บทที่ 13 นี่มันข้าวผัดไข่หรือโอสถผัดไข่กัน

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

นี่เป็นครั้งแรกที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางครึกครื้นถึงเพียงนี้

ด้วยพลังอำนาจแห่งชายฉกรรจ์เปลือยกายกว่าร้อยคน ร้านเล็กๆ ของฟางฟางจึงกลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วบริเวณ แม้หลายคนจะบ่นกระปอดกระแปดเรื่องที่ตั้งร้านซึ่งไกลเสียเหลือเกิน แต่ก็ยังเดินเข้ามาดูภายในด้วยความสนอกสนใจ

สตรีนางหนึ่งเดินเข้าร้านพร้อมด้วยเด็กน้อยน้ำมูกยืดในอ้อมแขน ภายในร้านนั้นแม้จะแคบเสียเหลือเกินแต่ก็สะอาดมาก ผิวโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่รอยด่างแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของเจ้าของร้าน บรรยากาศก็ดูอบอุ่นเชิญชวน พร้อมมอบความสะดวกสบายให้ลูกค้าที่เข้ามาแวะเวียน

ดูจากการตกแต่งภายในก็รู้ว่าเป็นร้านชั้นเยี่ยม

“สวรรค์ช่วย เถ้าแก่ ร้านท่านขายอะไรหรือ ภายในร้านของท่านตกแต่งสวยงามเหลือเกิน เช่นนี้สู้กับร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ได้เลยทีเดียวเชียว!” สตรีผู้นั้นเอ่ยพร้อมเช็ดน้ำมูกออกจากใบหน้าเด็กน้อยในอ้อมแขน ก่อนนำมือเปื้อนน้ำมูกไปเช็ดเสื้อตนเอง

ปู้ฟางมองมือของสตรีนางนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“พูดอย่างกับเจ้าเคยเข้าไปกินในร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เช่นนั้นละ! เลิกโม้ได้แล้ว นางนี่!” ชายชราพูดเยาะอย่างเดียดฉันท์

สตรีผู้นั้นโกรธเคืองทันทีที่ได้ยิน นางวางเด็กน้อยลงบนพื้นแล้วเอามือสองข้างเท้าสะเอว ดวงตาเบิกกว้างจ้องไปที่ชายชรา พร้อมปะทะฝีปากกับเขาได้ทุกเมื่อ

“ขอโทษนะ คุณลูกค้า หากเจ้าจะสั่ง รายการอาหารอยู่ข้างหลัง หากจะตีกัน ช่วยออกไปตีกันข้างนอก” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ รีบปรามสงครามน้ำลายที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างเพื่อนบ้านทั้งสองคนทันที

สตรีนางนั้นพ่นลมเยาะเย้ยออกมา นางแค่หยุดปากเพราะรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังอยู่ในร้านคนอื่น จากนั้นจึงหันไปมองรายการอาหารขณะพึมพำ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหนุ่มนิสัยดี เดี๋ยวนี้ขายข้าวขายของยากนัก ป้าคนนี้จะช่วยเจ้าเอง เอา…”

นางหยุดพูดทันที ดวงตาจ้องไปที่รายการอาหารด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ มุมปากกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง!

ชายชราประหลาดใจกับอากัปกิริยาของนางจึงหันไปดูด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นสิ่งที่ติดอยู่บนผนัง เขาก็แทบกระอักเลือด

“พับผ่า! ข้าวผัดไข่ชามละหนึ่งผลึกรึ ผัดผักจานละร้อยเหรียญทอง ทำไมไม่ไปปล้นร้านแลกเงินให้รู้แล้วรู้รอดเลยเล่า” ผู้เฒ่าตกใจมาก ตัวสั่นจนหนวดแทบหลุดจากคาง

ร่างอวบของสตรีผู้นั้นก็สั่นสะท้านเช่นกัน นางพูดเสียงแหลม “เจ้าหนุ่ม นี่มันผิดแล้ว! ราคาบ้าบอบ้านเจ้ารึ ใครมันจะไปกล้ากินของเช่นนี้กัน!”

ชายชราและสตรีร่างอวบที่ก่อนหน้านี้กำลังจะตีกัน พลันย้ายข้างมาโจมตีปู้ฟางอย่างพร้อมเพียง

ส่วนเป้าหมายนั้นก็ยังคงหน้าตายไร้อารมณ์เช่นเคย

“ข้ามีเหตุผลที่ต้องตั้งราคาเช่นนี้ หากเจ้าจะกินก็สั่งเสีย หากไม่กินก็ออกไป”

ในฐานะชายผู้ที่หมายมั่นว่าจะเป็นพ่อครัวเทพ ปู้ฟางก็มีความภาคภูมิใจของเขา

สตรีผู้นั้นจ้องปู้ฟางด้วยสายตาเหมือนเขาเป็นบ้าไปแล้ว จากนั้นก็รีบออกจากร้านไปพร้อมเด็กน้อยที่สะเอว ส่วนชายชราหลังคดก็ได้แต่ส่ายหน้าขณะเดินตามออกไปเช่นกัน

ปู้ฟางไม่ตกใจแม้แต่น้อยกับปฏิกิริยาของพวกเขาเนื่องจากคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ราคาที่ตั้งไว้แปลว่าเขาจำต้องเสียลูกค้าไปจำนวนมาก เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่จะมีปัญญาจ่าย

คนส่วนใหญ่ที่เดินเข้าร้านมาก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับสตรีผู้นั้น ต่างพากันออกจากร้านไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ฝูงชนที่รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว พากันสลายตัวไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

ร้านเล็กๆ ของฟางฟางกลับมารกร้างอีกครั้ง เนื่องจากไม่มีใครอยากจ่ายเงินกิน

เซียวเสี่ยวหลงพานายน้อยสามเดินเข้าร้านมา

ชายหนุ่มหน้าสวยดูตื่นเต้นเล็กน้อย “พี่สาวข้าไม่ได้มาด้วย แปลว่าข้ามีผลึกเหลือพอสั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงสินะ”

คนที่จะสั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงได้ต้องมีปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการเป็นอย่างน้อย แปลว่าอาหารจานนี้ต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าวผัดไข่สูตรธรรมดาช่วยให้เขาผ่านคอขวดในการฝึกปราณมาได้ เซียวเสี่ยวหลงจึงคาดว่าข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงต้องให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน!

“เสี่ยวหลง เจ้าจะบอกว่าข้าวผัดไข่ที่ร้านนี้อร่อยเช่นนั้นหรือ” ชายหนุ่มยืนเอามือไขว้หลังด้วยท่าทางสง่างาม เขามองไปรอบร้านแล้วถามเรียบๆ

“ใช่แล้วขอรับ! นายน้อยสาม ข้าวผัดไข่ที่นี่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาในชีวิตนี้เลย! ต่อให้เป็นพ่อครัวประจำตระกูลข้า… ไม่สิ! ต่อให้เป็นข้าวผัดไข่ที่พ่อครัวตระกูลท่านทำ ก็ยังสู้ร้านนี้ไม่ได้ขอรับ!”

เซียวเสี่ยวหลงนึกย้อนไปถึงรสชาติข้าวผัดไข่ของปู้ฟาง แล้วก็ต้องหยีตาด้วยความเคลิบเคลิ้ม สีหน้าพึงพอใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์

นายน้อยสามประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เขาไม่ได้คาดคิดว่าเซียวเสี่ยวหลงจะประเมินร้านนี้เอาไว้สูงถึงเพียงนั้น พ่อครัวประจำตระกูลของเขานั้นไม่ใช่ธรรมดา แต่ข้าวผัดไข่ที่ร้านอันห่างไกลเช่นนี้ยังดีกว่าอีกรึ

นี่ทำให้เขาสนใจขึ้นมาทันที จึงหันไปมองรายการอาหาร

ราคาแพงหูฉี่ที่คนธรรมดาทานทนไม่ได้ทำให้นายน้อยสามตกใจเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไม่อยากเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

“ข้าวผัดไข่ขายเป็นหน่วยผลึก สูตรปรับปรุงราคาสิบผลึก แถมยังมีข้อกำหนดเรื่องระดับปราณด้วยเช่นนั้นรึ”

ราคาและกฎที่เขียนอยู่บนรายการอาหารทำให้นายน้อยสามได้เปิดหูเปิดตาอย่างเต็มที่ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าข้าวผัดไข่จะขายในราคาแสนแพงเช่นนี้ได้ด้วย

“นายน้อยสามเชื่อข้าเถอะขอรับ พี่สาวข้ากินข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงเข้าไปเมื่อวาน ตอนนี้ก็ถือสันโดษไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! ขั้นปราณของนางเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วยขอรับ!” เซียวเสี่ยวหลงโฆษณา

“เป็นเช่นนั้นหรือ” นายน้อยสามประหลาดใจเป็นอันมาก เซียวเยียนอวี่มีปราณอยู่ในระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ ข้าวผัดไข่เพียงชามเดียวจะช่วยเพิ่มพลังปราณของนางได้อย่างไรกัน

เช่นนี้จะยังเรียกว่าข้าวผัดไข่ได้หรือ ควรเรียกว่าโอสถผัดไข่สิถึงจะถูก

“เถ้าแก่ ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงหนึ่งชาม พลังปราณของข้ามากพอที่จะสั่งได้ ไม่จำเป็นต้องทดสอบแต่อย่างใด” นายน้อยสามพูดอย่างอ่อนโยนกับปู้ฟางที่มีสีหน้าเรียบเฉยซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ พร้อม

“ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงชามนึงด้วย!” เซียวเสี่ยวหลงรีบพูด แต่ก็ถูกนายน้อยสามขัดเสียก่อน

นายน้อยสามหรี่ตาแล้วลูบศีรษะเซียวเสี่ยวหลง พร้อมเผยรอยยิ้มอ่อนโยนบนในหน้า “เสี่ยวหลง เจ้ามีผลึกอยู่เท่าไรรึ”

เซียวเสี่ยวหลงชะงักกึก “เหตุใดคำพูดนี้จึงคุ้นๆ กันนะ”

“ข้า… ข้ามีสิบผลึกขอรับ!”

“อืม แปลว่าพอจ่ายสินะ”

เซียวเสี่ยวหลงมองถุงผ้าปักลายดอกไม้ของตนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ถุงนั้นไปอยู่ในมือของนายน้อยสามเรียบร้อย ภาพนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับถูกลูกศรหมื่นเล่มพุ่งเข้าปักกลางหน้าอกอย่างไรอย่างนั้น

“เดี๋ยวไว้ข้าเลี้ยงเจ้าคราวหน้าก็แล้วกัน” นายน้อยสามยิ้ม “วันนี้ข้าลืมพกเงินมา”

เซียวเสี่ยวหลงน้ำตารื้น “ทำไมกับอีแค่ข้าจะกินข้าวผัดไข่ชามนึงมันถึงได้ยากเย็นนัก”

“เถ้าแก่ ข้าขอบะหมี่แห้งคลุกกับผัดผักอย่างละจานด้วย”

ปู้ฟางพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์

“ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงหนึ่ง บะหมี่แห้งคลุกหนึ่ง ผัดผักหนึ่ง ได้ รอสักครู่” ปู้ฟางทวนรายการที่สั่งแล้วเดินกลับเข้าครัวไป

เซียวเสี่ยวหลงและนายน้อยสามนั่งลงที่โต๊ะ ดูเหมือนนายน้อยสามจะพอใจกับบรรยากาศหรูหราของร้านมากเลยทีเดียว

“ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีร้านที่หรูหราถึงเพียงนี้อยู่ในนครหลวงด้วย น่าแปลกใจนักที่ไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อน เอ้อ แล้วเจ้าหุ่นเชิดที่สู้กับคนเป็นร้อยเมื่อครู่นี้หายไปไหนแล้วหรือ” นายน้อยสามหันมองรอบๆ

เขาจำเจ้าขาวได้แม่น เนื่องจากรู้สึกประทับใจกับความฉลาดเฉลียวของหุ่นเชิดตัวนี้เป็นอันมาก

ในทวีปมังกรซ่อนเร้นนั้นมีสำนักอยู่มากมาย แต่อำนาจการบริหารเป็นของรัฐจักรวรรดิ มีเพียงจักรวรรดิเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ปกครอง ในขณะที่สำนักทั้งตามจารีตและนอกรีตไม่ได้รับการยอมรับแต่อย่างใด

จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของจักรวรรดิวายุแผ่วมีนามว่าจักรพรรดิฉางเฟิ่ง ซึ่งปกครองจักรวรรดินี้มามากกว่า 70 ปีแล้ว เขาเกณฑ์สมาชิกสำนักมากมายให้มาเป็นกองทัพของจักรวรรดิ สำนักที่ยอมรับการควบรวมนี้ถูกส่งไปประจำตามจุดต่างๆ ตามเหล่า ส่วนสำนักที่ขัดขืนก็ย่อมถูกกำราบ

จักรวรรดิวายุแผ่วถือกำเนิดมากว่าพันปีแล้ว ตอนนั้นเป็นตอนที่อำนาจของสำนักน้อยใหญ่กำลังแข็งแกร่งที่สุด จึงทำให้มีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ ด้วยอิทธิพลของจักรวรรดิ อำนาจของสำนักต่างๆ จึงค่อยๆ อ่อนกำลังลงหลังจากผ่านเวลาไปหนึ่งพันปี ความพยายามในการก่อสงคราม “สำนักปฏิวัติ” ที่พังไม่เป็นท่าถึงสองครั้งในระยะเวลาพันปี ทำให้อำนาจถูกรวมศูนย์เบ็ดเสร็จอยู่ที่จักรวรรดิอย่างสมบูรณ์

ในปัจจุบันนี้มีสำนักเหลืออยู่ไม่กี่ร้อยสำนักเท่านั้นบนทวีปมังกรซ่อนเร้น เมื่อเทียบกับยุคทองที่เคยมีสำนักอยู่หลายหมื่นหลายแสนสำนัก เรียกได้ว่าวัฒนธรรมสำนักได้ล่มสลายลงแล้วอย่างแท้จริง

จากสำนักไม่กี่ร้อยที่เหลือรอดอยู่ มีเพียงสิบสำนักเท่านั้นที่ยังคงพยายามต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิ

นายน้อยสามเคยเผชิญหน้ากับสำนักที่อ่อนแอลงแล้วสำนักหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาวิจัยศาสตร์แห่งหุ่นเชิดจนเชี่ยวชาญอย่างยิ่งยวด จึงคิดไปว่าหุ่นเชิดในร้านอาหารแห่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสำนักนั้นอย่างแน่นอน

แต่เจ้าขาวกับหุ่นเชิดจากสำนักนั้นก็มีจุดต่างกันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เจ้าขาวไม่มีพลังปราณเที่ยงแท้ไหลเวียนอยู่ในกาย จึงมีโอกาสน้อยเหลือเกินที่ปู้ฟางจะเป็นศิษย์ที่หลงเหลืออยู่ของสำนักนั้น

ขณะที่นายน้อยสามกำลังวิเคราะห์อยู่ในใจ กลิ่นหอมหวนของอาหารก็พลันพุ่งออกมาจากห้องครัว

กลิ่นนั้นอ่อนโยนราวกับเป็นผ้าไหมที่สัมผัสผ่านใบหน้าของนายน้อยสาม ทำให้เขาลืมตาขึ้นโดยฉับพลันด้วยความอยากอาหาร

“กลิ่นหอมเหลือเกิน!” ชายหนุ่มอุทาน

เซียวเสี่ยวหลงนั้นดื่มด่ำกับกลิ่นหอมหวนไปเรียบร้อย ดวงตาของชายหนุ่มเชื่อมเยิ้มพร่ามัวไปแล้ว

นายน้อยสามรู้สึกว่ากลิ่นนี้เทียบได้กับอาหารที่พ่อครัวประจำตระกูลของเขาปรุงขึ้นมาทีเดียว หรืออาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ

ไม่นานนักปู้ฟางก็เดินออกมาจากห้องครัว

ใบหน้าของชายหนุ่มตายด้าน ในมือถือชามกระเบื้องสีฟ้าขาว ด้านบนของชามเข้มข้นไปด้วยกลิ่นอาหารหอมหวนชวนกิน

“นี่ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงที่สั่ง กินให้อร่อย”

ปู้ฟางวางชามลงเบื้องหน้านายน้อยสามแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จากนั้นก็เดินกลับเข้าครัวไป

นายน้อยสามสูดหายใจลึก กลิ่นอาหารพุ่งพรวดเข้าจมูกของเขา กระจายแทรกซึมไปทั่วร่างกายทันที ส่งให้เขาอยากอาหารและหิวโหยมากขึ้นไปอีก

กลิ่นหอมแรงอัดแน่นอยู่ที่ด้านบนของชาม ทันทีที่นายน้อยสามใช้ช้อนตักด้านบนของข้าวผัดไข่ กลิ่นที่รวมตัวกันอยู่ก็ระเบิดออกมากลายเป็นพายุกลิ่นข้าวผัดไข่หอมหวน

พายุนั้นพัดหอบเข้าหานายน้อยสามทันที

……………………………………..