ไม่ว่าอวี้ถังจะอยู่ในอารมณ์ไหน แต่เวลาก็ยังเดินไปข้างหน้า ไม่นานก็ถึงวันพิธีแห่ศพของท่านผู้เฒ่าสกุลเผย
สุสานบรรพชนของสกุลเผยตั้งอยู่บริเวณแนวสันเขาตะวันออกของเขาเทียนมู่ ด้านหลังอิงภูเขาด้านหน้ามีแม่น้ำ ทุกคนต่างพูดว่าพื้นที่ตรงนั้นมีฮวงจุ้ยที่ดี คนสกุลเผยไม่ว่ากี่รุ่นต่อกี่รุ่นถึงได้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปไม่หยุดหย่อน
หนึ่งวันก่อนที่จะฝังร่างของท่านผู้เฒ่า อวี้เหวินก็พักที่จวนสกุลเผยเสียเลย อวี้ถังกับมารดาก็ตระเตรียมกระดาษเงินกระดาษทองและธูปหอมตั้งแต่เช้า วันต่อมาฟ้ายังไม่สางก็ลุกขึ้นมาหวีผม เปลี่ยนมาใส่ชุดสีสุภาพ พาป้าเฉินกับซวงเถา รวมถึงนายหญิงหม่าแม่ลูกออกเดินทางไปยังธารเสี่ยวเหมวยด้วยกัน
พวกนางจะไปส่งท่านผู้เฒ่าเป็นครั้งสุดท้าย
ตลอดทางเต็มไปด้วยผู้คน
ทุกคนรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ พูดคุยกันถึงงานพิธีศพของท่านผู้เฒ่า
“ต่อให้อากาศจะร้อนตับแตกแต่ไม่ต้องอนาถถึงเพียงนี้กระมัง! ตั้งศพไว้แค่เจ็ดวันยังไม่ต้องพูดถึง โลงศพยังแห่เข้าไปฝังในสุสานเลย นี่เป็นความคิดของใครกัน?”
“ได้ยินว่าเป็นความต้องการของนายท่านสาม” มีคนรู้เรื่องเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายใหญ่ของนายท่านใหญ่ถึงกับทะเลาะกับนายท่านสาม แต่เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง จะเถียงชนะท่านอาได้อย่างไร! เรื่องนี้จึงได้จบลงแบบนี้!”
“แล้วนายท่านรองไม่พูดอะไรบ้างเลยรึ? เขาก็เป็นท่านอาคนหนึ่งเหมือนกันนี่!”
“ตอนนี้นายท่านสามเป็นผู้นำสกุล เขาจะพูดอะไรได้?”
“มันก็ใช่” อีกคนถอนหายใจ “ตอนที่นายท่านใหญ่จากไป โลงศพยังแห่รอบเมืองถึงเจ็ดวัน ให้ทุกคนได้เคารพศพระหว่างทาง ตอนนี้พวกเราจะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ท่านผู้เฒ่ายังไม่ได้ ได้แต่ส่งท่านผู้เฒ่าขึ้นภูเขาอย่างหยาบๆ เช่นนี้”
ส่วนคนที่สนใจผลประโยชน์ของตนเองมากกว่า ก็แอบถามเป็นการส่วนตัวว่า “พวกเจ้าพูดว่าตอนนี้สกุลเผยมีนายท่านสามเป็นผู้นำสกุล มีหลักฐานอะไรหรือไม่?”
“เจ้าดูหลายวันนี้สิ พ่อบ้านใหญ่โผล่หน้าบ้างหรือไม่?” มีคนซุบซิบต่อว่า “แต่ก่อนพ่อบ้านใหญ่เป็นถึงเพื่อนเรียนของนายท่านใหญ่ มีเรื่องใดในสกุลเผยบ้างที่เขาตัดสินใจไม่ได้? ยังมีพ่อบ้านรองอีก หลายวันนี้เจ้าเห็นหน้าพวกเขาบ้างหรือไม่เล่า?”
“พ่อบ้านใหญ่ข้ารู้จักอยู่ แต่มันเกี่ยวอะไรกับพ่อบ้านรองล่ะ? พ่อบ้านรองหนึ่งปีสี่ฤดูมิใช่คอยแต่ดูทิศทางลมของพ่อบ้านใหญ่หรือ?”
“เจ้าไม่รู้อะไรเสียเลย ก็โดนหางเลขไปด้วยอย่างไรเล่า? พ่อบ้านรองยืนฝั่งพ่อบ้านใหญ่ พ่อบ้านใหญ่ล้มแล้ว เขายังจะได้ดิบได้ดีอยู่รึ?”
“เฮ้อ! สกุลของซั่นจื่อหลิวคงขาดทุนย่อยยับ พวกเขาเพิ่งจะให้บุตรสาวแต่งเข้าสกุลของพ่อบ้านใหญ่”
“มิใช่แต่งให้ธรรมดา เรียกว่าประเคนให้มากกว่า!” เอ่ยถึงเรื่องดอกท้อ ทุกคนก็เริ่มคึกคัก
“ไม่ว่าจะประเคนหรือแต่ง ซั่นจื่อหลิ่วก็เรียกตนเองให้คนข้างนอกฟังว่าเป็นญาติสนิทของพ่อบ้านใหญ่…”
อวี้ถังได้ยินการใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ ก็นึกถึงดวงหน้าอึมครึมของเผยเยี่ยน
ทำไมต้องสร้างเรื่องให้คนนินทาว่าร้ายด้วย?
ก็แค่จัดพิธีศพให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติไม่ใช่รึ?
สกุลเผยก็ใช่ว่าขาดแคลนเงินทอง แค่ทุ่มเงินเข้าไปก็เป็นใช้ได้แล้ว
หรือว่า นี่เป็นหนึ่งในแผนการที่เขาใช้ต่อกรกับบ้านใหญ่?
อวี้ถังเดาไปสุ่มสี่สุ่มห้า ก็มาถึงจวนสกุลเผยแล้ว
นายหญิงหม่าลากพวกนางไปที่ร้านขายของจิปาถะร้านหนึ่งตรงท่าเรือ เอ่ยว่า “นี่เป็นร้านที่ข้าคุ้นเคย พวกเราพักที่นี่ก่อน รอให้แห่โลงท่านผู้เฒ่าออกมา พวกเราค่อยออกไปก็ยังทัน!”
ทว่านางยังพูดไม่ทันจบ ด้านนอกก็มีเสียงจอแจ มีคนตะโกนว่า “ทุบหม้อ[1]แล้ว”
ฝูงชนต่างเข้าไปเบียดเสียดที่หน้าประตูใหญ่จวนสกุลเผย
อวี้ถังได้ยินคนพูดขึ้นมาว่า “เหตุใดเป็นนายท่านสามถือป้ายวิญญาณ? บ้านใหญ่เล่า? ต่อให้นายท่านใหญ่ตายไปแล้ว ก็ยังมีนายท่านรอง นับตามลำดับอย่างไรก็เรียงไม่ถึงเขาหรอก!”
“เลิกพูดได้แล้ว!” มีคนเอ่ยขึ้น “เจ้ายังมองไม่ออกอีกรึ? ข่าวลือเป็นเรื่องจริง ต่อไปสกุลเผยก็มีนายท่านสามเป็นผู้นำสกุลแล้ว”
พิธีทุบหม้อกับถือป้ายวิญญาณล้วนเป็นหน้าที่ของบุตรชายไม่ก็หลานชายคนโต!
ต่อให้นายท่านใหญ่สิ้นแล้ว แต่ว่านายท่านใหญ่ก็ยังมีบุตรชายอีกสองคน
แม้จะบอกว่าชาติก่อนนายท่านสามขึ้นเป็นผู้นำสกุล ทว่าชาตินี้ก็มีเรื่องแตกต่างออกไปจากชาติก่อนเล็กน้อย อย่างเช่นว่า ชาติก่อนสกุลเผยเพียงรับซื้อพื้นที่ร้านค้า ไม่เคยให้ชาวบ้านหยิบยืมเงินทอง
เพียงแค่อวี้ถังได้ยินก็ร้อนใจแทนเผยเยี่ยนแล้ว
นี่เรียกว่าให้เขาเป็นผู้นำสกุลที่ไหน เรียกว่าจับเขามัดไว้แล้วย่างบนกองไฟมากกว่า!
ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยทิ้งคำสั่งเสียไว้อย่างไรกันแน่?
ต่อให้ต้องการตั้งเผยเยี่ยนเป็นผู้นำสกุล แต่ไม่อาจรอให้พิธีแห่ศพจบไปก่อน แล้วเหล่าพี่น้องค่อยมานั่งพูดคุยเพื่อหาข้อสรุปหรือ? เหตุใดต้องตบหน้าบ้านใหญ่กลางพิธีเช่นนี้? ทำเหมือนว่าบ้านใหญ่เป็นเพียงญาติสายรอง เปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงไม่มีใครทนรับได้?
อวี้ถังเขย่งเท้ามองไปทางด้านใน
นายท่านสามถูกคนประคองเดินออกมาแล้ว
เขาก้มหน้าต่ำ
แสงอาทิตย์แรกของหน้าร้อนส่องกระทบที่หมวกไว้ทุกข์ของเขา กลายเป็นเงาสายหนึ่งบดบังดวงหน้าของเขาเอาไว้
“ลูกหลานคารวะ” ตามเสียงตะโกนของพิธีแห่ศพ เหล่าลูกหลานของสกุลเผยต่างพากันคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง
ผู้คนรอบด้านที่มาเคารพศพท่านผู้เฒ่าต่างก็เริ่มจุดประทัดและจุดธูป
ผู้นำพิธีตะโกนว่า “ส่งวิญญาณ”
โลงศพถูกหามขึ้น เดินหน้าไปสามก้าว
ผู้นำพิธีตะโกนอีกรอบว่า “ลูกหลานคารวะ” โลงศพก็หยุดลง ลูกหลานก็โขกศีรษะอีกสามที
นายหญิงหม่าลากหม่าซิ่วเหนียง แล้วบอกกับคนสกุลเฉินว่า “พวกเรารีบเอากระดาษเงินกระดาษทองไปเผาเถอะ ไม่อย่างนั้นรอให้คนอื่นจุดประทัดแล้ว ถูกกระเด็นใส่ขึ้นมาไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย”
คนสกุลเฉินเพิ่งเคยพาบุตรสาวมาร่วมงานแห่ศพเป็นครั้งแรก
นางพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจ แล้วเดินตามหลังนายหญิงหม่าไปติดๆ
เสียงประทัดดังขึ้น กลางอากาศมีแต่ควันที่ทำให้คนสำลักลอยว่อน
อวี้ถังกับมารดาเพิ่งจะยืนได้มั่น ก็เห็นว่าชายผอมสูงคนหนึ่งพุ่งเข้าไปที่ขบวนแห่ศพของสกุลเผย เขาคุกเข่าเสียงดัง ‘ตึง’ ลงบนพื้นหน้าโลงศพของท่านผู้เฒ่า ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังว่า “ท่านผู้เฒ่าเผย! ท่านลืมตาขึ้นมามองให้ชัดๆ เถอะขอรับ ท่านเลือกคนเนรคุณใจดำมาคนหนึ่ง! เขาแทบจะบีบเหล่าคุณชายบ้านใหญ่จนไม่เหลือทางรอดแล้ว…”
ฝูงชนแตกฮือเป็นวงกว้าง
“พ่อบ้านใหญ่นี่!”
“เป็นพ่อบ้านใหญ่หรอกรึ!”
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“หรือว่านายท่านสามขึ้นเป็นผู้นำอย่างมีเงื่อนงำ?”
นายท่านสามเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปทางพ่อบ้านใหญ่ทีหนึ่ง
เย็นชา เบื่อหน่าย และอึมครึม
อวี้ถังตกใจจนสะดุ้งสุดตัว
มีคนเข้าไปลากพ่อบ้านใหญ่ออกมา
เขาทางหนึ่งก็ดิ้นรน ทางหนึ่งก็แหกปากโวยวาย น่าเสียดายที่เสียงประทัดดังเกินไป อวี้ถังจึงไม่ได้ยิน
มีคนตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า “ขอให้ท่านผู้เฒ่าไปสู่สุคติ” ทุกคนต่างชะงักไป ภายหลังจึงระลึกได้ถึงบุญคุณที่ท่านผู้เฒ่าเคยมีให้กับตน แล้วพากันร้องไห้ออกมา
ขบวนแห่ศพกลับคืนสู่ลำดับขั้นตอนของพิธีอีกครั้ง ไม่นานก็เริ่มเคลื่อนขบวน
เสียงประทัดคล้ายว่าจะส่งเสียงดังกว่าเก่า
อวี้ถังคิดว่าเสียงที่ตะโกนขึ้นมานั้นไม่ได้ไร้เจตนา
อวี้ถังมองหาเจ้าของเสียงร้องไห้ท่ามกลางฝูงชน ทว่ากลับไม่พบอะไร
อวี้ถังเขย่งเท้าอีกครั้งเพื่อมองหาร่างของบิดา
ฝูงชนเบียดเสียด มองไปทางใดก็มีแต่ศีรษะคน
ท่านพ่อไม่รู้กำลังวุ่นวายอยู่ตรงไหน?
อวี้ถังถอนหายใจ
ตอนที่แยกกับนายหญิงหม่า เมื่อกลับไปที่เรือน ก็เลยยามอู่แล้ว
อวี้ถังเหงื่อโชกตัว เสื้อชั้นในแนบติดกับร่างไปหมด
นางเข้าไปอาบน้ำอีกรอบ จากนั้นก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อคลุมผ้าไหมหังโจวโปร่งสบาย หลังจากรับอาหารเที่ยงแล้ว ก็นอนหลับจนตะวันตกดิน
อวี้เหวินกลับมาแล้วเช่นกัน เขาอยู่ในเรือนรับแขกทางหนึ่งกินอาหารทางหนึ่งก็บ่นไม่หยุดว่า “พ่อบ้านใหญ่ก็ถือว่าเสียสละไม่น้อย เพื่อนายท่านใหญ่แล้ว ถึงกลับเอาชีวิตคนทั้งบ้านไปเสี่ยงด้วย เฮ้อ น่าเสียดาย”
อวี้ถังได้ยินหัวใจพลันกระตุก รีบเดินเข้าไปหาทันที เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ?”
คนตระกูลเฉินนั่งอยู่ข้างกายกำลังโบกพัดให้สามี พอได้ยินก็พูดขึ้นว่า “เป็นเด็กเป็นเล็ก ผู้ใหญ่พูดอยู่ต้องหยุดฟัง เรื่องที่ไม่ควรยุ่งก็ห้ามยุ่ง ผ้าเช็ดหน้าที่ให้เจ้าปักทำไปถึงไหนแล้ว? ไม่ใช่บอกว่าอีกสองวันซิ่วเหนียงจะมาเล่นที่เรือนรึ? น้ำแข็งกับแตงหวานที่เจ้าสัญญากับนางไว้เตรียมเสร็จแล้วหรือยัง?”
อวี้ถังเดินยิ้มตาหยีเข้าไปบีบไหล่ให้อวี้เหวิน เอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าก็กำลังขอท่านพ่ออยู่นี่อย่างไรเจ้าคะ? ในมือข้ามีเงินเก็บอยู่สองตำลึง ถ้าเอาไปซื้อน้ำแข็งกับแตงหวานก็จะไม่มีเงินแล้วเจ้าค่ะ!”
“ใครให้เจ้าชอบใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย” มารดาตำหนินาง แต่ก็ยังหันไปบอกป้าเฉินว่า “ไปที่ห้องข้าแล้วหยิบเงินสองสามตำลึงให้อาถัง”
“ท่านแม่ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ!” อวี้ถังพุ่งไปนวดไหล่ให้มารดา
คนสกุลเฉินทำหน้าไม่ถูก แล้วดึงมือของบุตรสาวที่อยู่บนไหล่ของตนลงมา เอ่ยว่า “ห้ามดื้อซนอีก ไปนวดไหล่ให้บิดาเจ้าเสีย ท่านพ่อเจ้าไปช่วยงานที่สกุลเผยอยู่หลายวัน ต้องเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว”
“ได้สิเจ้าคะ!” อวี้ถังย้ายไปนวดไหล่ให้อวี้เหวินอีกรอบ ทั้งพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าดีต่อท่านไหมเจ้าคะ?”
อวี้เหวินมองภรรยาที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาหัวเราะจนเป็นเส้นโค้ง ตอบว่า “ดี ดี ดี! เรือนหลังนี้อวี้ถังดีที่สุดแล้ว!”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ!” อวี้ถังยื่นมือไปหาอวี้เหวิน “ท่านพ่อก็ช่วยข้าออกเงินหน่อยสิเจ้าคะ! อย่าให้ข้าต้องขายหน้าต่อหน้าสหาย”
“อวี้ถัง!” คนสกุลเฉินแสร้งโมโห
อวี้เหวินรีบกล่อมภรรยาว่า “อย่าโกรธสิ อย่าโกรธ หมอหลวงหยางกับหมอหลวงหวังบอกแล้วว่าห้ามให้เจ้ามีน้ำโห” จากนั้นก็หันไปอบรมอวี้ถัง “ถ้าเจ้ายังกล้าทำเช่นนี้อีก ระวังข้าสั่งกักบริเวณเจ้าอีกรอบ ลงโทษให้เจ้าคัดตัวอักษรพันตัวด้วย”
อวี้ถังเดิมก็คิดจะหยอกล้อทุกคน แต่ผลกลับเลวร้ายกว่าที่คิด นางเสียใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปออดอ้อนมารดาทันที
อวี้เหวินถึงได้เรียกชื่อภรรยาว่า “ซิ่วเหยียน เจ้าดูสิ อวี้ถังตกใจจนหน้าซีดแล้ว เจ้าก็เลิกโมโหเถอะ! อีกอย่างพวกเราก็มีอวี้ถังเป็นลูกคนเดียว ต่อไปกิจการต่างๆ ย่อมเป็นของนาง พวกเราจะยกให้ตอนนี้หรือยกให้ภายหลังก็ไม่ต่างกัน เจ้าว่าจริงหรือไม่เล่า?”
คนสกุลเฉินถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วสั่งป้าเฉินต่อว่า “หยิบเงินแท่งเล็กให้นางไปแท่งหนึ่ง” พูดจบก็กลอกตาใส่สามี ถามว่า “ท่านพอใจหรือยังเจ้าคะ!”
“พอใจแล้ว พอใจแล้ว!” อวี้เหวินหัวเราะตาแทบปิด แล้วหันไปขยิบตาให้อวี้ถัง “เจ้าดูมารดาเจ้าสิ นางดีต่อเจ้าขนาดไหน วันก่อนข้าถูกใจพู่กันของหูโจวด้ามหนึ่ง ต้องใช้เงินถึงสองตำลึง มารดาเจ้าเสียดายไม่อยากซื้อให้ข้า แต่พอเจ้าเอ่ยปากกลับได้ตั้งสิบตำลึงเชียว”
“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ!” อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ พลางกล่าวขอบคุณมารดา
คนสกุลเฉินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
อวี้ถังถามบิดาเรื่องของสกุลเผยว่า “ท่านพ่อ ท่านเมื่อครู่กำลังพูดถึงพ่อบ้านใหญ่สกุลเผยหรือเจ้าคะ? เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
อวี้เหวินกลัวว่าคนสกุลเฉินจะพูดเรื่องเงินสองตำลึงไม่ยอมจบ จึงยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามบุตรสาว “กำลังพูดถึงเขาอยู่นี่อย่างไร หลังจากกลับไปเขาก็แขวนคอตาย!” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็หม่นแสง เอ่ยต่อว่า “ตอนที่ข้ากลับมา ได้ยินว่าเพราะเรื่องนี้ นายท่านสามก็สั่งให้กักตัวบ้านใหญ่ไว้ที่หอทิงหลันสุ่ย ไม่ยอมให้ใครเข้าพบ พี่สะใภ้ฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่กับหลานชายก็ยังไม่ได้กลับไป ถึงได้เอะอะโวยวายกันอยู่ตรงนั้น”
คนสกุลเฉินก็เพิ่งรู้เรื่องเช่นกัน อุทานว่า “ไอหยา” คำหนึ่ง เอ่ยว่า “นายท่านสามผู้นี้ก็ช่าง ช่าง…”
นางพลันหาคำที่เหมาะสมมาอธิบายการกระทำของนายท่านสามสกุลเผยไม่ได้
อวี้เหวินส่ายศีรษะ พูดว่า “ทุกคนต่างก็พูดเช่นนี้ ข้าคิดว่าสกุลเผยต้องเผชิญคลื่นลมครั้งใหญ่แน่ จึงได้อ้างว่าต้องกลับมาดูแลอาการป่วยของเจ้าแล้วขอตัวกลับมาก่อน พวกทังซิ่วไฉสองสามคนยังอยู่ที่จวนสกุลเผยอยู่เลย”
อวี้ถังนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างนายหญิงใหญ่สกุลเผยกับฮูหยินหยาง ก็ขมวดคิ้วทันที คิดว่าที่บิดาเล่ามาไม่ถูกต้อง เอ่ยว่า “นี่จะโทษนายท่านสามได้อย่างไร? ในฐานะพ่อบ้านใหญ่ เรื่องใดๆ ล้วนต้องคำนึงถึงสกุลเผยเป็นหลัก วันนี้เป็นวันแห่ศพของท่านผู้เฒ่า เขากลับแขวนคอตาย เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? หากว่าข้าเป็นนายท่านสาม ข้าไม่มีทางเก็บศพลงโลงให้แน่ จะให้คนแบกศพออกไปเสียอย่างนั้นเลย”
————————————————————-
[1]ทุบหม้อ เป็นหนึ่งในขั้นตอนก่อนพิธีแห่ศพออกจากเรือนเพื่อไปฝังที่สุสาน โดยบุตรชายคนโตหรือหลานชายคนโตของผู้ตายต้องเอาอ่างดินที่ใช้เผากระดาษเงินกระดาษทองมาโยนให้แตก ถึงจะเคลื่อนขบวนแห่ศพได้ หากโยนไม่แตก จะไม่มีการโยนซ้ำอีกครั้ง แต่จะให้ผู้แบกโลงศพเหยียบข้ามให้แตกแทน