ในร้านแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งจัดวางอาวุธเวทนานาชนิดจำนวนมาก ลูกจ้างที่เป็นผู้ฝึกปราณช่วงต้นผู้หนึ่งกำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะ
จินเฟยเหยากวาดตามองหลายรอบ พบว่าในร้านล้วนเป็นอาวุธเวท ไม่มีของวิเศษ ร้านเล็กๆ แบบนี้ถึงแม้จะเตรียมของวิเศษชั้นล่างไว้หลายชิ้น แต่ของทั้งหมดไม่ได้วางจัดแสดง บนโต๊ะ ทุกชิ้นล้วนเป็นของล้ำค่าของร้าน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณชอบมาเป็นลูกค้าร้านเล็กๆ แบบนี้ ทว่ากลับไม่ใช้ของวิเศษ หรือก็คือเผื่อไว้ตอนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมาซื้อของวิเศษ จะสามารถขายได้ราคาดี
ตอนนี้ในร้านมีลูกค้าขั้นฝึกปราณสามคนกำลังเลือกอาวุธเวทอยู่ ร้านเล็กๆ แห่งนี้วางอาวุธเวททั้งหมดแยกประเภท เช่นนี้ทำให้ลูกค้าเลือกได้สะดวก เพียงแค่ค้นหาชิ้นที่ชอบ ตอนจะซื้อค่อยเรียกลูกจ้าง
จินเฟยเหยาไม่ต้องการอาวุธเวทโจมตีเป็นการชั่วคราว นางไม่มีเงินเก็บไปซื้อสิ่งของที่ไม่เหมาะมือ การรับรู้ของตนเองใช้อาวุธเวทแบบชุดแม่ลูกเหล่านั้นไม่ได้เลยสักนิด นางเดินตรงมายังหน้าแท่นอาวุธป้องกัน ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน
อาวุธเวทป้องกันราคาสูงและมีน้อยชิ้น ปริมาณอาวุธป้องกันภายในร้านแห่งนี้ก็ไม่มาก
จินเฟยเหยามองอาวุธเวทป้องกันบนแท่นเบื้องหน้า มีเพียงห้าชิ้น ส่วนอาวุธเวทรูปกระบี่ด้านข้างมีอยู่ยี่สิบกว่าชิ้นเต็มๆ เปรียบเทียบกันแล้ว ปริมาณของอาวุธเวทป้องกันน้อยมากจริงๆ มีเพียงหยกประดับสีเขียวสลักลายดอกบัว เข็มขัดหนังเส้นหนึ่ง กำไลข้อมือคู่หนึ่ง สุดท้ายก็คือเสื้อนอกของบุรุษตัวหนึ่ง
ร้านค้าแห่งนี้มีลูกจ้างไม่พอจริงๆ เจ้าของร้านเขียนราคาทั้งหมดไว้บนป้ายเล็กๆ ที่วางไว้ด้านข้างอาวุธเวท เพื่อจะได้ไม่ต้องถามราคา
หยกประดับสีเขียวแปดร้อยศิลาวิญญาณ เข็มขัดหนังห้าร้อยห้าศิลาวิญญาณ กำไลข้อมือหกร้อยศิลาวิญญาณ เสื้อนอกของบุรุษราคาถึงเก้าร้อยศิลาวิญญาณ
ราคานี้แพงเกินไป อีกทั้งมีประสิทธิผลอย่างไรก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ผู้ใดจะซื้อ พอมองดูอย่างละเอียด จินเฟยเหยาพบว่าด้านล่างป้ายราคายังมีตัวอักษรเล็กๆ แถวหนึ่ง ประสิทธิภาพของอาวุธเวทดูด้านหลัง
หยิบป้ายราคาพลิกดู ด้านบนเขียนประสิทธิภาพของอาวุธเวทไว้ หยกประดับสีเขียว ยามเผชิญการโจมตีจะปลดปล่อยม่านป้องกันสีเขียวออกมาเอง ต้านทานการโจมตีด้วยเวทมนตร์ได้
ส่วนด้านหลังป้ายอาวุธเวทชิ้นอื่นๆ อีกหลายชิ้นก็เขียนแนะนำไว้เกือบหมด เข็มขัดหนังสามารถปลดปล่อยม่านป้องกันออกมา เพียงแต่หนึ่งวันสามารถใช้ได้สามครั้ง ประสิทธิภาพการใช้งานต่ำไปหน่อย ส่วนเสื้อนอกของบุรุษไม่มีม่านป้องกัน ทว่ามีเวทมนตร์ย้อนกลับไปกลืนกินแทน ถ้ามีเวทมนตร์โจมตีมา จะปลดปล่อยคมวายุอันรุนแรง คมวายุรวดเร็วอย่างที่สุด ต้องเป็นผู้ฝึกปราณช่วงปลายจึงสามารถควบคุมเวทมนตร์ได้ทั้งหมด ถ้าถูกมันโจมตีเข้าโดยไม่คาดฝันคงหายไปครึ่งชีวิต
ที่จริงจินเฟยเหยาค่อนข้างอยากได้กำไลคู่นั้น แต่ละวันกำไลแต่ละวงสามารถปลดปล่อยม่านป้องกันออกมา สามารถสลับสับเปลี่ยนกันใช้งานได้ และสามารถใช้พร้อมกันได้ อีกทั้งที่ทำให้จินเฟยเหยาอยากได้คือมันมีความสามารถในการผูกมัด สามารถบินออกไปผูกมัดอีกฝ่ายได้ ใกล้เคียงกับวงแหวนหยกชิ้นนั้น
อาวุธเวทชั้นล่างที่สามารถโจมตีและป้องกันได้แบบนี้ ที่ราคาเพียงหกร้อยศิลาวิญญาณก็มีสาเหตุ นั่นคืออัปลักษณ์เกินไป
มีจุดด่างเต็มไปหมด ราวกับเคยถูกหนอนแมลงกัดแทะ กำไลสีเหลืองดำที่เต็มไปด้วยหลุม จินเฟยเหยาอดไม่ได้
นางตะโกนเรียกลูกจ้างเพียงคนเดียวในร้าน ชี้ไปที่กำไลแล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ขอถามหน่อยเกิดอะไรขึ้นกับกำไล? เหตุใดจึงแปลกประหลาดขนาดนี้”
ลูกจ้างอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เห็นท่าทางไม่ใส่ใจของเขา ร้านนี้น่าจะเป็นกิจการของตนเอง เห็นเขามองกำไลแล้วหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “กำไลมังกรทองสมปรารถนา เป็นของดี ทั้งสามารถโจมตีและป้องกันได้ ตอนนี้แค่หกร้อยศิลาวิญญาณเท่านั้น ไม่ซื้อก็น่าเสียดาย”
จินเฟยเหยาหางตากระตุก “กำไลมังกรทองสมปรารถนา? หยิบผิดหรือไม่”
“ตอนเพิ่งหลอมเสร็จมีมังกรทอง มังกรทองเหมือนจริงราวกับมีชีวิตงดงามมาก แสงสีทองระยิบระยับ ร่ำรวยและมีเกียรติไร้ที่เปรียบ ทำให้คนมองแล้วรู้สึกชื่นชอบ” เขาพูดจนน้ำลายกระเซ็น สายตามองรอบด้านอย่างพินิจพิเคราะห์ คิดจะดูว่ามีคนมากับจินเฟยเหยาหรือไม่
อย่าเห็นว่าจินเฟยเหยาทำอะไรล้วนมีประสบการณ์ ที่จริงคือเด็กอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง ในสายตาของผู้บำเพ็ญเซียนส่วนมาก นั่นคือขนาดรุ่นหลานยังอายุมากกว่านางเลย เด็กแบบนี้ น้อยมากที่จะบำเพ็ญเพียรคนเดียวตามลำพัง ลูกจ้างไม่แน่ใจนักว่าถ้าหลอกนางจะถูกผู้อาวุโสของนางมาหาถึงที่หรือไม่
ได้ยินเขายิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ จินเฟยเหยาจึงรีบตัดบทเขา “เดี๋ยวก่อน เจ้าพูดถึงจุดสำคัญก็พอ ต่อมาเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้”
“ต่อมา…รู้สึกว่ามังกรทองไร้รสนิยมเกินไป เด็กผู้หญิงสวมแล้วไม่งดงาม ดังนั้นจึงเอามันออก ตอนนี้เจ้าดูสิ ในสีดำของกำไลข้อมือมีสีเหลือง ลักษณะเช่นนี้ย่อมต้องเป็นลวดลายที่สวรรค์สร้าง แตกต่างจากของชิ้นอื่นมากเพียงใด” ลูกจ้างนำกำไลข้อมือออกมาลูบไล้เบาๆ ราวกับสิ่งที่หยิบเป็นของล้ำค่า
“เจ้าเด็กบ้า อยู่ว่างจนประสาทไปลานด้านหลังจัดการวัตถุดิบเสีย พูดจาเหลวไหลทั้งวัน” บุรุษรูปร่างล่ำสันอายุสามสิบกว่าผู้หนึ่งออกมาจากลานบ้านด้านหลัง พอดีได้ยินคำพูดของลูกจ้าง พอมาถึงก็ตบไหล่ของเขาหนักๆ หนึ่งที
ลูกจ้างทำหน้าเมื่อย เอ่ยพึมพำเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม “พี่ใหญ่ข้าแค่คิดจะขายเจ้าของสิ่งนี้ออกไป”
บุรุษรูปร่างล่ำสันใช้มือผลักเขา “ทางด้านนั้นมีแขกต้องการดูดาบผีเสื้อคู่แม่ลูก เจ้าไปรับรองลูกค้าหน่อย ที่นี่มอบให้ข้า”
ลูกจ้างเดินพึมพำจากไปอย่างไม่เต็มใจ ยังหันหน้ามามองพี่ใหญ่อย่างเสียใจ เห็นพี่ใหญ่ถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย ก็ได้แต่เดินคอตกไปหาลูกค้า
“สหายเซียนน้อยท่านนี้ ข้าเป็นเจ้าของร้านนี้ เมื่อครู่น้องชายข้าล่วงเกินไป โปรดอย่าถือโทษเลย” บุรุษร่างล่ำสันเอ่ยด้วยรอยยิ้มเผยให้เห็นฟันสีขาวหิมะกระจ่างสดใส
จินเฟยเหยายิ้มแล้วส่ายศีรษะ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องมีโทสะ
เห็นจินเฟยเหยาไม่โกรธเคือง เพียงแค่มองดูเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย เจ้าของร้านชี้กำไลที่เคยถูกหนอนกัดแทะแล้วเอ่ยอธิบายว่า “สหายเซียนน้อย อาวุธเวทชิ้นนี้เดิมทีเป็นอาวุธเวทระดับกลาง เพียงเพราะตอนสุดท้ายที่สร้าง ข้าไม่ระวัง ไม่ได้ควบคุมความแรงของไฟให้ดี จึงเผาภายนอกจนกลายเป็นเช่นนี้ ถึงจะน่าเกลียดหน่อย ทว่ากลับไม่มีผลกระทบกับการใช้สอย”
“ลดหน่อยเถอะ น่าเกลียดขนาดนี้ ใครจะสวมออกไป” จินเฟยเหยาลูบจมูก ท่าทางไม่ยินยอม
“เช่นนั้นเจ้าซื้อหยกประดับสีเขียวเถอะ”
“ไม่มีเงิน”
“…”
เห็นเจ้าของร้านมีท่าทางลำบากใจ ราวกับศิลาวิญญาณหกร้อยก้อนเป็นราคาที่ถูกที่สุดแล้ว จินเฟยเหยาไม่เคยสร้างอาวุธมาก่อน ไม่เข้าใจว่าการหลอมอาวุธเวทชิ้นหนึ่งต้องใช้ต้นทุนเท่าไหร่ ถึงกังวลรูปลักษณ์ภายนอกของอาวุธเวทยังตัดใจลดราคาไม่ได้ ดูท่าไม่มีทางลดราคาให้จริงๆ
กระบี่ยาวทางด้านข้าง ชั้นล่างเล่มละแค่สามร้อยศิลาวิญญาณ ชั้นกลางก็แพงขึ้นมาหน่อย หนึ่งเล่มราคาห้าร้อยกว่าศิลาวิญญาณ จินเฟยเหยานำกระบี่สีขาวที่สยงเทียนคุนทิ้งไว้ให้ออกมา “เจ้าของร้าน ใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนให้ข้าเถอะ กระบี่เล่มนี้สภาพดีมาก ท่านดูสิ งานประณีตอย่างยิ่ง มาจากน้ำมือของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม สามารถขายราคาหกร้อยศิลาวิญญาณได้สบายๆ”
ไม่รู้ว่าบิดาขั้นหลอมรวมของสยงเทียนคุนหลอมกระบี่เล่มนี้ขึ้นหรือไม่ อย่างไรเสียก็คงไม่ใช่ของชั้นต่ำ จึงคุยโวตามใจชอบ
เจ้าของร้านรับกระบี่สีขาวมา พินิจดูอย่างละเอียด จริงเสียด้วย งานประณีตมาก มองดูก็รู้ว่ามาจากช่างหลอมอาวุธที่มีความสามารถสูงส่ง อาวุธเวทระดับกลางที่เขาหลอม เปรียบกับกระบี่เล่มนี้แล้วก็คือเด็กน้อยเล่นดินโคลน ไม่อาจตรวจสอบอย่างละเอียด
ใคร่ครวญดู รูปลักษณ์ภายนอกของกำไลย่ำแย่เกินไปจริงๆ มิสู้เปลี่ยนกับกระบี่ยาวเล่มนี้ เช่นนี้พอคำนวณแล้ว ตนเองถือว่าได้กำไร
“เห็นแก่สหายเซียนน้อยที่จริงใจ ข้าจะแลกกับเจ้า ไม่เช่นนั้นพวกเราเพียงรับแลกวัตถุดิบ” เจ้าของร้านเอ่ยอย่างยินดี ในใจพึงพอใจกระบี่สีขาวอย่างที่สุด คิดจะเอาไว้ให้น้องชายใช้
“อืม พวกนี้ถือว่าเป็นของกำนัลเถอะ” จินเฟยเหยาโอบอาวุธเวทหลายชิ้นไว้ ทั้งยังมองหาสิ่งของที่ต้องใจไปไปทั่ว
เจ้าของร้านร้อนใจ รีบยื่นมือไปแย่งของเหล่านั้นมาวางไว้บนโต๊ะจึงได้พบว่า นางหยิบของกำนัลไปรวมสี่ชิ้น อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “สหายเซียนน้อยผู้นี้ มีของกำนัลแบบนั้นที่ไหน เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ข้าปิดร้านนะ? ถ้าเจ้าตัดใจไม่ได้ ข้าจะเพิ่มยันต์อัคคีให้เจ้าอีกหลายใบ”
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ หยิบดาบโค้งวงเดือนเหล็กศิลาเงินเล่มหนึ่งในของกำนัลขึ้นมา เอ่ยอย่างน่าสงสาร “เจ้าของร้าน ข้ามอบกระบี่สีขาวให้ท่านไปก็ไม่มีอาวุธ ท่านต้องให้ดาบข้าเล่มหนึ่งไว้ป้องกันตัวนะ ข้าไม่เอาของดีหรอก เอาแค่อาวุธเวทระดับล่างชิ้นนี้เท่านั้น”
ดาบโค้งวงเดือนเล่มนั้นไม่ถือว่าดีนัก มีราคาแค่สองร้อยกว่าศิลาวิญญาณ เจ้าของร้านครุ่นคิด พยักหน้าอนุญาต บวกกับดาบเล่มนี้คำนวณดูแล้วก็ยังไม่ถือว่าขาดทุน ผู้ใดให้คุณภาพของกระบี่สีขาวเล่มนั้นไม่ธรรมดาเล่า
เห็นเจ้าของร้านอนุญาต จินเฟยเหยาจึงวางดาบโค้งวงเดือนลงในกระเป๋าเก็บของ แล้วหยิบกำไลมังกรทองสมปรารถนาอันน่าขำมาสวมบนมือ จากนั้นจึงได้หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งในหมู่ของกำนัลขึ้น แล้วยิ้มให้เจ้าของร้าน “ เจ้าของร้าน ท่านดีต่อคนอื่นมาก ข้าตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะเอาวัตถุดิบที่ล่ามาได้ขายให้ท่าน มีดสั้นเล่มนี้เอาไว้ให้ข้าหั่นวัตถุดิบเถอะ ดาบโค้งวงเดือนเล่มนั้นใช้ไม่สะดวก ถ้าตัดหนังขาดก็ใช้ไม่ได้”
ไม่รอให้เจ้าของร้านพยักหน้า นางก็เก็บมีดสั้นอย่างว่องไว จากนั้นดวงตาก็จับจ้องอีกสองชิ้นที่เหลือ
“พอแล้ว ให้เจ้าอีกไม่ได้แล้ว ถ้าเจ้าหยิบอีก ข้าจะไม่แลกด้วย” เจ้าของร้านร้อนใจ รีบห้ามปรามจินเฟยเหยาที่จับจ้องมองอาวุธเวทด้วยสายตาดุร้ายกระหาย
จินเฟยเหยาทำปากยื่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าของร้าน ท่านตื่นตระหนกเกินไปแล้ว ข้าจะเป็นคนหลอกลวงเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าแค่คิดจะถามท่านหน่อย เมื่อครู่ท่านบอกว่าจะเพิ่มยันต์อัคคีให้ข้า ยังเชื่อถือได้หรือไม่”
ไม่รอให้เจ้าของร้านเอ่ยปาก นางก็พูดกับตนเองว่า “ข้านี่จริงๆ เลย ถามเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร เจ้าของร้านเป็นผู้อาวุโสขั้นสร้างฐาน จะพูดจาเชื่อถือไม่ได้และบิดพลิ้วยันต์อัคคีไม่กี่ใบของข้าได้อย่างไร”
เจ้าของร้านรู้สึกว่ามีโทสะไม่ลง หยิบของไปตั้งมากมาย ยังต้องการยันต์อัคคีอีก ในร้านยังมีลูกค้าคนอื่นๆ มองมาทางด้านนี้ ลูกจ้างทนฟังไม่ไหว พุ่งเข้ามาโต้เถียง “เหตุใดเจ้าจึงเป็นคนเช่นนี้ หยิบสิ่งของไปตั้งหลายอย่างแล้ว ยังต้องการยันต์อีก พี่ใหญ่ คืนกระบี่ให้นาง พวกเราไม่แลกเปลี่ยนแล้ว พวกเราขอร้องให้นางแลกเปลี่ยนหรือ”
ท่าทางของจินเฟยเหยาเหมือนกระต่ายน้อยที่ได้รับความตื่นตระหนก หดไหล่เอ่ยพึมพำอย่างขลาดกลัวน้ำตาเอ่อคลอ “ข้าไม่กล้าแล้ว ข้าไม่เอาแล้วก็ได้ พวกเจ้าอย่าทุบตีข้า”
จากนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่นด้วยใบหน้าวิงวอน “ข้าไม่เอายันต์แล้ว พวกเจ้าบอกว่าเท่าไหร่ก็เท่านั้น ข้าไม่กล้าเอาแล้ว ขอร้องพวกท่านให้ทางรอดแก่ข้าเถอะ จะไม่ให้อะไรข้าเลยก็ได้”
ลูกค้าในร้านมองเจ้าของร้านด้วยสีหน้าตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าร้านนี้เห็นผู้อื่นพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำก็บังคับแลกสินค้า และยังไม่คิดจะให้สิ่งของที่ตกลงกันไว้ ที่แท้นี่คือร้านโจร เจ้าของร้านที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นถึงกับทำเรื่องลดเกียรติตนเองเช่นนี้
เจ้าของร้านและลูกจ้างคิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาแทนที่จะยอมรับผิดกลับมาเล่นงานพวกเขา นางอาศัยว่าอายุเยาว์มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำมารังแกพวกเขาชัดๆ ตอนนี้พวกเขากลับถูกนางป้ายสีว่าตนเองใช้อำนาจรังแกคน
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณตระหนักดีถึงระยะห่างจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน จึงไม่กล้าคบค้าสมาคมและล่วงเกินพวกเขาตามใจชอบ เจ้าของร้านรู้สึกคับข้องใจ เจ้าเด็กนี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่กลัวผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเลยสักนิด แถมยังกล้ามาเอาเปรียบอีก ไม่รู้ว่าโง่งมหรืออายุน้อยเกินไปจนไม่รู้ความ
ถ้าทุบตีเด็กหญิงที่เพิ่งบรรลุขั้นฝึกปราณคนหนึ่งจริงๆ เจ้าของร้านยังหักใจลงมือไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าห้ามต่อสู้กันในเมือง ส่วนลูกจ้างนั้นมีโทสะจนถลึงตาใส่และจับจ้องมองจินเฟยเหยาแน่วนิ่ง ทว่ากลับลงมือไม่ได้
จินเฟยเหยาแอบหัวเราะ พลังการบำเพ็ญเพียรของข้าต่ำปานนี้ ทั้งอายุเยาว์ ดูสิว่าพวกเจ้าจะมีหน้ามาทุบตีข้าได้อย่างไร