ตอนที่ 28 ช่วงเวลาที่วางตัวไม่ถูก + ตอนที่ 29 ความหึงหวงของพญายม

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 28 ช่วงเวลาที่วางตัวไม่ถูก

เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงตกใจจนหน้าขาวซีดพร้อมกับหลับตาลง คิดเพียงว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะตบตีตน

แต่ความเจ็บปวดที่ประเมินไว้ไม่ได้เกิดขึ้น หูกลับได้ยินเสียงของที่มีน้ำหนักตกลงไปในน้ำ จนน้ำกระเซ็นขึ้นเป็นฝอย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาที่รู้สึกสงสัยจึงค่อยๆ ลืมตาที่ปิดสนิทออก ก่อนจะกวาดสายตาอย่างเงียบๆ จึงพบว่าเมื่อครู่ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้จะตบตีเธอ เพียงต้องการกวาดของกินที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งหมดลงไปในทะเลสาบที่อยู่ด้านนอกศาลา

เมื่อเห็นน้ำในทะเลสาบขยับกลายเป็นระลอกคลื่น เล่อเหยาเหยาจึงกระพริบตาไปมา ก่อนจะคิดถึงคำพูดของพญายมเมื่อครู่นี้ พร้อมกับในใจที่รู้สึกสงสัย

เหตุใดพญายมจึงล่วงรู้ความคิดในใจของเธอ? หรือว่าเขาคือพยาธิในท้องของเธอ เลยล่วงรู้กระทั่งความคิดของเธอ!?

เล่อเหยาเหยาขบคิดอย่างสงสัย โดยที่ไม่รู้ว่าตนขณะที่อยู่ต่อหน้าบุคคลอื่นจะคล้ายกระดาษขาวที่โปร่งใส ในใจเธอคิดสิ่งใดล้วนเปิดเปลือยออกมาบนใบหน้าอย่างปกปิดเอาไว้ไม่มิด เช่นเดียวกับตอนนี้ที่แม้เธอไม่พูด เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็ล่วงรู้สิ่งที่เธอคิดอยาภายในใจ

เมื่อมองขันทีตัวน้อยด้านหน้า เหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันเกิดความคิดเข้าไปหักคอที่บอบบางของเขาขึ้นมา

บ่าวรับใช้ที่สมควรตายผู้นี้กลับคิดไม่ถึงว่าจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ ปล่อยให้เขาหิวตายไปซะก็จบเรื่อง

แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!?

เมื่อก่อนนั้น เขาสนใจปัญหาเรื่องความหิวของบ่าวรับใช้ด้วยหรือ? ถ้าเป็นเมื่อก่อน แม้บ่าวรับใช้จะหิวตายอยู่ตรงหน้าเขา เขาล้วนไม่ชายตามองอย่างแน่นอน

แต่เพราะเหตุใดขันทีน้อยตรงหน้ากลับยกเว้น!?

ขณะนี้ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเกิดความยุ่งเหยิง สงสัย สับสน ทว่ากลับหาสาเหตุไม่ได้เลย

ครั้นทั้งสองคนภายในศาลาต่างคนต่างใจ ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากขึ้นมาทำลายความเงียบที่แปลกประหลาดนี้

บรรยากาศจึงเปลี่ยนแปลงไปดูแปลกประหลาดขึ้นทุกที

ถึงแม้ทั้งสองคนจะสามารถควบคุมปากตนไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ แต่บางสิ่งกลับควบคุมไม่ได้ อย่างเช่นเล่อเหยาเหยาที่กำลังใช้กลเมืองร้างกับท้องของตนอยู่อย่างดุเดือด

จ๊อกๆ

แก้มของเล่อเหยาเหยาแดงก่ำด้วยความอับอาย จนแทบไม่กล้าสู้หน้าผู้ใด

จ๊อกๆ

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ้มที่มุมปาก สายตาที่ล้ำลึกยังจ้องมองใบหน้าของเล่อเหยาเหยาอยู่เช่นเดิม

จ๊อกๆ

จนในที่สุดเล่อเหยาเหยาจึงอดกลั้นต่อไปไม่ไหวอีกครั้ง ใบหน้าเล็กที่ขวยเขินจนแก้มแดงก่ำก้มลงต่ำ จนแทบตกลงไปถึงหน้าอก

ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะเอ่ยสิ่งใดออกมา กลับกลายเป็นว่าได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยปากเบาๆ อย่างเย็นชาออกมา

“เยว่”

“ขอรับท่านอ๋อง”

หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยจบ ปรากฏเงารูปร่างสีดำราวกับผีที่เงียบเหงาขึ้นมาด้านนอกศาลา จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งลง รอคอยคำสั่งของผู้เป็นนายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยนอบน้อม

เยว่ เป็นหนึ่งในองครักษ์เงาที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ฝึกฝนขึ้นมา ชั่วชีวิตจงรักภักดีกับเขาเพียงผู้เดียว แม้จะเป็นฮ่องเต้ขุนนาง ก็ต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา!

เพราะเป็นองครักษ์เงาที่เขาฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นงานที่อันตรายและดำมืด

เพียงเป็นคำสั่งของเจ้านาย ไม่ว่าต้องสังหารคนวางเพลิง หรือแม้กระทั่งให้พวกเขาสังหารตัวเอง พวกเขาไม่อาจเอ่ยปากแสดงความไม่พอใจใดๆ อย่างเด็ดขาด เพราะถึงอย่างไรชีวิตของพวกเขาล้วนเป็นเจ้านายที่มอบให้ ชีวิตจึงเป็นของเจ้านาย

เพราะเป็นองครักษ์เงา ดังนั้นจึงไม่อาจมีความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นสีหน้าของเยว่ ตลอดทั้งปีล้วนเหมือนภูเขาน้ำแข็งหมายเลขหนึ่ง ที่ไม่ว่าฟ้าดินจะถล่มลงมาล้วนไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ทว่าเมื่อเยว่ได้ยินประโยคต่อมาของเจ้านายตน สีหน้าราวภูเขาน้ำแข็งของเขา กลับมีร่องรอยของความสงสัยขึ้นมา

………………………………………………………………..

ตอนที่ 29 ความหึงหวงของพญายม

“ไปต้มบะหมี่มา!”

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยสั้นๆ ทว่าได้ใจความ ด้วยสีหน้าเย็นชา แต่ประโยคเบาๆ ของเขา เมื่อฟังในหูของเยว่กลับดุจดังเสียงฟ้าผ่า

ใบหน้าราวภูเขาน้ำแข็งตลอดปีของเยว่ หลังได้ยินประโยคของเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่เย็นชาเล็กน้อย จึงมั่นใจว่าเจ้านายของตนไม่ได้กำลังล้อเล่น จึงอดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้

เพราะถึงอย่างไรเขาเองติดตามอยู่ข้างกายนายเจ้านายมากว่าสิบปี สิ่งที่เจ้านายสั่งให้ทำล้วนเป็นการสังหารผู้คนเรื่องไม่ดีพวกนั้น

ทว่าเรียกให้เขาต้มบะหมี่ ถือว่าคือครั้งแรก

แต่แม้ในใจของเยว่จะรู้สึกพังทลาย แต่หลังได้ยินยังพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่ปลายเท้าจะขยับร่างกายเหมือนตอนที่มา คือหายตัวไปท่ามกลางความมืดด้วยความปราดเปรียวไร้สุ่มเสียง

เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งก้านธูป บะหมี่ไข่พร้อมผักกลิ่นหอมฉุยชามหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเล่อเหยาเหยาอย่างรวดเร็ว หากแต่ด้านบนของบะหมี่ไข่ชามนั้น ยังมีน่องไก่ตุ๋นขนาดใหญ่อีกหนึ่งชิ้น

เมื่อเห็นบะหมี่น้ำที่น่าอร่อยและน่องไก่ตุ๋นที่หอมหวน สายตาเล่อเหยาเหยาจึงเป็นประกาย ยกยิ้มที่มุมปากอย่างอดไม่อยู่ คล้ายของเหลวโปร่งใสถูกสิ่งที่น่าสงสัยดูดเข้าไป

ท่าทางนั้นเหมือนลูกแมวจอมตะกละเลยจริงๆ บนใบหน้าขาดเพียงไม่ได้เขียนคำว่า ‘ฉันอยากกินมาก’ เอาไว้

เมื่อเห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่สีหน้าอมทุกข์ ดวงตาอดไม่ได้ที่จะเปล่งประกายขึ้น ทันใดนั้นความโหดเหี้ยมบนใบหน้าก็จางหายไปอย่างช้าๆ

กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ทันสังเกต ว่าอารมณ์ดีใจและโกรธของตนในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของขันทีน้อยตรงหน้าผู้นี้

แม้ตัวเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่เคยรู้สึกถึง ทว่าไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่สังเกตเห็น

เมื่อเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาดังเทพเซียนเจ้านายของตน ที่เคร่งขรึมพลันอ่อนโยนขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์

สายตาที่นิ่งสงบนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ค่อยๆ กวาดสายตามองยังขันทีน้อยที่อยู่ภายในศาลาแวบหนึ่ง ก่อนที่คิ้วที่ดำสนิทนั้นจะพลันขมวดขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ

เจ้านายเขา คงไม่คิดกับขันทีน้อยผู้นี้…

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยว่จึงอดตะลึงในใจไม่ได้

แต่พวกนี้ล้วนเป็นเรื่องของเจ้านาย เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถก้าวก่ายได้ขณะที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์เงา

ขณะคิดในใจ หลังจากที่เยว่วางบะหมี่น้ำในมือลงบนโต๊ะ เขาจึงรีบถอยหลังออกไป จากนั้นเอียงกายไม่กี่ครั้งก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ร่างกายรวดเร็วดังสายฟ้าจนไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ แต่เมื่อได้เห็นจึงอยู่ว่าวรยุทธสูงส่ง!

วิชาตัวเบาที่ล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ของเยว่ ทำให้เล่อเหยาเหยาที่จ้องมองบะหมี่น้ำไก่ชามบนโต๊ะอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้นตกตะลึงไปชั่วขณะ

เมื่อครู่ตอนที่เยว่เข้ามาเธอไม่ได้สังเกต ตอนนี้ที่เขาจากไปเธอจึงสังเกตเห็นเข้า

หรือว่า นี่คือวิชาตัวเบาที่เล่าลือกัน!?

เทพเกินไปแล้ว!

ถ้าเธอมีวรยุทธที่ร้ายกาจเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มหาวิธีหลบหนีออกไปจากที่นี่!?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของเล่อเหยาเหยาที่มองยังทิศทางที่เยว่หายตัวไปจึงเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

แต่ทว่าเธอกลับไม่ได้สังเกต บางคนข้างกายที่ใบหน้าเพิ่งอ่อนโยนลง เมื่อเห็นสายตาและสีหน้าของเธอแล้ว พลันเย็นชาขึ้นอีกครั้ง

บ่าวรับใช้สมควรตาย เขาตอนนี้สายตาเป็นอะไรไป!?

ตอนที่มองตน เขาทั้งกังวลและหวาดกลัว ไม่มีความเลื่อมใสเลยด้วยซ้ำ! หรือว่าท่านอ๋องที่สง่างามเช่นเขา ยังสู่องครักษ์เงาผู้หนึ่งไม่ได้!?

ยิ่งคิด สีหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น ในใจยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น

สายตาที่มองยังเล่อเหยาเหยานั้นจึงหรี่ลงเล็กน้อย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ปิดบังไม่ได้

จนในที่สุดเมื่อเล่อเหยาเหยาหันหน้ากลับมา ถึงรู้สึกได้ว่าสายตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เคร่งขรึมขึ้น หนังศีรษะจึงชาวาบขึ้นอีกครั้ง

………………………………………………………………..