พวกเขาได้เห็นพระชายารูปร่างอ้อนแอ้นอรชรสวมใส่เสื้อคลุมสีแดงทอลายก้อนเมฆตัวใหญ่หลวมโครก กิริยามารยาทชดช้อยงดงามดั่งสายน้ำไหล แลเมฆาลอยละล่อง ไร้ซึ่งอากัปกิริยาหยาบคาย
ไม่มีทางเลยที่จะแสดงท่วงท่าเช่นนี้ออกมาได้ หากมิได้รับการสั่งสอนมานานหลายปี
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเด็กโง่เขลาเบาปัญญาแห่งสกุลหลินจะได้รับการสั่งสอนที่ดีเช่นนี้
“เด็กดี เงยหน้าให้เปิ่นกงดูหน่อยเถิด”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงหลุบตาต่ำ นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งความเย็นชา
พระนางเป็นผู้เลือกหลินเมิ้งหยาเองกับมือ
นางเป็นผู้มีวาจาเพ้อเจ้อ โง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีทางเลยที่พระนางจะดูคนผิด
ขอเพียงหลินเมิ้งหยาแสดงท่าทางน่าขายหน้าเหล่านั้นออกมา พระสนมเต๋อเฟยก็จะกลายเป็นตัวตลกประจำวังหลวงไปชั่วกัปชั่วกัลป์
“เพคะ”
หลินเมิ้งหยาเหงยหน้าขึ้นช้าๆ นางกลั้นหายใจแล้วหลับตาลง ก่อนจะแสดงกิริยาอ่อนช้อยงดงามที่ถูกต้องเหมาะสมออกมา
ทุกคนได้ยลโฉมใบหน้าเรียวเล็กดั่งดอกฝูหรงซึ่งกำลังเผยความงดงามทรงเสน่ห์เกินกว่าใครในปฐพี
“อึก…” ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย คุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลินผู้นี้มิได้มีรูปร่างหน้าตาดั่งที่ใครเขาร่ำลือกันเลยแม้แต่น้อย
คราวนี้เกรงว่าคนที่กำลังตกที่นั่งลำบากจะกลายเป็นฮองเฮาเสียแล้ว!
หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของผู้คนซึ่งอยู่บริเวณรอบๆ นางเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดสายตามองสำรวจไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างรวดเร็ว
ตำแหน่งทางด้านหน้ามีหญิงวัยกลางคนรูปร่างหน้าตางามสง่านั่งเหยียดกายตรงอยู่ทางด้านบน แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่รู้จักมักคุ้นกับฝ่ายตรงข้าม แต่นางรู้ดีว่ามิใช่ทุกคนที่จะสามารถสวมใส่เสื้อผ้าสีเหลืองอร่ามดั่งทองเช่นนั้นได้
ดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนท่านนี้จะเป็นฮองเฮาที่เคยได้ยินมาสินะ
และยังเป็น…หนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังที่จับนางใส่เกี้ยว เกรงว่าแม้แต่เรื่องพุทราอาบยาพิษ พระนางเองก็คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
สามารถทำให้พวกนางต้องยอมรับชะตาที่ขมขื่นได้
ดี…ดีมาก!
“เมิ้งหยาเติบโตมากขนาดนี้แล้วหรือ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เปิ่นกงเจอเจ้า เจ้ายังเป็นตุ๊กตาตัวน้อยที่เพิ่งจะหัดเดินเตาะแตะอยู่เลย แต่วันนี้เจ้าได้มอบตัวเข้ามาอยู่ในพระตำหนักของอ๋องอวี้แล้ว ที่นั่นแตกต่างจากบ้านที่จากมาโดยสิ้นเชิง อีกทั้งเจ้ายังต้องอดทนต่ออุปนิสัยและรับใช้อวี้เอ๋อร์ให้ดีที่สุด”
ร่องรอยแห่งความโกรธเกรี้ยวสะท้อนผ่านสายตาคมกริบของฮองเฮา
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะเป็นหญิงสาวเจ้าเล่ห์เช่นนี้
แต่ก่อนคนที่พระนางส่งไปสอดแนมที่จวนเจิ้นหนานโฮ่เคยรายงานว่า หลินเมิ้งหยาเป็นเพียงหญิงสาวโง่เขลาเบาปัญญาและสติฟั่นเฟือน ดังนั้นพระนางจึงนางเลือกมาเป็นหมากตัวหนึ่ง
ทว่าตอนนี้…
เกรงว่าหญิงสาวผู้เติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบคนนี้จะกลายมาเป็นหมากพลิกเกมเสียมากกว่า
ถ้าเช่นนั้นแผนการทั้งหมดที่พระนางได้วางขึ้นมามิสูญเปล่าไปแล้วหรือ?
แรงอาฆาตคละคลุ้งออกมา สำหรับฮองเฮาแล้ว พระนางไม่อาจเก็บผู้หญิงเจ้าเล่ห์เช่นนี้เอาไว้ได้
“หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระประสงค์ของฮองเฮาและทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเพคะ”
ฮองเฮาที่ได้สดับรับฟังผุดยิ้มขึ้นเล็กน้อย ในสายตาของผู้อื่น ฉากตรงหน้าคือการอบรมสั่งสอนด้วยความรักของผู้เป็นแม่และความกตัญญูของผู้เป็นลูก
ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่าแท้จริงแล้วฉากหลังมีคลื่นใต้น้ำรุนแรงมากเพียงไหน
“ไปคารวะพระสนมเต๋อเฟยเถิด วาสนาของน้องนางดีจริงเชียว ตอนนี้ลูกชายเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งยังได้อภิเษกสมรสกับพระชายากิริยาวาจาดีเช่นนี้อีก น้องนางเองก็ควรจะออกจากวังไปเสพความสุขที่พระตำหนักอวี้บ้าง”
คำพูดของฮองเฮาดูผิวเผินเสมือนเป็นห่วงเป็นใยพระสนมเต๋อเฟย ทว่าในสายตาของหลงเทียนอวี้ มันกลับเจือไปด้วยการเย้ยหยัน
“นับตั้งแต่วันที่หม่อมฉันได้เข้ามาถวายการรับใช้ในวังหลวงก็ได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้และฮองเฮาเสมอมา จึงมีวาสนาดีเช่นนี้ได้ พอมาถึงวันนี้ฮ่องเต้ทรงประชวร หม่อมฉันไม่กล้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวหาความสุขให้ตนเองเพียงผู้เดียว หม่อมฉันต้องการถวายการรับใช้ฮ่องเต้ต่อไปเพคะ”
เป็นเสียงที่อ่อนโยนนุ่มนวลมากเหลือเกิน! หลินเมิ้งหยารู้สึกดีกับแม่สามีคนนี้มากแม้จะยังไม่เคยเจอะเจอหน้ากันมาก่อนก็ตาม
ทว่าภายใต้น้ำเสียงอ่อนโยนกลับแฝงไว้ซึ่งความโศกเศร้า
หากอ้างอิงจากหลักพันธุกรรม พระสนมเต๋อเฟยเหนียงเหนียงจะต้องงดงามมากเลยทีเดียว
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ย่างเท้าไปยังตำแหน่งที่นั่งถัดจากฮองเฮา
“เอ๋อร์เฉินถวายคำนับหมู่เฟย”