ตอนที่ 15 ผู้ตรวจสอบขั้น 4

ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进c化系统)

ตอนที่ 15 ผู้ตรวจสอบขั้น 4

“คุณเป็นใคร ? คุณมาทำอะไรที่นี่ ? ” ตอนนั้นท้องฟ้าได้มืดลงไปแล้ว มันมีตำรวจเพียงไม่กี่นายที่เข้ากะอยู่ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนพร้อมกับบอดี้การ์ดเดินเข้ามา ตำรวจก็รีบเข้าไปขวางทางเอาไว้ทันที

“เรียกอธิบดีของพวกแกมา ถ้าอธิบดีไม่อยู่ ก็เรียกหัวหน้าฝ่ายมาซะ” บอดี้การ์ดพูดขึ้นโดยไม่ไว้หน้าตำรวจเลยแม้แต่น้อย

ถ้าเป็นที่โลกคงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เพราะตำรวจจะคอยรับใช้ประชาชนและได้รับความเคารพจากประชาชน

แต่โชคร้ายที่ที่นี่ไม่ใช่จีนบนดาวโลก แต่เป็นหัวเซี่ยของโลกนี้ และยังอยู่ในยุคของสัตว์อสูร ดังนั้นท่าทีของผู้คนจึงแตกต่างไปจากเดิม

ตำรวจที่เข้ามาขวางทางถึงกับชะงักไป

“เสี่ยวเฉิน นายแสดงท่าทีแบบนี้กับผู้รับใช้ประชาชนได้ยังไง ? ถ้าไม่มีคนพวกนี้เมืองอรุณจะปลอดภัยแบบนี้ได้ยังไง ? ” หลี่ว่านเฟิงคิ้วขมวดและพูดขึ้นมา

บอดี้การ์ดอีกคนรีบเอาตราออกมาและพูดขึ้น “คุณตำรวจ คุณรู้จักตรานี้รึเปล่า ? ”

ตำรวจหรี่ตาลงมองก่อนจะเบิกตากว้างและมองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยความตะลึง

มันกลับเป็นว่า….

“ท่านโปรดรอสักครู่ ผมจะไปเรียกหัวหน้าฝ่ายมาให้”

ไม่นานหลังจากนั้นก็มีตำรวจพุงพลุ้ยวิ่งออกมา ตัวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเหมือนเหนื่อยกับการรีบมาที่นี่

“ผม เทียนต้าจื่อ หัวหน้าฝ่ายของกะคืนนี้ ท่านคือผู้ตรวจสอบขั้น 4 อย่างงั้นหรือ ? ” เทียนต้าจื่อพูดขึ้น

หลี่ว่านเฟิงพูดขึ้นมา “ฉันได้ยินว่านายจับเด็กโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์มาใช่รึเปล่า ? ”

ได้ยินแบบนั้นหัวใจของเทียนต้าจื่อก็เต้นระรัวขึ้นมาทันที

‘มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้ตรวจสอบคงไม่ได้มาที่นี่เพราะเด็กนั่นหรอกใช่ไหม ? พวกนี้เกี่ยวข้องยังไงกัน เสี่ยวจ้าวกำลังจะไปอัดเด็กนั่นอยู่แท้ ๆ ’ เทียนต้าจื่อคิด จากนั้นเขาก็ได้ตอบกลับ “ ใช่ครับ มีเด็กถูกจับมาจริง ๆ แต่เรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นคนสั่ง ”

เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายยังดูเฉยเมย เขาก็ได้พูดต่อ “มันคือเรื่องทะเลาะวิวาท ผลลัพธ์ของเรื่องนี้รุนแรงมาก มีสัตว์อสูรหลายตัวที่โดนฆ่าและทรัพย์สินรอบข้างต่างก็เสียหาย  อีกฝ่ายไม่คิดจะเอาความ เราจึงขังเขาไว้ไม่กี่วันเพื่อเป็นการสั่งสอนเขา คุณมาเพราะเด็กนั่นอย่างงั้นหรือ ? ”

“ใช่ พาฉันไปหาเขาที ” หลี่ว่านเฟิงตอบกลับ

เทียนต้าจื่อเห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าจะชักช้าอีกต่อไป “ได้”

เขาพาไปที่ห้องขัง แต่ตอนนั้นเอง เขากลับได้ยินเสียงตะโกนด่าดังขึ้นมา

“ดี ฉันจะฆ่าแก”

สีหน้าของเทียนต้าจื่อเปลี่ยนไปทันที เขาจำได้ว่านี่คือเสียงของจ้าวหลิน

‘จ้าวหลินคือคนของตระกูลจ้าว เขาจะสั่งสอนเด็กนั่นสินะ ? ’ เทียนต้าจื่อคิดในใจ เขารีบบอกตำรวจที่เดินตามมาทันที “รีบเปิดประตู ”

“จ้าวหลิน นายจะทำอะไรเขา หยุดก่อน” เทียนต้าจื่อตะโกนขึ้นมา

“หัวหน้าเทียนรอสักครู่ อย่าเพิ่งเข้ามา ยังไงซะผมก็ไม่ฆ่ามันหรอก… ”

จ้าวหลินกำลังจะพูดต่อแต่ประตูกลับถูกเปิดออกแล้ว

บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งถอยกลับมาและกระซิบบอกกับหลี่ว่านเฟิง  “ท่านหลี่ เชิญ”

หลี่ว่านเฟิงเดินนำหน้าเข้าไปโดยมีเทียนต้าจื่อเดินตามไปอย่างกังวล เขารู้สึกได้ถึงพลังอันเย็นชาที่แผ่ออกมาจากตัวของหลี่ว่านเฟิง

“หัวหน้า ฉันบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งเข้ามา ฉันจะไปรายงานเรื่องนี้ทันทีที่เสร็จธุระเอง” จ้าวหลินหันกลับมา ใบหน้าของเขามีรอยแผล เสื้อผ้าของเขาฉีกขาด ที่ตัวของเขามีแผลหลายสิบที่ มองดูแล้วน่าตกใจจริง ๆ

ส่วนหวังเย่าไม่ได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เขามีแค่เลือดที่ติดเล็บของเขา เขามองไปยังกลุ่มคนที่เดินเข้ามาและรู้สึกว่าชายวัยกลางคนคนนั้นดูคุ้นตา

“นี่…นี่ไม่ใช่ผู้ปกครองแซ่หลี่อย่างงั้นหรือ ? ” เขาลองนึกย้อนไป ก่อนจะจำบางอย่างได้

ตอนที่พ่อแม่ของเขาตายไป เขายังเด็กอยู่และต้องมีผู้ปกครอง เขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไงแต่อยู่ ๆ ชายวัยกลางคนคนนี้กลับโผล่มา และได้กลายมาเป็นผู้ปกครองของหวังเย่า

พวกเขาได้เจอกันแค่ครั้งเดียวและไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก  หวังเย่ายังต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยที่ผู้ปกครองคนนี้ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

ไม่คิดเลยว่าชายคนนี้กลับโผล่มาช่วยเขา

“เดี๋ยวนะ….นี่แปลว่าฉันถูกเขาจับตาดูมาโดยตลอดอย่างงั้นหรือ ? นี่ไม่เกินไปหน่อยรึไง ! ”

แต่มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้ ยังไงซะมันก็มีกฎหมายห้ามสะกดรอยใครอยู่

เขาเป็นนักเรียน การอยู่ที่โรงเรียนจะมีอันตรายอะไรได้ ?

ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันก็เกือบ 8 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่เขาถูกจับมา แต่อีกฝ่ายเพิ่งจะมาถึง ดังนั้นคงบอกได้แค่ว่าอีกฝ่ายคงสนใจเขาอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับจับตาดูอยู่ตลอด

“ลุงหลี่ ทำไมลุงถึงได้มาที่นี่ได้ล่ะ ? ” หวังเย่าได้สติและถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

หลี่ว่านเฟิงพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปมองเทียนต้าจื่อ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “บอกฉันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”

แม้ว่าคำพูดจะเฉยเมย แต่เทียนต้าจื่อกลับเหงื่อตก เขากดดันอย่างมากจนแทบใจสลาย เขารีบพูดขึ้นมา “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” จากนั้นเขาก็มองไปที่จ้าวหลินและพูดขึ้น “จ้าวหลิน นายบ้าไปแล้วรึไง ฉันไม่ได้สั่งให้มาลงโทษเขาสักหน่อย”

จ้าวหลินได้สติทันทีและรีบพูดขึ้นมา “หัวหน้าเทียน ผมแค่ทำตามกฎ เด็กคนนี้เอาเสื้อมาปิดกล้องเอาไว้ ผมมาเพื่อพูดคุยกับเขาเรื่องนี้ แต่เขากลับมาหาเรื่องผมก่อน  แล้วผมจะทนได้ยังไง ดังนั้นผมจึงต้องสั่งสอนเขา แต่เด็กคนนี้กลับไม่ไว้หน้าผมเลย  คุณดูแผลของผมสิ แล้วคุณดูเด็กคนนั่นสิ… ”

“เรื่องนี้นายผิด เขาเป็นนักเรียนอยู่ เขาไม่ใช่นักโทษ  เขาแค่ทำผิดเล็กน้อยไม่ได้ร้ายแรงอะไร นายเป็นถึงตำรวจ นายรู้กฎหมาย แต่นายก็ยังคิดที่จะทำแบบนี้อยู่อีกงั้นหรือ ? นี่คือการกระทำที่ตำรวจควรจะทำรึไง ? ” เทียนต้าจื่อพูดออกมาเสียงแข็ง

หลี่ว่านเฟิงเห็นแบบนั้นก็คิ้วขมวด เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หัวหน้าเทียน ฉันเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้ และฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริง ”

เทียนต้าจื่อเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เขาจะเอาความกล้าจากไหนมาบอกความจริง

นี่มันเป็นการลำเอียงที่ชัดเจน เขาโดนกักขัง 13 วัน แต่อีกฝ่ายกลับไม่โดนอะไรเลย อีกฝ่ายแค่มาดื่มกาแฟแล้วกลับไป เรื่องแบบนี้เขาไม่อาจจะพูดได้

“ท่านหลี่ ที่นี่พูดคุยไม่สะดวก ไปคุยข้างนอกกันเถอะ” หัวหน้าเทียนพูดขึ้น

เมื่อกลับมาที่ห้องรับคดี อธิบดีกรมตำรวจจ้าวเสี่ยงซวนก็รีบเดินเข้ามา เขารู้ความจริงเรื่องนี้ทุกอย่าง เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ตรวจสอบได้ง่ายแค่ไหน เมื่อพบกับหลี่ว่านเฟิง เขาก็ยอมรับตามตรง “เรื่องนี้ถูกจัดการได้ไม่เหมาะสม ท่านคิดว่าเราควรจะจัดการยังไง ? ”

หลี่ว่านเฟิงยังแสดงสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับมองไปที่หวังเย่าซึ่งอยู่ข้าง ๆ

‘ไม่คิดเลยว่าผู้ปกครองของฉันจะเป็นคนใหญ่คนโต’ หวังเย่ารู้สึกเหมือนถูกหวย เขาไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่แล้ว

แต่เขาไม่อยากจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป เขาจึงได้พูดขึ้นมาทันที “ลุงหลี่ พวกนี้ไม่ใช่แค่จะขังผมเอาไว้ 13 วัน แต่ยังบอกว่าจะให้ผมกินข้าววันละมื้อและจะทรมานผมอีกด้วย”

จ้าวเสี่ยงซวนไม่รู้เรื่องนี้ หลังจากได้ยินแบบนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที  เมื่อเห็นสายตาอันเย็นชาของหลี่ว่านเฟิง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“หัวหน้าหลี่ เรื่องนี้ผมจะตรวจสอบให้ถี่ถ้วน ผมจะตรวจสอบคดีนี้ใหม่  ทางเราต้องขอโทษด้วย เด็กคนนี้จะโดนขัง 8 ชั่วโมงเหมือนกับผู้กระทำผิดคนอื่น ๆ แบบนี้คุณคิดว่ายังไง ? ” จ้าวเสี่ยงซวนตบอกและพูดขึ้นมา

“ดี จำที่คุณบอกเอาไว้ด้วย ฉันจะรอดูผลลัพธ์” หลี่ว่านเฟิงพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นแล้วบอกกับหวังเย่า “ไปกันได้แล้ว”