจำโรงเรียนทำงานตอนกลางคืนตั้งแต่หกโมงถึงสามทุ่ม 

 

 

ตอนที่เด็กสาวถึงประตู ลู่จ้าวอิ่งกำลังรับมือกับนักเรียนสาววัยกระเตาะอยู่ 

 

 

จะอย่างไรเสีย หลังจากต้องรับมือกับนักเรียนหญิงทั้งวัน ผู้ช่วยหนุ่มก็เริ่มหมดความอดทน แต่ยังคงปฏิบัติด้วยความสุภาพอยู่ 

 

 

หลังจากที่ทำให้เด็กที่มีเจตนาแฝงออกไปได้ เขาเงยหน้าขึ้น แล้วเห็นบอสสาวที่สู้กับอันธพาลเมื่อตอนกลางวัน เด็กสาวคนนั้นยืนห่างจากเขาไปไม่กี่เมตร 

 

 

ฉินหร่านสวยมาตั้งแต่เกิด ขาของเธอเรียว ตรงยาว ขนตาที่ยาวและหนาเป็นแพนั้นหลุบต่ำเล็กน้อย 

 

 

“นักเรียน มีปัญหาอะไรเหรอ” จู่ๆ ผู้ช่วยหนุ่มก็รู้สึกสดชื่น 

 

 

เขาวางมือไว้บนโต๊ะ ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม 

 

 

เด็กสาวคนสวยหรี่ตาลงเล็กน้อย เธอมองไปรอบๆ ออฟฟิศที่ไม่ได้กว้างขวางนัก ก่อนจะพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “รับสมัครเด็กทำงานพาร์ทไทม์ไหมคะ” 

 

 

อีกฝ่ายนิ่งเป็นหิน 

 

 

เขามองไปยังเด็กสาวที่จัดการอันธพาลอยู่หมัด 

 

 

ฝ่ายที่ถามคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกระซิบว่า “ขอโทษที่มารบกวนค่ะ หนูเงินขาดมือน่ะ” 

 

 

ใช่ เธอเงินขาดมือตอนนี้ 

 

 

สายตาของผู้ช่วยจ้องไปที่ฉินหร่าน เด็กสาวคนสวยอยู่ในชุดแจ็กเกตของโรงเรียน ด้านในแจ็กเกตคือ เชิ้ตขาว ซึ่งน่าจะอายุสองสามปี แถมเป็นขุยด้วย 

 

 

เมื่อเทียบกับเด็กสาวอีกคนที่เพิ่งเข้ามา ซึ่งถอดเครื่องแบบโรงเรียนออกจนเผยให้เห็นเดรสตัวใหม่ของเธอแล้ว นายน้อยลู่ผู้ไม่เคยมีความรู้สึกอ่อนไหวหรืออยากปกป้องเพศตรงข้ามคนไหนมาก่อน กลับเปลี่ยนไปในทันที 

 

 

ผู้ช่วยหนุ่มหันหน้าไปมองเฉิงเจวี้ยน 

 

 

วันนี้ นักเรียนหญิงทุกคนที่มาห้องพยาบาล ต่างมาเพื่อเจอหน้าหมอหล่อ 

 

 

แต่คุณหมอกลับไม่โผล่หน้ามาให้เห็นแม้แต่น้อย 

 

 

นายน้อยลู่อยากจะรับฉินหร่านไว้ ห้องพยาบาลมีคนทำงานไม่พอ แต่พรุ่งนี้พ่อบ้านส่วนตัวของนายน้อยเฉิงก็จะมาถึงแล้ว 

 

 

“ขอโทษด้วย แต่…” 

 

 

ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดจบประโยค เสียงที่แฝงไว้ด้วยความขบขันก็ลอยมาจากด้านใน “เธอทำอาหารเป็นไหม” 

 

 

เจ้าของเสียงเงยหน้าขึ้น ดวงตาทรงลูกบ๊วยสุกของเขาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง 

 

 

เด็กสาวที่มาสมัครงานมองไปที่แพทย์หนุ่ม ดวงตามีสีแดงเจือหม่นลง ทว่ากลับชวนมอง เธอพยักหน้า “เป็นค่ะ” 

 

 

“ช่วงกลางวันและช่วงเย็น เราจะจ่ายค่าจ้างเป็นรายวัน เธอเริ่มพรุ่งนี้ได้เลยไหม” 

 

 

“ได้ค่ะ” 

 

 

หลังจากฉินหร่านเดินออกไป ลู่จ้าวอิ่งเหยียดแขน แล้วถูคางไปมา 

 

 

เขาซ่อนความคิดตัวเองไว้ไม่มิดแบบนี้เสมอ หัวใจที่เต็มไปด้วยความสอดรู้สอดเห็นถูกปลุกให้ตื่น แต่ยังไม่กล้าพูดอะไรมากต่อหน้าเจ้านาย ดังนั้น ผู้ช่วยจึงโยนหินถามทางเป็นนัยๆ “ลืมไปหรือเปล่าครับว่าพ่อบ้านของท่านจะมาถึงพรุ่งนี้” 

 

 

“ก็ให้อยู่ที่วิลลาเสียสิ” เฉิงเจวี้ยนเอนเอกเขนกบนโซฟา ถือบุหรี่ไว้ในมือ 

 

 

เพราะเพิ่งจะตื่นนอน เสียงของหมอนุ่มจึงทุ้มต่ำโดยธรรมชาติ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งอยากจะถามต่อ แต่โทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี 

 

 

ผู้โทรมาคือร้อยโทจากหน่วยตำรวจสากลในปักกิ่ง ผู้ช่วยปิดเสียงไมค์มือถือ แล้วเงยหน้ามามองที่เฉิงเจวี้ยน “ร้อยโทเห่า เขามี…” 

 

 

ก่อนจะพูดจบ แพทย์หนุ่มก็แทรกขึ้นมาก่อน  

 

 

“ให้เขาไปหาศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยตี้ตู” เฉิงเจวี้ยนหาไฟแช็กไม่เจอ จึงได้วางบุหรี่ลง 

 

 

ชายหนุ่มอีกคนนิ่งเงียบ 

 

 

ตอนที่ได้รู้จักคลุกคลีกับหมอสุดหล่อคนนี้ เขามักจะรู้สึกว่าไอคิวตัวเองช่างต่ำเหลือเกิน 

 

 

หลังจากนั้น เมื่อพ่อบ้านเฉิงบอกคะแนนสอบเชาวน์ปัญญาเวชเลอร์ของเฉิงเจวี้ยนให้ฟัง ผู้ช่วยหนุ่มจึงไม่ได้กังวลอะไรอีกนับแต่นั้นมา 

 

 

เขาเข้าไม่ถึงความคิดและวิธีสื่อสารของพวกอัจฉริยะ 

 

 

ผู้ช่วยจัดระเบียบเอกสารบนโต๊ะตัวเอง แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “นายน้อยเจวี้ยนครับ คิดว่าท่านสวีพบทายาทสืบทอดแล้วจริงๆ เหรอ ไม่มีทางอ่ะ เขาไม่เห็นลูกชายและหลานชายตัวเองในสายตาด้วยซ้ำ” 

 

 

ในเมืองหลวงเต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถมากมาย ท่านสวีใช้เวลาถึงครึ่งชีวิตเพื่อค้นหาผู้สืบทอด แต่ก็ยังล้มเหลวอยู่ 

 

 

เมืองอวิ๋นเฉิงเป็นเพียงเมืองเล็กที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็มีแค่คนธรรมดาเท่านั้น เป็นไปได้เหรอว่าเขาจะเจอทายาทที่นี่ 

 

 

นายน้อยหน้าหล่อหรี่ตาแล้วยิ้ม “ท่านก็ไม่มีเหตุผลให้ล้อเล่นนี่” 

 

 

** 

 

 

ฉินหร่านกลับมาที่ห้องสามทับเก้า 

 

 

ในช่วงเรียนรู้ด้วยตัวเองตอนเย็น อาจารย์วิชาเคมี อังกฤษ และฟิสิกส์ต่างให้แบบฝึกหัดมาทำ 

 

 

เวลาศึกษาด้วยตัวเองเริ่มตั้งแต่หกโมงจนถึงสี่ทุ่ม 

 

 

กว่าจะทำแบบฝึกทั้งสามวิชาเสร็จ ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว เพราะอย่างนั้น ถึงแม้จะเป็นเวลาหลังเลิกเรียน แต่ก็ไม่มีใครลุกไปไหน 

 

 

หลินซือหรานอยากจะคุยบางอย่างกับเพื่อนใหม่เธอ แต่นี่เป็นเวลาทำการบ้าน บวกกับความที่เธอเป็นเด็กดี จึงไม่กล้าเข้าไปคุยเข้าฉินหร่าน และยังไม่สบโอกาสด้วย 

 

 

ดาวโรงเรียนคนใหม่วางการบ้านไว้ข้างๆ แล้วหยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อขึ้นมา 

 

 

เด็กสาวคนสวยมองมันอย่างช้าๆ ตอนที่เพื่อนร่วมโต๊ะคนดีชำเลืองมาที่เธอบางครั้ง จะเห็นว่าเด็กสาวคนสวยกำลังใช้ปากกาขีดเขียน 

 

 

หลังจากรอให้ช่วงศึกษาด้วยตนเองจบ และหลังจากที่ตัวแทนแต่ละวิชามารวบรวมการบ้านไปส่งแล้ว ในที่สุดกรรมการนักเรียนก็หาโอกาสได้ 

 

 

หลินซือหรานเลื่อนการบ้านออก มองไปที่เพื่อนใหม่ แล้วพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “เธอ…ทำไม…” 

 

 

เด็กหน้าสวยยังคงถือหนังสือไว้ในมือ หลังเอนพิงกำแพง เธอยิ้มยกมุมปากข้างหนึ่ง เมื่อแสงไฟฟลูออเรสเซนต์ฉายไปที่ใบหน้านั้น มันเผยให้เห็นแววซุกซนบนใบหน้างามประณีต “อะไรเหรอ” 

 

 

“ก็ ก็ตอนนี้ ทำไมพวกขาป่วนโรงเรียนถึง…” หัวของหลินซือหรานเริ่มคิดอะไรไม่ออก 

 

 

เพื่อนร่วมโต๊ะคงอยากถามเธอว่าทำไมเว่ยจื่อหังถึงดูจะเชื่อฟังเธอ 

 

 

เด็กใหม่หน้าสวยปิดหนังสือลง เลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากๆ “เพราะว่าฉันเคยเป็นคนดังสุดๆมาก่อนน่ะสิ” 

 

 

เพื่อนคนที่ถามตัวสั่น และไม่ได้โต้ตอบอะไรอีก 

 

 

ที่แถวหลังห้อง 

 

 

สวีเหยากวงวางปากกาลง มีคำถามวิชาฟิสิกส์ข้อหนึ่งที่เขายังตอบไม่ได้ 

 

 

“นายทำข้อนี้ไม่ได้เหมือนกันเหรอ” เฉียวเซิงหันหน้ามา กระดาษของเขาส่วนใหญ่ว่างเปล่า ในขณะที่ของเพื่อนสนิทคนเก่งมีเพียงข้อเดียวที่ยังตอบไม่ได้ 

 

 

“อืม ไว้ฉันค่อยถามฉินอวี่คราวหน้า” เขาดูเย็นชา “ฉันจะรวบรวมแบบฝึกละ” 

 

 

นายน้อยสวีเป็นตัวแทนของวิชาฟิสิกส์ 

 

 

ตัวแทนห้องหยิบกระดาษมาไว้ในมือ แล้วค่อยๆไล่เก็บจากแถวของฉินหร่านและหลินซือหราน 

 

 

แบบฝึกทั้งสามชุดบนโต๊ะของเด็กใหม่ไม่มีรอยขีดเขียนใดๆ นอกจากชื่อ ลายมือของเธอไก่เขี่ยจริงๆ 

 

 

สวีเหยากวงมองดูลายมือนั้น แล้วนึกถึงลายมือสวยๆของฉินอวี่ 

 

 

“นี่ ฉินหร่าน อาจารย์ฟิสิกส์น่ะโหดมากนะ ต้องทำการบ้านให้เสร็จ งั้นเธอลอกฉันละกัน!” กรรมการนักเรียนรีบดันการบ้านตัวเองมาให้เพื่อนร่วมโต๊ะ 

 

 

ผู้เป็นตัวแทนรวบรวมการบ้านมองลง ก้มหน้า เขาเย็นชาและรู้สึกหงุดหงิด จึงพูดคำพูดที่พวกอาจารย์มักใช้ “อย่าทำเลยดีกว่า ถ้าจะลอก”