การได้พบคนสกุลหลินในเวลานี้ ก็จุดความทรงจำที่อวี้ถังมีต่อนางให้เปิดออกอีกครั้ง
สีหน้าของนางยังคงความสูงส่งไว้หลายส่วน ทว่าน้ำเสียงนุ่มนวล รอยยิ้มเป็นมิตร มองที่อวี้ถังและหม่าซิ่วเหนียงแล้วเอ่ยว่า “นี่คงเป็นสุดดวงใจของท่านทั้งสองกระมัง? ดั่งดอกหลันฮวากลางวสันต์ ดอกจวี๋ฮวากลางเหมันต์[1] งามกันคนละแบบจริงๆ ก่อนหน้านี้นายหญิงทังก็เล่าให้ข้าฟัง ข้ายังคิดว่านายหญิงทังอวดโอ้เกินจริง ไม่คิดว่าเป็นข้าที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย”
คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าล้วนไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านการพบปะเข้าสังคม ก่อนหน้าก็ไม่เคยสนทนากับคนสกุลหลินมาก่อน จึงอดจะระแวดระวังไม่ได้ พอได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยวาจาเกรงใจตอบกลับไปเพียงว่า “หามิได้ หามิได้” “ฮูหยินกล่าวชมเกินไปแล้ว”
คนสกุลหลินกลับทำทีเหมือนคนสกุลเฉินและนายหญิงหม่าเป็นสหายเก่าแก่ เอ่ยปากชื่นชมอวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงอีกหลายคำ ทั้งยังล้วงป้ายหยกสองชิ้นออกจากแขนเสื้อเพื่อมอบให้อวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงเป็นของขวัญแรกพบ บอกทำนองว่าไม่คิดจะได้พบพวกนางสองคนที่นี่ เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย ขอให้พวกนางอย่าได้รังเกียจ
มือที่ยื่นไปย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้[2] ยิ่งกว่านั้น หลายปีมานี้หลี่อี้ก็เป็นถึงท่านข้าหลวงรื่อเจ้าอย่างราบรื่น สกุลเก่าของคนสกุลหลินได้ยินว่าเป็นพ่อค้าใหญ่แห่งฝูเจี้ยน แม้นางจะเย่อหยิ่งไปบ้าง ก็นับว่ามีเหตุอันให้เข้าใจได้ อีกทั้งนางก็ปฏิบัติต่อพวกนางด้วยมารยาท จึงบอกให้บุตรสาวรับของขวัญไว้ นัดแนะว่าคราวหน้าถ้ามีโอกาสจะไปขอบคุณถึงหน้าประตู
คนสกุลหลินยิ้มเอ่ยว่า “ถึงเวลานั้นก็พาแม่นางทั้งสองมาด้วย ข้าให้กำเนิดบุตรชายเพียงสองคน วันๆ เจอแต่เรื่องปวดหัว แต่ไรมาก็อยากจะมีลูกสาว ทว่าวาสนามิได้ดีเพียงนั้น” พูดจบ ยังถอนหายใจยาวเหยียดตามด้วย
คนสกุลเฉินตั้งแต่สุขภาพไม่แข็งแรง น้อยครั้งที่จะออกจากเรือน จึงไม่ค่อยรู้เรื่องสกุลหลี่นัก นายหญิงหม่ายังดีกว่าคนสกุลเฉินอยู่หน่อย พวกจิ้นซื่อ จวี่เหริน ซิ่วไฉ ทั่วทั้งเมืองก็มีอยู่ไม่กี่สกุล งานแต่งงานศพก็มักเจอหน้ากันบ้าง พอเห็นว่าคนสกุลหลินเยินยอพวกนาง จึงคืนลูกหลี่กลับ[3]เป็นคำชื่นชมเช่นกันว่า “พวกเราต้องอิจฉาที่ฮูหยินมีบุตรชายที่ประเสริฐ อายุไม่เท่าไรก็เป็นถึงจวี่เหรินแล้ว! เจ้าตัวเสเพลบ้านข้าหากว่าดีได้สักครึ่งของคุณชาย ข้าคงนอนตื่นมาหัวเราะกลางดึกแล้ว”
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ หลี่ตวนก็คือความภาคภูมิใจของคนสกุลหลิน
นายหญิงหม่าพูดตรงจุดคันของนางพอดี
นางปิดสีหน้าลำพองไว้ไม่มิด เล่าถึงหลี่ตวนเหมือนน้ำที่ไหลไม่ขาดสายว่า “นายหญิงหม่าก็กล่าวเกินไป! เด็กคนนั้น ก็แค่ไม่เคยให้ข้าเป็นกังวลเรื่องเขียนอ่าน…แต่เล็กก็ป่วยกระปอดกระแปด กลัวว่าจะอยู่ไม่ถึงโต…พอถึงตอนที่ตบแต่งภรรยา ก็ต้องมาปวดหัวอีกรอบ…ยังดีที่สกุลกู้เห็นเขาเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดในการเล่าเรียน ถึงได้ตอบตกลงเรื่องหมั้นหมาย…ข้าก็หวังว่าเขาจะแต่งงานให้เร็วหน่อย เมื่อถึงสนามสอบขุนนางตอนหน้าร้อนปีถัดไป จะได้มีชื่อติดบนป้ายบ้าง…”
หากถามว่าอะไรในชีวิตที่ทำให้นางรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดก็ย่อมจะเป็นการสอบขุนนางของบุตรชายหลี่ตวน ส่วนเรื่องรองลงมาก็คือช่วยให้หลี่ตวนแต่งกับคุณหนูใหญ่ซึ่งเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกจากบ้านรองสกุลกู้แห่งหังโจวได้สำเร็จ
สี่สกุลใหญ่แห่งเจียงหนาน
คือสกุลกู้ สกุลเฉิน สกุลลู่ และสกุลเฉียน
ภรรยาของหลี่ตวนชื่อว่ากู้ซี ก็เป็นสตรีจากสกุลกู้แห่งหังโจวนี่เอง
คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าฟังไปด้วยท่าทีสนใจ บางทีก็พูดเสริมบ้างบางจังหวะ
อวี้ถังลอบประเมินอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา
ราวกับว่าใต้หล้านี้มีเพียงหลี่ตวนที่เป็นอัจฉริยะ เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น
นางนึกไปถึงตอนที่หลี่ตวนกระทำเรื่องเช่นนั้นต่อนาง นางไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากคนสกุลหลิน คนสกุลหลินกับด่าทอว่านางหน้าด้าน หาว่านางยั่วยวนหลี่ตวน…
อวี้ถังอยากจะให้คนสกุลหลินได้ลิ้มลองความรู้สึกเจ็บปวดนั้นบ้าง ความทรมานจบเกือบจะเป็นความสิ้นหวัง
นางจงใจใช้น้ำเสียงที่คล้ายกดต่ำทว่าคนรอบข้างล้วนได้ยินกันครบ กระซิบกับหม่าซิ่วเหนียงด้วยความสงสัยว่า “คุณชายใหญ่สกุลหลี่อายุเท่าไรหรือ? เมื่อครู่ข้าได้ยินคนในจวนพูดว่า นายท่านสามสกุลเผยตอนอายุยี่สิบเอ็ดก็สอบจิ้นซื่อได้แล้ว”
คนสกุลหลินเหมือนถูกตบหน้า น้ำเสียงพลันหยุดกึกในทันที
คนสกุลเฉินหน้าขึ้นสีเรื่อ แล้วตำหนิอวี้ถังว่า “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน? เรื่องของนายท่านสาม เจ้าเอามาวิจารณ์ได้อย่างนั้นรึ?” จากนั้นก็เอ่ยขอขมากับคนสกุลหลินว่า “บุตรสาวเรือนข้าไม่รู้ความ ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
ทว่ารอยยิ้มบนหน้าของคนสกุลหลินคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
นายหญิงทังเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดี ก็รีบหัวเราะเพื่อแก้สถานการณ์ให้คนสกุลหลิน “วาจาเด็กไม่รู้ประสา! วาจาเด็กไม่รู้ประสา!”
คนสกุลหลินได้ฟัง ก็ทำหน้าเหมือนกดข่มเพลิงโทสะในใจแล้วหันไปยิ้มให้คนสกุลเฉินอย่างฝืดเฝื่อน
อวี้ถังลอบสะใจเงียบๆ
คนสกุลหลินเป็นคนอารมณ์เย็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!
นึกถึงแต่ก่อน ตอนที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ คนสกุลหลินอยากจะต่อว่านางอย่างไรก็ต่อว่าอย่างนั้น ต่อให้เป็นสะใภ้ที่นางพออกพอใจที่สุดอย่างกู้ซี หากว่าทำอะไรไม่ได้ดั่งใจคนสกุลหลินเข้า คนสกุลหลินก็จะอาละวาดใส่นางอย่างไม่ไว้หน้า
ดูท่าแล้วใช่ว่านางจะอดทนไม่เป็นเสียทีเดียว
แต่สำหรับลูกสะใภ้ ก็แค่ไม่อยากจะอดกลั้นสักกระผีกก็เท่านั้น
อวี้ถังลอบเสียดสีในใจ
คนสกุลหลินพลันพูดขึ้นมาว่า “ข้าผู้นี้ วาจาออกจะมากไปหน่อย พอได้พูดแล้วก็มักจะหยุดไม่อยู่”
“ล้วนไม่ต่างกัน” คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าส่งเสริมนาง
ใครจะรู้ว่าคนสกุลหลินไม่ได้คิดจะจากไปเลยสักนิด กลับวกมาสนทนาต่อว่า “เรือนใครต่างก็มีคัมภีร์ที่สวดยาก[4] แม้ข้าจะรักบุตรคนโต ทว่ากลับเป็นห่วงบุตรคนเล็กที่สุด เขาอ่อนกว่าพี่ชายอยู่สี่ปี ทั้งเป็นบุตรคนรอง ไม่ต้องสืบทอดวงศ์สกุล แม่สามีข้าก็ตามใจเขาเต็มที่ โตมาเป็นคนไม่สนใจโลกภายนอก ตอนนี้อายุได้สิบแปดแล้ว ยังไม่รู้ความอยู่อย่างนั้น รังเกียจว่าสาวใช้ที่จวนจู้จี้ ไม่ยอมให้รับใช้ข้างกาย วันๆ ก็เอาแต่เตะลูกหนังขี่ม้ากับบ่าวชายที่ติดตาม หรือไม่ก็ตามคนคุมบัญชีในเรือนไปตรวจสอบบัญชีที่ร้านค้า เรื่องงานหมั้นหมายของเขา ข้ากลัดกลุ้มใจยิ่งแล้ว!”
พูดจบ นางก็มองอวี้ถังอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง
คนที่อยู่ตรงนั้นล้วนตะลึงไปตามๆ กัน
โดยเฉพาะอวี้ถังเอง
นางกับสกุลหลี่มีเวรกรรมอะไรต่อกันอย่างนั้นรึ?
ชาติก่อนได้ฟังว่าหลี่จวิ้นตกหลุมรักนาง ชาตินี้นางซ่อนตัวจากหลี่จวิ้น แต่กลับถูกคนสกุลหลินจับจ้องไว้แล้ว
ทว่า ก็ต้องขอบคุณนางจริงๆ
สะใภ้สกุลหลี่นั้น นางไม่ได้นึกเสียดายเลยสักนิด
คิดถึงตรงนี้ นางพลันนึกไปถึงกู้ซีด้วย
หากว่ากู้ซีได้รู้ว่าหลังแต่งเข้าสกุลหลี่ไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เกรงว่านางคงไม่มีวันแต่งให้หลี่ตวนแน่!
เช่นนั้น ทำลายงานแต่งของนางกับหลี่ตวนทิ้งดีหรือไม่?
คนสกุลหลินคงโมโหจนเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่!
อวี้ถังแค่คิดก็รู้สึกมีความสุขจนไม่อาจหุบยิ้มได้เลย
คนสกุลเฉินตอนนี้เพิ่งได้สติกลับมา
เข้าใจในที่สุดว่าที่คนสกุลหลินร่ายยาวมากมาย ก็เพราะถูกใจอวี้ถังของนางนี่เอง!
เมื่อครู่ทั้งๆ ที่นางได้ปฏิเสธนายหญิงทังอย่างชัดเจนไปแล้ว เหตุใดคนสกุลหลินยังมาดักพวกนางแล้วดึงดันจะพูดเรื่องนี้ให้ได้เล่า?
คนสกุลเฉินรู้ฐานะของตนเองดี
หากพูดเรื่องรูปโฉม อวี้ถังของนางต่อให้เป็นสกุลเผยก็ยังแต่งให้ได้ แต่ถ้าเรื่องใหญ่อย่างงานแต่งพิจารณาจากแค่รูปโฉมได้ แล้วจะมีคำพูดที่ว่าเหมาะสมคู่ควรได้อย่างไร
นางมองไปทางนายหญิงทังทีหนี่ง
นายหญิงทังไม่กล้าสบตากับนาง คล้ายว่าทำอะไรผิดมาอย่างนั้น
คนสกุลเฉินกระจ่างในทันที
ที่แท้ก่อนหน้านี้ที่นายหญิงทัง ‘บังเอิญ’ พบพวกนางที่เรือนรับรอง เพราะได้รับการไหว้วานจากคนสกุลหลินนี่เอง
และที่คนสกุลหลินไม่คำนึงถึงความแปลกหน้าของสองสกุล มายืนคุยเรื่องน่ากระอักกระอ่วนกับนางตรงนี้ ก็เพราะไม่คิดจะยอมแพ้นั่นเอง!
เรื่องประเภทนี้ไม่อาจปล่อยให้ค้างคา ดึงไปลากมามีแต่จะเกิดคำครหาอีกมากมาย
อาถังของนางก็ถึงวัยที่ต้องเตรียมเรื่องหมั้นหมายแล้ว ไม่อาจให้เรื่องนี้มากระทบเด็ดขาด
คนสกุลเฉินส่งยิ้มให้คนสกุลหลิน เอ่ยว่า “สิ่งที่ท่านเป็นห่วงนั้นเหมือนกับข้าไม่มีผิด เรือนข้าก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียว บิดานางประคองไว้กลางฝ่ามือก็กลัวหล่น อมไว้ในปากก็กลัวจะละลายหาย จึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะแต่งเขยชายเข้าเรือน ทว่าหาลูกเขยเข้าเรือนมิใช่หากันง่ายๆ ผมบนศีรษะข้าแทบจะร่วงหมดแล้ว”
คนสกุลหลินตกตะลึง
อวี้ถังแอบสะใจ
คนสกุลหลินคงคาดไม่ถึงว่าตนจะถูกปฏิเสธน่ะสิ!
คนสกุลหลินไม่อาจรักษารอยยิ้มไว้บนหน้าได้อีกครั้ง นางเอ่ยกับคนสกุลเฉินอย่างลวกๆ อีกสองสามคำ จากนั้นก็ขอตัวกลับไปพร้อมกับนายหญิงทังอย่างรีบร้อน
อวี้ถังอยากกระโดดกอดแล้วหอมแก้มมารดาสักสองฟอด
นางมองตามแผ่นหลังของคนสกุลหลินไปด้วยใจที่คลายโมโห ก่อนตัดสินใจมอบ ‘ของขวัญ’ ให้คนสกุลหลินสักชิ้น
“ท่านแม่” นางเอ่ยพลางยิ้มตาหยีว่า “สกุลหลี่ที่อยู่ทางใต้ ใช่สกุลหลี่ที่ขายผลไม้หรือไม่เจ้าคะ?”
บรรพบุรุษของหลี่อี้ ก่อร่างสร้างตัวมาจากการค้าผลไม้
แน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว
ตอนนี้คนในเมืองหลินอันก็มีคนรู้ไม่มาก
หลังจากที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ นางก็บังเอิญได้ยินเรื่องนี้จากบ่าวเก่าแก่ของสกุลหลี่คนหนึ่ง
สกุลฝั่งมารดาของคนสกุลหลินนั้นค้าขายผ้าไหมและใบชา เป็นพ่อค้าใหญ่ที่สืบทอดกิจการมาหลายรุ่น นางสั่งห้ามอย่างเคร่งครัดไม่ให้ใครพูดเรื่องที่บรรพบุรุษสกุลหลี่เคยขายผลไม้มาก่อน
คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าต่างไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
พวกนางพลันไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร
อวี้ถังกลับเห็นชัดเจนว่าฝีเท้าของคนสกุลหลินสะดุดกึก ร่างแทบจะเซล้ม
มารร้ายในตัวของอวี้ถังอ้าปากหัวเราะกึกก้อง นางตัดสินใจส่ง ‘ของขวัญ’ ให้คนสกุลหลินอีกชิ้น “ท่านแม่ หรือว่าพวกท่านไม่เคยได้ยินมาก่อน? ขนาดป้าหวังที่เปิดแผงขายผลไม้ที่ถนนตะวันออกกับอาลิ่วที่ขายสาลี่อยู่ธารเสี่ยวเหมยยังรู้เลยนะเจ้าคะ”
“จริงรึ?” คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าคิดว่าอวี้ถังพูดจาเรื่อยเปื่อย จึงตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ
อวี้ถังกลับรู้สึกได้ว่าคนสกุลหลินแทบจะยืนไม่มั่นแล้ว
นางหัวเราะคิกคัก ยังคิดจะแดกดันคนสกุลหลินอีกสักหลายประโยค หางตาพลันเหลือบไปเห็นว่าข้างระเบียงทางเดินมีคนยืนอยู่
อวี้ถังเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าพลันอับจน ก้าวถอยหลังไปสองก้าว
คราวนี้เปลี่ยนเป็นนางที่แทบทรงตัวไม่อยู่แทน
ทว่าซิ่วเหนียงประคองนางไว้ด้วยมือไม้ที่ว่องไว ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? ยืนไม่มั่นเพราะเท้าแพลงรึ?”
“เปล่าหรอก เปล่าหรอก” อวี้ถังตอบด้วยสีหน้าแดงเรื่อ “ข้าไม่เป็นไร!”
คนกลับเขย่งเท้า ชะเง้อคอยืดยาวไปมองด้านหลังของหม่าซิ่วเหนียง
หม่าซิ่วเหนียงก็หันไปมองตามนางอยู่หลายครั้ง
หลังคาระเบียงทางเดินทาสีเทาเข้ม หินเขียววาววับ ก้านไผ่หยุดนิ่ง ว่างเปล่าไร้คน ทว่าอุดมชุ่มด้วยสีเขียว จากที่ที่ไกลออกไป มีสายลมเย็นโชยพัดผ่านมา
“เจ้ามองอะไรน่ะ?” คนอื่นๆ ก็ถามอวี้ถังอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ได้มองเจ้าค่ะ! ไม่ได้มอง!” อวี้ถังกลบเกลื่อนด้วยท่าทีนิ่งเฉย แล้วกระตุกแขนเสื้อของมารดา เอ่ยว่า “แขกกลับเรือนเจ้าบ้านจะได้สงบ พวกเรารีบกลับกันเถอะเจ้าค่ะ!”
ทุกคนต่างก็เหนื่อยล้า
“ไปสิ!” นายหญิงหม่าเชื้อเชิญอวี้ถังกับมารดาด้วยความอบอุ่นว่า “ถ้าพวกเจ้าพอมีเวลา ก็ไปนั่งเล่นที่เรือนข้าได้ บิดาของนางไปหังโจว อีกตั้งเจ็ดแปดวันถึงจะกลับ ถ้าพวกเจ้ามา จะได้อยู่เป็นเพื่อนข้าบ้าง”
คนสกุลเฉินตอบตกลง แล้วพูดคุยกับนายหญิงหม่าแม่ลูก ก่อนจะเดินไปบอกอวี้เหวินเอาไว้สักคำ จากนั้นเดินทางกลับเรือน
อวี้ถังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ช่วงนี้โชคชะตานางเป็นอย่างไรหนอ? เหตุใดไม่ว่าไปตรงไหนก็เจอนายท่านสามไปเสียทุกที่
อีกทั้งยังเป็นตอนที่นางน่าขายหน้าที่สุด…เมื่อครู่ตอนที่อยู่สกุลเผย นางยิ้มไปแล้ว
พิธีศพที่ต้องสำรวมตามกาลเทศะ นางกลับหัวเราะออกมา ซ้ำยังหัวเราะอย่างเบิกบาน แล้วดันมาถูกนายท่านสามจับได้คาหนังคาเขา
เขาจะคิดหรือไม่ว่านางมีเจตนาหลบหลู่ผู้ตาย!
อีกอย่าง สีหน้าของเขาเมื่อครู่ก็ไม่น่ามองสักนิด
มันดำมืดจนแทบจะมีน้ำหมึกหยดลงมาอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะเขาได้ยินเสียงนางหัวเราะถึงได้เดือดดาล? หรือเพราะว่าเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วกันแน่?
ทว่า เขาตัวคนเดียว เหตุใดจึงไปโผล่ตรงนั้นแล้วบังเอิญเจอพวกนางได้เล่า?
เขาเห็นแค่ว่านางหัวเราะหรือกระทั่งวาจาที่เยาะหยันคนสกุลหลินก็ได้ยินทั้งหมดด้วย?
อวี้ถังถอนหายใจ
นางในสายตาเขาคงไม่เหลือชิ้นดีแล้วกระมัง!
อวี้ถังนึกไปถึงต้นไม้ของสกุลเผยที่ถูกตัดดอกออกจนเกลี้ยง
มีเพียงความเขียวขจีผืนใหญ่
ไร้ซึ่งสีสันโดยสิ้นเชิง
ไม่รู้ว่านางจะเหมือนกับดอกไม้ที่อยู่บนต้นไม้เหล่านั้นหรือไม่ ถูกเขากำจัดทิ้ง…
ทว่า จะพูดอีกอย่างหนึ่ง จิตใจเขาออกจะคับแคบเกินไปหน่อยกระมัง
แค่เรื่องเล็กๆ ก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์แล้ว
เป็นถึงตั้งซู่จี๋ซื่อแล้วนะ?
ทว่าบัดนี้บิดาเขาจากไปแล้ว เขาคงจะต้องอยู่เฝ้าจวนเพื่อไว้ทุกข์?
ต่อไปไม่แน่อาจจะได้พบหน้ากันอีก…
เหตุใดนางจึงโชคร้ายเช่นนี้
อวี้ถังซึมเศร้าไปหลายวัน
————————————————————-
[1]ดอกหลันฮวากลางวสันต์ ดอกจวี๋ฮวากลางเหมันต์ อุปมาถึงแต่ละคนต่างมีจุดแข็งของตัวเอง และแต่ละสิ่งก็มีข้อดีของมัน
[2]มือที่ยื่นไปย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ หมายถึง เมื่อยื่นมือออกไปจะตีอีกฝ่ายที่เป็นคนผิด ทว่าอีกฝ่ายก็ยอมรับผิดทั้งส่งยิ้มกลับมาให้ ถึงเวลานั้นเจ้าตัวย่อมใจอ่อน ไม่อาจตัดใจตีคนได้อีก
[3]คืนลูกหลี่กลับ มาจากสำนวน มอบลูกท้อมา คืนลูกหลี่กลับ หมายถึง ตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน ตรงกับสำนวนไทยว่า หมูไปไก่มา
[4]เรือนใครต่างก็มีคัมภีร์ที่สวดยาก หมายถึง ทุกบ้านทุกครอบครัว ล้วนมีปัญหาของตัวเอง