“หลังจากนี้ก็ขอรบกวนท่านอาจารย์เฟิงเป็นอย่างมากด้วยนะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงพลางเอ่ยขึ้น
ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของท่านอาจารย์มู่ผู้นี้จะทำให้เธอไม่ชอบใจ แต่เธอก็รู้สึกว่าแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยเรียนในวิทยาลัยมาก่อนเลย ดังนั้นการเรียนกับนักเรียนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก
“นี่คือกุญแจห้องเจ้า” เฟิงจือสิงยื่นกุญแจดอกหนึ่งส่งให้ซือหม่าโยวเย่ว์
“กุญแจหรือขอรับ”
ข้าต้องขอให้นักเรียนของข้าทั้งหมดมาพักค้างแรมอยู่ที่วิทยาลัย ข้ารู้ว่าท่านปู่ของเจ้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์เมือง แต่ว่าเจ้าก็ต้องมาอาศัยอยู่ที่วิทยาลัยอยู่ดี ในยามปกติจะออกไปได้ แต่ตอนกลางคืนในเวลานอนนั้นจำเป็นจะต้องอยู่ในหอพัก เวลาที่ไม่ได้ออกปฏิบัติภารกิจ หนึ่งสัปดาห์จะกลับไปนอนที่บ้านได้หนึ่งวัน” เฟิงจือสิงพูดอธิบาย
ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบเหตุผล แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังเอออออย่างเชื่อฟัง
“เอาละ ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ไปจัดการย้ายข้าวของมาที่วิทยาลัยเสีย วันมะรืนพวกเราก็จะเริ่มชั้นเรียนอย่างเป็นทางการกันแล้วนะ” เฟิงจือสิงพูด
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์คารวะคนทั้งสองแล้วก็กลับออกมา ในเมื่อตอนนี้ไม่ต้องเข้าเรียน เช่นนั้นเธอก็อาศัยจังหวะนี้กลับไปบำเพ็ญก็แล้วกัน แต่ก่อนกลับไปเธออยากจะคุยกับซือหม่าโยวเล่อสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าเธอยังไม่ทันจะไปถึงชั้นเรียนระดับสูงก็ถูกคนสกัดเอาไว้เสียแล้ว
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าหยุดก่อน!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนที่สกัดอยู่ด้านหน้าตน ซึ่งก็คือคนที่ทุบตีตนในวันนั้นนั่นเอง เธอจำได้ว่าในบรรดาผู้คนมากมายที่ทุบตีตนในวันนั้น คนผู้นี้เป็นคนที่ลงมือรุนแรงที่สุด เมื่อมองเห็นเขา เธอก็เหมือนจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เจ้าของร่างเดิมถูกพวกเขาทุบตีปางตาย สายตาของเธอเข้มขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “หลีกทาง”
ผู้ที่ขวางทางเธอเอาไว้ก็คือน่าหลานฉี คุณชายของตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ตระกูลน่าหลานก็เป็นตระกูลทรงอิทธิพลที่อาณาจักรเฟิงหมิงด้วยเช่นกัน บรรพบุรุษของพวกเขาเกือบจะไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นตระกูลซือหม่าอยู่ในสายตาแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าซือหม่าเลี่ยจะล้ำเลิศ แต่อย่างไรก็มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนตระกูลน่าหลันนั้นมีคนที่ฝีมือร้ายกาจอยู่กลุ่มใหญ่เลยทีเดียว!
สิ่งที่น่าหลานฉีกระทำต่อซือหม่าโยวเย่ว์ดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่กล้ายั่วยุซือหม่าโยวเย่ว์แต่ก็ชอบดูเรื่องวุ่นวาย เพราะล้อมวงชมดูอย่างไรก็มิอาจมาคิดบัญชีกับตนได้
น่าหลานฉีเห็นผู้คนมามุงดูมากมายเช่นนี้ก็หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ นี่เจ้าจะไปหามู่หรงอันอีกแล้วใช่หรือไม่ เจ้าคิดจะเกาะแกะเขาอีกแล้วหรือ หรือว่าคราวก่อนยังทุบตีเจ้าไปไม่มากพออีก ข้าสงสัยนักว่าทำไมเจ้าจึงได้หน้าด้านหน้าทนถึงเพียงนี้ เป็นบุรุษคนหนึ่งอยู่ชัดๆ แต่กลับตอแยหรงอันไม่ยอมเลิกรา! ช่างเป็นคนไร้ยางอายโดยแท้!”
คำพูดของน่าหลานฉีทำให้คนที่คอยดูเรื่องสนุกอยู่รอบๆ พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในทันใด แต่ละคนมองซือหม่าโยวเย่ว์ แสดงเจตนาเย้ยหยันอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองน่าหลานฉี นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว
น่าหลานฉีไม่ได้ถูกสายตาของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ชะงักงันแต่อย่างใด เขาให้คนยกม้านั่งตัวหนึ่งมาให้ตนแล้วก้าวขาขึ้นไปบนนั้นข้างหนึ่งก่อนจะพูดว่า “วันนี้เจ้าอยากจะผ่านไปก็ได้นะ มา ข้ามผ่านตรงนี้ไปสิ แล้วข้าจะไม่ขวางทางเจ้าอีกเลย”
เขาพูดแล้วก็ชี้ท่อนขาของตน
ซือหม่าโยวเย่ว์มองน่าหลานฉี ไม่เอ่ยวาจา เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น ถ้าหากเป็นคนในชาติก่อนก็จะรู้แล้วว่าท่าทีของเธอในตอนนี้คือเริ่มโมโหแล้ว
“ว่าอย่างไรเล่า ไม่ปีนใช่หรือไม่ ไม่อยากทำหรือว่าไม่กล้ากันเล่า ช่างใจเสาะเสียจริง คิดว่าแม่ทัพซือหม่าที่เขาพูดกันก็คงเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราวเหมือนกันแน่ๆ เลยสินะ! ฮ่าๆๆ…อ๊าก!”
น่าหลานฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์หมายจะเย้ยหยันเธอสักรอบหนึ่ง ทว่าคิดไม่ถึงว่าเธอจะวิ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน มือหนึ่งคว้าเสื้อผ้าของเขาแล้วดึงลงไปพร้อมกับยกเท้าขึ้นเตะส่วนล่างของร่างกายเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้เขาส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ก่อนที่ร่างจะถูกโยนลงบนพื้น
ใครก็มิอาจคาดเดาได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะตอบสนองอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ทุกคนต่างก็ไม่ทันรู้ตัวว่าเธอไปถึงตัวน่าหลานฉีได้อย่างไร จนกระทั่งตอนที่เธอตอบโต้เสร็จ น่าหลานฉีก็ถูกทำร้ายจนลงไปกองอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว
เดิมทีคิดว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะจบเรื่องลงเช่นนี้ แต่เธอกลับใช้เท้าหนึ่งเหยียบบนร่างน่าหลานฉีพร้อมดึงมือขวาของเขามาด้านหลัง ได้ยินเพียงเสียงกร๊อบครั้งหนึ่ง ก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลมดังก้องสะท้อนทั่ววิทยาลัย
“คุณชาย วันนี้ไม่มีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว คราวหน้าอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก ไม่อย่างนั้นก็คอยดูเจ้าพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าได้เลย!“ ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวลงมาจากร่างน่าหลานฉีอย่างมั่นคง ก่อนจะเตะเขาแรงๆ สองครั้ง จากนั้นก็หมุนกายจากไป
ทุกคนต่างพากันตื่นตะลึงเพราะการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์ นี่คือซือหม่าโยวเย่ว์ที่เล่าลือกันว่าใจเสาะอ่อนแอและเอาแต่หลงใหลไม่ลืมหูลืมตาผู้นั้นจริงๆ น่ะหรือ
ความโกลาหลหน้าชั้นเรียนระดับสูงแพร่ไปทั่ววิทยาลัยอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง ถ้าหากไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้นยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ ย่อมไม่มีใครกล้าเชื่อเลยแม้แต่คนเดียวแน่นอน
ในอาคารสูงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล คนสองคนกำลังมองดูความเคลื่อนไหวทางนี้ หนึ่งในนั้นก็คือเฟิงจือสิงที่ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นก่อนหน้านี้นี่เอง
“ช่างเป็นเจ้าเหมียวน้อยที่ร้ายกาจเสียจริง!” เฟิงจือสิงเห็นการกระทำเมื่อครู่ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็อมยิ้มพูดขึ้น ทว่าในใจกลับบีบรัดแน่น ลูกเตะเมื่อครู่นั้นช่างเจ็บปวดจริงๆ!
“เหตุใดเจ้าจึงยอมให้นางไปที่ชั้นเรียนของเจ้าเล่า” คนที่อยู่ข้างกายเฟิงจือสิงเอ่ยถาม
“ก็ตามความรู้สึกน่ะขอรับ” เฟิงจือสิงพูด “ท่านว่าเขาแตกต่างจากที่เขาเล่าลือกันหรือไม่ โจมตีคนด้วยความเร็วขนาดนั้น จุ๊ๆ ข้าอัศจรรย์ใจในตัวเขายิ่งนัก นอกจากนี้ตอนที่มองเห็นข้า เขาก็มิได้มีท่าทีลุ่มหลงเลยแม้แต่น้อย”
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน ตั้งแต่ที่ข้าหาตัวเจ้ามา ก็ยกให้เจ้าตัดสินใจเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมดอยู่แล้วล่ะ” คนผู้นั้นพูด
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านไว้ใจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือขอรับ ไม่กลัวว่าข้าจะสอนเด็กกลุ่มนั้นได้ย่ำแย่เลยหรือ” เฟิงจือสิงมองคนผู้นั้นอย่างมิได้มีความลึกซึ้งใดๆ
“มีอะไรให้กลัวกันเล่า ข้ายังไม่รู้จักเจ้าดีอีกหรือไร” ท่านอาจารย์ใหญ่ผละออกมาจากหน้าต่างแล้วนั่งกลับลงบนที่นั่งของตน เมื่อครู่เขากำลังสนทนาเรื่องราวอยู่กับเฟิงจือสิง ก็ถูกเขาเรียกไปดูฉากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ทุบตีผู้อื่น
“ฮ่าๆ ท่านไม่กลัว ข้าก็ไม่กลัวแล้วละ ข้าขอตัวไปดูก่อนแล้วกันว่าเป็นเด็กร้ายกาจกลุ่มไหนกันที่ตกมาอยู่ในกำมือข้า” เฟิงจือสิงพูด
“ชั้นเรียนของเจ้าเป็นกลุ่มเด็กที่ล้วนแต่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในคราวนี้ เจ้าก็ผ่อนคลายลงสักหน่อยเถิด”
“อืม ข้าจะพยายาม ข้าจะทำให้ช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ที่นี่ยากลืมเลือนเลยทีเดียว!” เฟิงจือสิงพูดจบแล้วก็ออกไปจากห้องทำงานของท่านอาจารย์ใหญ่
หน้าห้องเรียน หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์เตะน่าหลานฉีไปสองทีแล้วก็ไปหาซือหม่าโยวเล่อ ยังไม่ทันไปถึงห้องเรียนก็เห็นซือหม่าโยวเล่อพุ่งตัวออกมาจากในห้องเรียน แม้ซือหม่าโยวเย่ว์จะอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ยังมองไม่เห็น
“ท่านพี่สี่ ท่านจะไปไหน” ซือหม่าโยวเย่ว์มือไวตาไวคว้าตัวเขาเอาไว้ได้
“เย่ว์เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่ได้เล่า” ซือหม่าโยวเล่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็เอ่ยอย่างตกใจ
“ข้ามาหาท่านอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ท่านรีบวิ่งถึงเพียงนี้ จะไปไหนหรือ”
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีเรื่องขัดแย้งกับน่าหลานฉีอยู่ที่ข้างหน้านี่ ทั้งยังตีกันอีกด้วย กำลังคิดจะไปดูอยู่พอดีว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่” ซือหม่าโยวเล่อพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะอย่างเบิกบานใจแล้วพูดว่า “ท่านพี่สี่ ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ข้าตีน่าหลานฉีอย่างสาหัสไปยกหนึ่งน่ะ”
“จริงหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว! ท่านไม่เห็นหรือว่าข้าอยู่ที่นี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นก็ดี” ซือหม่าโยวเล่อถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่”
“อ้อ ข้าจะมาบอกท่านเรื่องหนึ่งน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องที่ตนถูกลดชั้นและเรื่องที่ตนต้องค้างคืนที่นี่ให้ซือหม่าโยวเล่อฟัง จากนั้นก็พูดว่า “ข้าคิดว่าจะกลับไปบอกท่านปู่สักหน่อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยย้ายมาที่วิทยาลัย”
………………