เล่ม 1 ตอนที่ 13 กลับคืนสู่วิทยาลัย

สลับชะตา ชายามือสังหาร

เช้าวันรุ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งบนรถเทียมสัตว์อสูรไปยังวิทยาลัย รถเทียมสัตว์อสูรนี้มีความคล้ายคลึงกับรถเทียมม้าในชาติก่อนอยู่พอสมควร เพียงแต่ว่าสัตว์ที่ใช้ลากรถนั้นมีเป็นร้อยเป็นพันชนิด ไม่ได้มีแค่ม้าเพียงชนิดเดียว

 

รถที่ซือหม่าเลี่ยเตรียมให้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คือรถเทียมหมาป่า ที่ลากรถอยู่ข้างหน้าก็คือหมาป่าพายุองอาจสง่างามสี่ตัว ทุกตัวล้วนเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นห้าทั้งสิ้น

 

คนทั่วไปแค่อยากทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ ยังถือเป็นเรื่องที่ต่อให้ร้องขอก็มิอาจไขว่คว้า แต่พออยู่กับซือหม่าโยวเย่ว์แล้วกลับกลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษลากรถ ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากตลอดทาง

 

“ท่านพี่สี่ แล้วท่านพี่สามเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูรถม้าอันใหญ่โตมโหฬารที่มีเพียงแค่เธอกับซือหม่าโยวเล่อสองคนเท่านั้นแล้วก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

 

“วันนี้ท่านพี่สามจะออกปฏิบัติภารกิจกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา ก็เลยออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว” ซือหม่าโยวเล่อเอ่ยตอบ

 

“ออกปฏิบัติภารกิจหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าโยวเล่ออย่างสงสัย นี่เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าตนไม่เข้าใจเลย!

 

เดิมทีซือหม่าโยวเล่อกำลังอ่านหนังสืออยู่ เขาปิดหนังสือลงแล้วเอ่ยว่า “วิทยาลัยมิใช่สถานที่ที่เอาไว้สำหรับศึกษาทฤษฎีเท่านั้น ยังอาจจะมอบหมายภารกิจบางอย่างให้กับนักเรียนได้อีกด้วย เพื่อยกระดับประสบการณ์จริงให้กับพวกเรา และอ้างอิงจากพลังยุทธ์ที่ไม่เท่ากัน ความยากของภารกิจนี้ก็อาจจะไม่เท่ากันด้วย คราวนี้พวกพี่ใหญ่ออกไปนอกเมือง คาดว่าต้องใช้ระยะเวลานานพอดูทีเดียวจึงจะกลับมาได้”

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ดูท่าทางชีวิตในวิทยาลัยแห่งนี้ก็คงจะไม่น่าเบื่อแล้วสินะ!

 

“ใช่แล้ว เมื่อวานข้าลืมบอกเจ้าไปเลย เมื่อวานและวันนี้เป็นวันคัดเลือกนักเรียนใหม่ของวิทยาลัย ถ้าหากเจ้าสนใจก็ไปดูได้นะ แต่เช้านี้ข้าต้องอยู่กับอาจารย์ เกรงว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้ ถ้าหากเจ้าอยากไป วันนี้ตอนบ่ายข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าดีไหม” ซือหม่าโยวเล่อพูด

 

“ไม่ต้องหรอก ถ้าท่านมีธุระก็ไปทำเถิด ถ้าหากข้าสนใจ ข้าไปเองก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าพลางเอ่ยปฏิเสธ

 

เธอรู้ว่าซือหม่าโยวเล่อกลัวว่าตนจะเบื่อหน่ายอยู่ในวิทยาลัยคนเดียวหรืออาจถูกรังแก แต่เธอย่อมไม่อาจให้พี่ชายของตนอยู่เป็นเพื่อนตนได้ตลอดทุกวันอยู่แล้ว คนที่โตขนาดนี้ก็ควรเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าภายในยังเป็นคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วอีกด้วย

 

“เย่ว์เอ๋อร์โตแล้วจริงๆ สินะ!” ซือหม่าโยวเล่อมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างชื่นชม

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกคำพูดของซือหม่าโยวเล่อทำให้อับจนคำพูดอยู่บ้าง เขาดูเหมือนว่าจะโตกว่าตนเพียงแค่สามปีเท่านั้น แต่พูดเสียราวกับว่าโตกว่าเธอมากมายอย่างนั้นแหละ! เพื่อมิให้การกลอกตาของตนถูกพบเห็น เธอจึงดึงม่านหน้าต่างเปิดออกดูบรรยากาศภายนอก ก็พบว่าบนถนนใหญ่มีผู้คนผ่านไปมาคลาคล่ำ คึกคักไม่น้อยเลยทีเดียว ซือหม่าโยวเล่อบอกว่านี่เป็นเพราะการสมัครเข้าเรียนวิทยาลัยเป็นเหตุ ทุกครั้งเมื่อถึงวันสมัครเข้าวิทยาลัย เมืองหลวงก็จะคึกคักเป็นพิเศษเสมอ

 

รถเทียมสัตว์อสูรพาพวกเขามาถึงยังวิทยาลัย ซือหม่าโยวเล่อพาซือหม่าโยวเย่ว์มาส่งถึงห้องเรียน เมื่อตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเธอไม่มีปัญหาอันใดแน่แล้วจึงค่อยจากไป

 

การปรากฏตัวของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ชั้นเรียนที่อึกทึกครึกโครมเงียบงันลงมาในทันใด ตามมาด้วยเสียงโห่ดังสนั่น ทั้งยังมีเสียงเยาะหยันจำนวนหนึ่งอีกด้วย

 

“คนไร้ค่ามาโผล่ในชั้นเรียนได้อย่างไรกันนี่”

 

“ฮ่าๆ หรือเป็นเพราะได้ยินว่าคราวนี้มีบุรุษรูปงามมากันหลายคน เขาก็เลยเตรียมตัวไปวิงวอนผู้อื่นอีกแล้วสินะ”

 

“ได้ยินว่าคราวก่อนเขาไปลวนลามคุณชายมู่หรงอานจนถูกผู้ติดตามของเขาตีจนปางตายเลยทีเดียว”

 

“มิน่าเล่าถึงไม่เห็นเขาเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าประตูวิทยาลัยมาเนิ่นนานแล้ว ที่แท้ก็กลับไปรักษาอาการบาดเจ็บนี่เอง! ”

 

“คนเช่นเขานี้ก็สมควรถูกตีเสียให้ตายนั่นแหละ! คนไร้ค่าที่ไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง หากมิใช่เพราะมีท่านปู่คอยคุ้มกะลาหัวแล้วเขาจะมาเชิดหน้าชูคออยู่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

 

“…”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินวาจาเหล่านี้แล้วในใจก็ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นเสียงหนึ่งพลางแอบจดจำพวกเขาเอาไว้อย่างเงียบๆ  เธอเห็นว่าแถวหลังสุดของชั้นเรียนมีที่นั่งว่างอยู่ที่หนึ่ง จึงเดินตรงไปนั่งลงที่นั่น หลังจากนั้นก็หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

 

อันที่จริงแล้วหากพูดถึงเจ้าของร่างเดิม นางก็ไม่เลวเลยทีเดียว ที่ไม่ชอบเรียนหนังสือก็เป็นเพราะว่านางไม่อาจบำเพ็ญได้ ย่อมมิได้มีความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญเหล่านี้เลย

 

นางชมชอบบุรุษรูปงาม นี่ก็ไม่มีอะไรให้ตำหนิ เพราะเดิมทีนางก็เป็นสตรี เพียงแต่ว่าความชอบนี้กลับกลายมากเกินจะควบคุม จึงทำให้ผู้อื่นรับไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางที่มาจากครอบครัวที่บารมีสูงส่งก็มิได้ข่มเหงรังแกผู้คน อีกทั้งยังมิได้พาลูกน้องไปเกะกะระรานเหมือนกลุ่มอันธพาลบางกลุ่ม

 

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาเข้าเรียนอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเธอมิได้โต้ตอบเลยแม้แต่น้อย ทุกคนก็เริ่มหมดความสนใจแล้วเปลี่ยนหัวข้อไปเป็นเรื่องรับนักเรียนใหม่เข้ามาในสองวันนี้แทน

 

แต่ว่าก็มีผู้ที่ให้ความสนใจกับเรื่องของเธอมากกว่าเรื่องอื่นใดแล้วนำเรื่องที่เธอมายังวิทยาลัยไปแพร่ เพียงไม่นานทุกคนต่างก็รู้กันทั่วว่าคนไร้ค่าอันดับหนึ่งที่เคยมาที่วิทยาลัยแค่วันแรกวันเดียว มายังวิทยาลัยอีกแล้ว!

 

ที่ศาลาริมทะเลสาบของวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คนหลายคนนั่งล้อมวงวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์มายังวิทยาลัย

 

“มู่หรง คนไร้ค่าผู้นี้มิได้จะมาเกาะแกะเจ้าอีกแล้วหรือ” มีคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมู่หรงอานที่อยู่ตรงกลางพูดขึ้น

 

มู่หรงอานผู้นี้ก็มีรูปโฉมน่ามองจริงๆ เสียด้วย ถ้าหากอยู่ในยุคปัจจุบันก็ต้องเป็นดาราดังเลยทีเดียว เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวตลอดร่าง ดูแล้วออกจะเหนือจริงอยู่บ้าง  เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกเขาพูดแล้วคิ้วกระบี่ก็อดขมวดมุ่นมิได้

 

“ใช่เลย ข้าก็รู้สึกเช่นกัน มิใช่ว่าเจ้าคนไร้ค่าผู้นี้เห็นว่าช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยได้ออกไปนอกวิทยาลัยสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงวิ่งเข้ามาหาเจ้าในวิทยาลัยเสียเองหรอกหรือ”

 

“คราวก่อนทุบตีเช่นนั้นไปยกหนึ่ง ยังคิดว่าเขาอาจจะให้คนบ้านเขามาแก้แค้นก็ได้ คิดไม่ถึงว่ารอคอยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้วแต่กลับยังไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดๆ”

 

หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายมู่หรงอานก็คือคนเดียวกันกับที่ยืนดูซือหม่าโยวเย่ว์ถูกทุบตีอยู่กับมู่หรงอานในตอนนั้นนั่นเอง เมื่อได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์กลับมายังวิทยาลัยอีกครั้งก็อดถามขึ้นมามิได้ว่า “มู่หรง ถ้าหากเขามาเกาะแกะเจ้าอีกจะทำเช่นไรเล่า”

 

มู่หรงอานเอื้อมมือมากุมมือของหญิงสาวพลางเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสทำเช่นนั้นหรอก”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่ในชั้นเรียนครู่หนึ่งแล้วก็ถูกเรียกตัวไปยังห้องทำงานของท่านอาจารย์มู่ ตอนที่เธอเข้าไปก็เห็นท่านอาจารย์มู่กำลังดื่มชาอยู่กับคนที่หล่อเหลางามสง่า อายุอานามไม่มากนักผู้หนึ่งอยู่ อาภรณ์สีขาวบนร่างของเขาทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าได้แต่ดูอยู่ห่างๆ แต่มิอาจล่วงเกินได้ขึ้นมา

 

เมื่อเห็นเธอเดินเข้าไป นัยน์ตาของท่านอาจารย์มู่ก็ฉายแววรังเกียจออกมา แต่หลังจากนั้นกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ท่านนี้คือเฟิงจือสิง อาจารย์ของนักเรียนเข้าใหม่”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์คารวะเฟิงจือสิงคราหนึ่งพลางเอ่ยเรียก “ท่านอาจารย์เฟิง”

 

เฟิงจือสิงหมุนกายมามองซือหม่าโยวเย่ว์ บนใบหน้ามิได้ฉายแววรังเกียจหรือไม่พอใจเลยแม้แต่น้อยแล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็คือซือหม่าโยวเย่ว์อย่างนั้นหรือ ต่อจากนี้ไปก็จะต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็จะลงโทษเจ้าเช่นเดียวกัน”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกวาจาของเฟิงจือสิงทำให้สับสนอยู่บ้าง เธอมองเฟิงจือสิงและท่านอาจารย์มู่อย่างสงสัย

 

“แค่กๆ คือว่าอย่างนี้นะ เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรเจ้าก็ไม่เคยเข้าเรียนมาก่อนเลย คิดว่าเจ้ามาเข้าเรียนตอนนี้ก็คงจะเรียนตามผู้อื่นมิทัน ดังนั้นข้าก็เลยไปพบท่านอาจารย์ใหญ่แล้วพูดคุยกันรอบหนึ่ง พอดีกับที่วันนี้มีการคัดเลือกนักเรียนใหม่ ก็เลยจะให้เจ้าไปเรียนพร้อมกันกับนักเรียนใหม่เลยแล้วกัน เช่นนี้จะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่า ดังนั้นต่อจากนี้ไปเจ้าก็คือนักเรียนของท่านอาจารย์เฟิงแล้วล่ะนะ” ท่านอาจารย์มู่พูดอธิบาย

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทีที่เต็มไปด้วยการคิดแทนนางของท่านอาจารย์มู่ ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามปกปิดอย่างสุดกำลัง แต่ว่าเธอก็ยังคงมองเห็นความยินดีในดวงตาเขาอยู่ดี

 

เขารู้สึกมาตลอดว่าการมีสุดยอดคนไร้ค่าอยู่ในชั้นเรียนของเขานั้นช่างเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง ในที่สุดตอนนี้ก็ได้ส่งตัวเขาออกไปแล้ว ในใจก็โห่ร้องยินดีเสียงดังลั่น ต้องรู้เอาไว้ว่าคนอย่างเขา มีนักเรียนที่เป็นคนไร้ค่าอยู่คนหนึ่ง ช่างเป็นเรื่องน่าอายยิ่งนัก! ก็มีเพียงคนที่อาจารย์ใหญ่ไปหามาจากไหนไม่รู้เช่นนี้เท่านั้นจึงจะรับนักเรียนเช่นนี้คนหนึ่งไปได้

 

………………………