สองพี่น้องรีบเข้าไป คนหนึ่งยกชาม อีกคนยกอาหาร เซี่ยยวี่หลัวจึงได้พักบ้าง หุงข้าวไว้ไม่น้อย เซี่ยยวี่หลัวตักข้าวให้เด็กสองคนจนเต็มชาม ไข่ตุ๋นทั้งดูน่ากินและมีกลิ่นหอม เซี่ยยวี่หลัวใช้ช้อนตักไข่จำนวนมากใส่ในชามของเซียวจื่อเมิ่ง ยื่นให้นางพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จื่อเมิ่งกินเร็ว ไข่ตุ๋นคลุกข้าว อร่อยมากทีเดียว!”
ไข่ตุ๋น?
ไข่ตุ๋นสีเหลืองทองอ่อนนุ่ม เซียวจื่อเมิ่งคลุกข้าวตักขึ้นมากินหนึ่งคำ เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามนางด้วยรอยยิ้ม “อร่อยหรือไม่?”
เซียวจื่อเมิ่งพยักหน้าอย่างแรง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “อร่อย!”
“อร่อยก็กินมากหน่อย กินมากๆ ถึงจะตัวสูงขึ้น มีเนื้อเพิ่มขึ้น จื่อเมิ่งของข้ามีเนื้อเยอะๆ ถึงจะดูดี!” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอย่างอ่อนโยนพลางคีบผักจี้ช่ายให้เซียวจื่อเมิ่ง
เซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ ก็มีไข่ตุ๋น คลุกกินกับข้าวทั้งหอมทั้งอร่อยอย่างแท้จริง เซี่ยยวี่หลัวเห็นเขาเอาแต่ก้มหน้ากินอาหาร จึงคีบผักจี้ช่ายให้เขาด้วย เซียวจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นมา เซี่ยยวี่หลัวก็ก้มหน้ากินอาหารแล้ว
หลังกินอาหารมื้อเที่ยง เซี่ยยวี่หลัวยังคงไปพักผ่อนเหมือนเคย ทว่า ครั้งนี้ก่อนจะไปพักผ่อน นางเอ่ยถามเด็กสองคน “ตอนเที่ยงพวกเจ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่?ข้าจะได้เก็บเครื่องนอนเข้ามาให้”
ปกติเซียวจื่อเมิ่งไม่นอนกลางวัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องหาอาหาร จึงไม่สามารถนอนกลางวันได้ จึงส่ายหน้ากล่าว “พวกเราไม่นอนเจ้าค่ะ!”
“หลับตอนเที่ยงสักงีบตอนเย็นถึงจะสดชื่น!” เซี่ยยวี่หลัวหาวขึ้นมา ก่อนกล่าวเสริม “โดยเฉพาะเด็กเล็ก นอนกลางวันสักงีบถึงจะตัวสูง!”
ไม่ว่าจะยุคไหนนางก็เป็นเช่นนี้ หลังกินมื้อเที่ยงแล้วต้องงับสักตื่น
เมื่อเซียวจื่อเซวียนได้ฟังดังนั้น จึงจดจำไว้ “จื่อเมิ่ง เจ้าไปนอนเถอะ!”
เซี่ยยวี่หลัวฝืนทนความง่วง “ข้าจะไปปูเตียงให้พวกเจ้า!”
“พี่สะใภ้ใหญ่…” จู่ๆ เซียวจื่อเซวียนก็เอ่ยเรียก ซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายของเซี่ยยวี่หลัว
เซี่ยยวี่หลัวตกตะลึงกับคำเรียก “พี่สะใภ้ใหญ่” จนไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไร เหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเซียวจื่อเซวียนเรียกตัวเองว่าพี่สะใภ้ใหญ่เลยกระมัง?
เซียวจื่อเซวียนกัดริมฝีปาก เหมือนจะตัดสินใจแล้ว “ไม่ต้องลำบากท่านแล้ว เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าจะให้จื่อเมิ่งนอนกับท่านไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็ให้จื่อเมิ่งนอนกับท่านแล้วกัน!”
เซี่ยยวี่หลัวตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ก่อนจะฟังเข้าใจความหมายของเซียวจื่อเซวียน ขานตอบแล้วจึงหันไปมองเซียวจื่อเมิ่ง “ยอมนอนกับพี่สะใภ้หรือไม่?”
เซียวจื่อเมิ่งมองเซียวจื่อเซวียน ก่อนมองเซี่ยยวี่หลัว จากนั้นจึงพยักหน้าด้วยท่าทางว่าง่าย “เจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นก็ไปกัน เราไปเพิ่มเนื้อกันเถอะ!” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว
“พี่สะใภ้ใหญ่ จื่อเมิ่งชอบนอนกัดฟัน ทั้งยังชอบเตะผ้านวม หนักหน่อยก็อาจเตะคน พลิกตัวไปมา ท่านอนดูไม่ดีสักนิด หากท่านไม่พอใจ ขออย่าได้ตำหนิหรือด่าจื่อเมิ่ง เพียงให้จื่อเมิ่งกลับมานอนกับข้าเหมือนเดิม!” เซียวจื่อเซวียนกล่าวเสียงดัง
น้ำเสียงแฝงเร้นด้วยความวิงวอน แต่เบื้องลึกเหมือนจะมีเจตนาเตือนด้วย
เซี่ยยวี่หลัวยกยิ้ม ลูบผมทรงซาลาเปาของเซียวจื่อเมิ่งพร้อมตอบตกลง
เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนที่หัวถึงหมอนก็นอนทันที แต่ครั้งนี้มีคนอยู่ข้างกาย จึงไม่ได้นอนเร็วถึงเพียงนั้น ร่างเล็กของคนที่อยู่ข้างๆเกร็งจนเหมือนสายพิณที่ถูกตรึงแน่น เว้นระยะห่างจากเซี่ยยวี่หลัวเกินครึ่งคืบ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของคนข้างๆ เซี่ยยวี่หลัวจึงลุกขึ้น เห็นว่าใบหน้าของเซียวจื่อเมิ่งที่อยู่ข้างๆ เกร็งจนแดงก่ำ นางหลับตาปี๋ ร่างกายเหยียดตรง นึกถึงวาจาเมื่อครู่ของเซียวจื่อเซวียน เซี่ยยวี่หลัวพอจะเดาได้ว่าเหตุใดเด็กคนนี้ถึงเป็นเช่นนี้
เซี่ยยวี่หลัวสะกิดเซียวจื่อเมิ่งเบาๆ “เป็นอันใดไปจื่อเมิ่ง?”
เซียวจื่อเมิ่งลืมตาขึ้น ใช้มือจับผ้านวมไว้ ดวงตาคู่โตฉายประกายหวาดกลัว “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้า… ข้าทำท่านตื่นหรือ?”
เซี่ยยวี่หลัวใช้มือซ้ายค้ำยันเตียงเอนตัวขึ้นพร้อมยิ้มขม นางยื่นมือขวาลูบเส้นผมของเซียวจื่อเมิ่ง ยิ้มพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จื่อเมิ่งของข้าเป็นเด็กดีถึงเพียงนี้ จะทำให้ข้าตื่นได้อย่างไร! อย่าเกร็งเกินไป ปกติเจ้านอนอย่างไร ตอนนี้ก็นอนแบบเดิม ไม่ว่าเจ้าจะเตะผ้านวม หรือจะเตะข้าก็ตาม ข้าก็จะไม่โทษเจ้า!”
น้ำเสียงของเซี่ยยวี่หลัวอ่อนโยนมาก นัยน์ตางดงามเต็มไปด้วยประกายยิ้มแย้ม ขจัดความหวั่นเกรงของเซียวจื่อเมิ่งให้หายไป นางจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มของเซี่ยยวี่หลัว กัดริมฝีปากพร้อมส่งเสียงตอบรับ ก่อนหลับตา ร่างกายก็ไม่แข็งทื่อเหมือนเมื่อครู่แล้ว
เซี่ยยวี่หลัวตบตัวของนางเบาๆ ผ่านผ้านวม เหมือนกำลังกล่อมเด็กให้นอนหลับ ตบเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เซียวจื่อเมิ่งหลับตาลม อาจเพราะไม่เคยนอนเตียงที่สบายขนาดนี้มาก่อน และไม่มีใครกล่อมนอน นางรู้สึกสติเลื่อนลอยเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งก็นอนหลับไป
เซี่ยยวี่หลัวตบเบาๆ ก็มีเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดังขึ้นข้างกาย นางลืมตา เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยข้างกายหลับแล้ว จึงห่มผ้าให้นางพร้อมประกายรอยยิ้มขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็หลับเหมือนกัน
หลังจากเซียวจื่อเซวียนเห็นทั้งสองคนเข้าไปในห้องพร้อมปิดประตู ด้านในมีเสียงเซี่ยยวี่หลัวดังขึ้นเป็นครั้งคราว เซียวจื่อเซวียนยืนอยู่ข้างนอกตลอด คอยฟังความเคลื่อนไหวด้านในอย่างระมัดระวัง จนด้านในเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เซียวจื่อเซวียนจึงหิ้วตะกร้าไปเก็บผักป่า
เดินผ่านลานบ้าน เห็นผ้าปูเตียงที่ตากอยู่ในลานบ้านถูกซักจนสะอาด ตอนนี้แห้งแล้ว กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม กระแสลมโบกพัด ผ้าปูเตียงถูกพัดมาถึงตรงหน้าเซียวจื่อเซวียน กลิ่นหอมน่าสูดดมลอยแตะจมูก
หอม และยังมีกลิ่นของแสงแดด อบอุ่นยิ่งนัก
ท่านลุงสี่กลับจากทำงานในไร่นา นั่งลงบนเตียงเตา[1]กินอาหาร ท่านป้าสี่นำกระจาดมา “วันนี้จื่อเซวียนจื่อเมิ่งมาซื้อไข่ไก่กับข้า!”
ท่านลุงสี่กินอาหารไปพลางตอบกลับไปพลาง “ซื้อก็ซื้อสิ บ้านเรามีไข่ไก่ เจ้าขายให้เขาก็จบแล้วนี่”
ท่านป้าสี่นั่งลงบนเตียงเตา กล่าวด้วยท่าทางหงุดหงิดใจ “ขายไปแล้ว แต่ข้าได้ยินว่าสตรีผู้นั้นเป็นคนให้เงินจื่อเซวียนมาซื้อ!”
สตรีผู้นั้น?
ท่านลุงสี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าใจ จากนั้นจึงเริ่มกินอาหารต่อ “เจ้าหมายถึงภรรยาอายวี่หรือ มาซื้อก็มาซื้อสิ เจ้าจะสนทำไมว่าใครเป็นคนให้เงิน ใช่ว่าคนเขาไม่จ่ายเงินเสียเมื่อไหร่!”
ท่านป้าสี่โมโหราวกับมีเลือดจุกอยู่ในลำคอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โยนพื้นรองเท้าที่ถืออยู่ในมือไปบนเตียงเตา ก่อนก่นด่า “ภรรยาอายวี่อะไรกัน อายวี่เต็มใจจะแต่งกับนางหรืออย่างไร?”
เมื่อเห็นว่าภรรยาตนโมโห จึงวางช้อนกับตะเกียบลง ถอนหายใจกล่าว “ดูเจ้าพูดเข้าสิ ถึงไม่ยินยอมก็แต่งไปแล้ว จะทำอย่างไรได้ เป็นเรื่องภายในครอบครัวอายวี่ เจ้าโมโหแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? เจ้าพูดเสียงดังขนาดนี้ หากนางได้ยินเข้า จะหาว่าเจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง!”
ท่านป้าสี่โมโหจนรู้สึกจุกหน้าอก “ได้ยินก็ได้ยินสิ ข้าต้องกลัวนางหรืออย่างไร!”
ท่านลุงสี่หัวเราะพร้อมกล่าว “ข้ารู้ ภรรยาข้ามีความกล้า ไม่กลัวนาง!”
แม้ท่านป้าสี่จะโมโห แต่พอคิดถึงเด็กสามคนนั้นก็รู้สึกสงสารจับใจ “เด็กสามคนนั้นพ่อแม่จากไปเร็ว ข้างกายไม่มีใครคอยช่วยค้ำจุน ต่อให้ลุงของเขาหวังดี แต่สุดท้ายก็ยังมีแม่เสือคอยขวางกั้น ทั้งยังไม่ได้อยู่ที่นี่ ย่อมช่วยเหลือไม่ได้ ตอนนี้ภายในเรือนเหลือแต่คนแซ่เซี่ยอยู่ ข้าดูอย่างไรก็รู้สึกว่าคนแซ่เซี่ยนั้นแสร้งทำดีต่อหน้าแต่คิดร้ายลับหลัง ไม่ได้ทำด้วยความหวังดี วันนี้เอาเงินให้จื่อเซวียนมาซื้อไข่ ข้าคิดว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นแน่นอน! น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าอายวี่ไปสอบอีกครั้ง อาจสอบติด จึงจงใจแสร้งทำเป็นใจดีเท่านั้น!”
ท่านลุงสี่กินข้าวไปสองคำ จู่ๆ ก็วางชามกับตะเกียบลง ตบต้นขาตัวเองพร้อมส่งเสียงอุทาน “ไอ๊โย”
[1] เตียงเตา คือเตียงที่ก่อด้วยอิฐ มีช่องเชื่อมกับเตาไฟ เมื่อจุดไฟ ควันไฟจะทำให้เตียงอุ่น