ตอนที่ 2 เชือดไก่ให้ลิงดู

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บ้านตระกูลฉิน, เมืองหลิงซี

“ฉืออวี้ เหตุใดอวี้โม่ไม่กลับมาพร้อมเจ้า?”

สตรีวัยกลางคนท่าทางอ่อนแอยืนอยู่ในลานกว้างของบ้านตระกูลฉินอันมั่งคั่ง สายตาของนางจ้องมองไปยังหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า–ฉินฉืออวี้ บุตรสาวอีกคนของสามีนางหรือกล่าวง่ายๆ คือลูกเลี้ยงของนางเอง!  แววแห่งความกังวลปรากฏชัดในดวงตางดงามทั้งสอง

บ่ายวันนี้ นางเห็นอย่างชัดเจนว่าฉินอวี้โม่บุตรสาวออกจากบ้านไปพร้อมกับฉินฉืออวี้  แต่เหตุใดลูกเลี้ยงของนางถึงได้กลับมาเอาป่านนี้และยังไร้วี่แววของฉินอวี้โม่อีกด้วย

“ฮูหยินใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก น้องอวี้โม่งดงามถึงเพียงนั้น ไม่ว่านางจะไปที่ใดผู้คนย่อมรู้เห็น!”

น้ำเสียงของฉินฉืออวี้ที่ใช้กับสตรีผู้มีศักดิ์สูงกว่าไม่มีความเคารพอยู่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังแฝงด้วยร่องรอยแห่งความดูถูกเหยียดหยาม

ฉินอวี้โม่คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินเกิดมาอาภัพไม่ต่างจากสตรีพิการ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้ดีว่านางเกิดมาโดยไร้พลังอำนาจจึงไร้หนทางแห่งการฝึกฝน ทว่าสวรรค์มิไร้ใจยังบันดาลรูปโฉมอันงดงามให้เป็นการทดแทนและความงามที่เป็นเลิศของนางก็ทำให้หญิงสาวทั่วเมืองรู้สึกอิจฉาริษยา ในหลายปีที่ผ่านมาฉินฉืออวี้มักจะนำรูปลักษณ์ของตัวเองไปเปรียบเทียบกับฉินอวี้โม่อยู่เสมอ ทำให้นางเกลียดชังน้องสาวต่างมารดาอย่างมาก

ฉินฉืออวี้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่นับว่าสูงส่งกว่าคนทั่วไปมาก ทว่ารูปโฉมของนางกลับไม่งดงามนัก ในขณะที่ฉินอวี้โม่รูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติดแต่กลับไร้พรสวรรค์โดยสิ้นเชิง ทั้งคู่ถือเป็นพี่น้องที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

เนื่องจากฉินฉืออวี้เป็นอัจฉริยะแห่งเมืองหลิงซี พลังยุทธ์ของนางเหนือชั้นจนเป็นที่ยกย่องเลื่องลือ ไฉนเลยฉินอวี้โม่ที่ไม่มีแม้แต่พลังสำหรับฝึกฝนจะเทียบเทียมนางได้ ดังนั้นหลายปีมานี้ฉินอวี้โม่จึงมักจะถูกอีกฝ่ายรังแกอยู่เรื่อยมา

…แต่ในครั้งนี้ฉินฉืออวี้ถึงขั้นล่อลวงฉินอวี้โม่ออกไปนอกเมืองและส่งคนไปไล่ล่าสังหารนาง…

‘ตอนนี้นังนั่นคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว’ นี่คือสิ่งที่ฉินฉืออวี้กำลังคิดอยู่ในใจ

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นคือมารดาแท้ ๆ ของฉินอวี้โม่และยังเป็นภรรยาคนแรกของผู้นำตระกูลฉิน*–ฉินเทียน*  นางจึงมีศักดิ์เป็นฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลฉินอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตามฉินเทียนกลับรักใคร่ชอบพอภรรยารองมากกว่า เขาปล่อยปละละเลยภรรยาหลวงกับบุตรสาว ไม่คิดเหลียวแลไม่เคยไยดี หลายปีมานี้สองแม่ลูกจึงไม่ได้อยู่สุขสบายอย่างที่ควรจะเป็น

แท้จริงแล้วร่างกายของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้อ่อนแอมาตั้งแต่ต้น ทว่าเป็นเพราะเส้นชีพจรของนางได้รับความเสียหายในตอนที่ให้กำเนิดฉินอวี้โม่ การบ่มเพาะพลังของนางจึงต้องหยุดชะงักลง ตอนนี้นางจึงไม่ต่างจากคนธรรมดาผู้ไร้พลังยุทธ์คนหนึ่ง

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นรักฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก แต่เพราะว่านางเองก็ไร้ซึ่งพลังอำนาจทำให้มิอาจปกป้องบุตรสาวสุดที่รักได้ และเพราะเหตุนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่รู้สึกผิดมาโดยตลอดจึงมักจะใจดีและคอยดูแลฉินอวี้โม่อย่างดีที่สุดเสมอมา

เมื่อได้ยินวาจาของฉินฉืออวี้ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉืออวี้เกิดอะไรขึ้นกับอวี้โม่?”

“ฮ่าฮ่า ฮูหยินใหญ่ ฉินอวี้โม่เป็นแค่ขยะไร้ค่า เหตุใดท่านต้องห่วงใยนางถึงเพียงนั้น!?”

ฉินฉืออวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชาก่อนจะเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้ ข้าเห็นแค่นางมุ่งหน้าออกไปจากเมืองเพียงลำพัง ข้าไม่รู้หรอกว่านางอยู่ที่ไหน…แต่การที่นางยังไม่กลับมา ข้าว่าคงจะเกิดเรื่องร้ายมากกว่าดี!”

“ฉืออวี้ แม้ว่าอวี้โม่จะไร้พลัง แต่นางไม่ใช่คนโง่ เจ้าต้องไปพูดอะไรกับนางแน่ นางถึงได้ออกจากเมืองไปเช่นนั้น!” อวี๋เสี่ยวอวิ๋นกล่าวกับลูกเลี้ยงด้วยน้ำเสียงโกรธจัด

นางรู้จักบุตรสาวของตัวเองดีและรู้ดีว่าแม้ว่าอวี้โม่จะไม่อาจฝึกฝนพลังได้ แน่นางไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน

“ฮ่าฮ่าฮ่า*‘ท่านป้า’* นี่ยังฉลาดไม่เปลี่ยนเลยนะ !”

จู่ ๆ ฉินฉืออวี้ก็หัวเราะเสียงดังก่อนจะกล่าวต่อ น้ำเสียงของนางรื่นเริงอย่างน่ารังเกียจ “ใช่! นางออกไปเพราะข้าเอง ข้าก็แค่บอกนางว่าท่านอยู่นอกเมือง แล้วจากนั้นข้าก็จัดหาชายกำยำกลุ่มเล็กๆ มา บอกพวกเขาว่าให้ไล่ตามนางไป คนพวกนั้นไม่ใช่คนดีนัก บางทีพวกเขาอาจจะหลงรูปลักษณ์อันงดงามของฉินอวี้โม่ และคง—”

เพี๊ยะ !

ก่อนที่ฉินฉืออวี้จะพูดจบ นางก็ถูกฝ่ามือบางข้างหนึ่งฟาดเข้าที่ใบหน้าเสียก่อน

“ฉินฉืออวี้ เจ้ามันไม่ใช่คน!!”

ยิ่งฟังคำของฉินฉืออวี้ หัวใจของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นเรื่อยๆ นางทุกข์ร้อนแสนสาหัส แม้ว่าตอนนี้นางจะไร้ซึ่งพลังและมิได้แข็งแกร่งเช่นในอดีตแต่นางก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาเหยียดหยามกระทำย่ำยีต่อบุตรสาวได้  ฉินฉืออวี้กล้าทำเรื่องบัดซบเช่นนี้กับผู้เป็นเสมือนดวงใจของนาง แม้ว่าจะต้องตาย นางก็ต้องทำให้สตรีผู้นี้ได้ชดใช้อย่างสาสม!

เมื่อคิดได้ดังนั้น อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็พุ่งเข้าหาสตรีน่ารังเกียจที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะคว้าคอของนางในทันที

ฉินฉืออวี้ที่ยังคงตกตะลึงจากการถูกฝ่ามือของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้อ่อนแอฟาดสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกว่าคอของนางกำลังถูกอีกฝ่ายบีบ…และนั่นก็ทำให้นางเดือดดาลขึ้นมา

ปัง!

ร่างของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกส่งให้กระเด็นถอยหลังไปด้วยฝ่ามือเดียว ร่างบอบบางอ่อนแอพุ่งชนเข้ากับกำแพงข้างหลังอย่างรุนแรง ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลฉินล้มลงไปกองกับพื้น

“นังแก่! เจ้ากล้าลงมือกับข้า!” ฉินฉืออวี้ย่างเท้าเข้าหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นช้า ๆ น้ำเสียงของนางเย็นเฉียบและเต็มไปด้วยความคั่งแค้น

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพ่นเลือดออกมาจากปาก นางพยายามลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก

“ฉินฉืออวี้ เจ้าฆ่าลูกข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”

“เหอะ! อยากจะได้ชีวิตข้าอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ! อยากล้างแค้นให้นังนั่นมากใช่ไหม ได้…ข้านี่แหละจะเป็นคนส่งเจ้าไปพบฉินอวี้โม่ในนรกเอง!”

ฉินฉืออวี้ตวาดลั่น ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจะเกรี้ยวกราด แต่แววตานั้นกลับแฝงไปด้วยความสนุกสนาน คุณหนูผู้เป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลฉินดึงกระบี่ออกมาแล้วแทงเข้าใส่สตรีตรงหน้าอย่างรวดเร็ว!

เคร๊ง!

ยังมิทันได้เฉียดเข้าใกล้ร่างของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกระบี่ในมือของฉินฉืออวี้ก็ถูกหินก้อนเล็ก ๆ กระแทกเข้าใส่อย่างแรงจนปลิวตกลงบนพื้นเสียก่อน ร่างงดงามร่างหนึ่งค่อย ๆ เดินผ่านประตูที่เชื่อมต่อกับลานกว้างเข้ามา

“ฉินฉืออวี้ เจ้าถามหาข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?”

เสียงหวานล้ำแต่กลับเย็นชาดังขึ้น ฉินอวี้โม่เอ่ยปากถามขณะที่ก้าวเข้ามาในลานกว้าง ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของนางดูน่าหวาดหวั่นราวกับทูตจากแดนนรก

ฆ่าฉินอวี้โม่คนเก่าไปยังไม่พอยังกล้ามาลบหลู่มารดาของฉินอวี้โม่อีก ในเมื่อเธอซึ่งเคยเป็นนักฆ่าได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้แล้ว เธอจะขอล้างแค้นให้ฉินอวี้โม่คนเดิมเอง

“อวี้โม่”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นร้องเรียกบุตรสาวด้วยความตื่นเต้นยินดี หัวใจที่แตกสลายกลับมาเต้นอย่างเป็นสุขอีกครั้ง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ย่างกายเข้ามา

“ท่านแม่ นั่งรอสักครู่เถิด ข้ากับฉินฉืออวี้มีเรื่องต้องสะสางกัน!”

น้ำเสียงของฉินอวี้โม้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งทะนง ถึงแม้จะรู้ว่าบุตรสาวไม่สามารถใช้พลังมายาได้แต่เพราะน้ำเสียงเช่นนั้นและแววตาของนางทำให้ผู้เป็นมารดาอดไม่ได้ที่จะเชื่อมั่นในตัวนางและไม่คิดหยุดยั้งนางไว้

“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าขำยิ่งนัก ฉินอวี้โม่ ขยะไร้ค่าอย่างเจ้าน่ะหรือจะมาสะสางความแค้นกับข้า?”

แม้ว่าฉินฉืออวี้จะประหลาดใจอยู่บ้างที่เห็นว่าฉินอวี้โม่ยังไม่ตาย แต่นางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก นางเพียงแต่คิดว่าอาจจะมีคนบังเอิญผ่านมาพบและช่วยชีวิตฉินอวี้โม่เอาไว้ด้วยความสงสาร

แม้แต่ในตอนที่ฉินอวี้โม้ขว้างหินก้อนเล็กใส่กระบี่ของตนนางก็ยังมิได้เอะใจ นางไม่คิดจะไตร่ตรองเสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดสตรีอ่อนแอไร้พลังยุทธ์อย่างฉินอวี้โม่จึงทำเช่นนั้นได้

“ฉินฉืออวี้ เจ้าวางแผนล่อลวงข้าออกไปนอกเมือง ว่าจ้างคนมาย่ำยีและสังหารข้าแล้วยังคิดจะทิ้งร่างข้าไว้ในป่า หลายปีมานี้เจ้าทั้งดูถูกเหยียดหยามและกลั่นแกล้งข้าสารพัด เจ้าช่วยบอกข้าซิว่าบัญชีแค้นนี้ ข้าควรจะสะสางกับเจ้าอย่างไร!?”

ฉินอวี้โม่ไม่ได้ใส่ใจรอคอยคำตอบของฉินฉืออวี้ หลังจากเอ่ยวาจาแสนเย็นชาออกมาแล้วนางก็ก้าวเข้าไปหาสตรีชั่วช้าในทันที

“อย่างไรน่ะรึ?”

ฉินฉืออวี้ตั้งรับอย่างไม่หวั่นเกรง นางตอบฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ฉินอวี้โม่ เอ๋ย ในเมื่อไอ้เศษสวะพวกนั้นไม่มีความสามารถจะส่งเจ้าไปโลกหน้าได้ งั้นข้าจะลงมือเอง! ภูมิใจไว้เถอะ นี่ถือเป็นเกียรติของขยะเน่าๆ อย่างเจ้าแล้วที่ได้ตายด้วยคมกระบี่ของข้า!”

กล่าวจบ ฉินฉืออวี้ก็หยิบกระบี่ขึ้นมาจากพื้นก่อนจะแทงเข้าใส่ฉินอวี้โม่ในทันที

“หึ ฉินฉืออวี้เจ้าคิดว่าตัวเองมีความสามารถพอจะทำได้อย่างนั้นหรือ?”

ฉินอวี้โม่แค่นเสียงใส่อย่างถูกดู นางยืนมองกระบี่ของฉินฉืออวี้ที่กำลังพุ่งเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย

“อวี้โม่ระวัง!”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นลุกขึ้นมาจากพื้นในทันทีด้วยความหวาดหวั่น นางกลัวบุตรสาวจะมีอันตราย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางเห็นคือฉินอวี้โม่ใช้นิ้วสองนิ้วคีบกระบี่ที่กำลังพุ่งเข้าใส่ของฉินฉืออวี้ไว้ได้

“ฉินฉืออวี้ หลายปีที่ผ่านมาเจ้าติดค้างข้ามามาก แต่ข้าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีเมตตา ข้าจะค่อย ๆ เอาคืนเจ้าทีละนิดก็แล้วกัน!”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเยือกเย็น…รอยยิ้มนั้นสั่นประสาทของฉินฉืออวี้ไปชั่ววูบหนึ่งเพราะนางรู้สึกราวกับได้เห็น ‘รอยยิ้มของมารร้าย!’  ไม่ทราบเหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อใด ทว่าในตอนนี้กระบี่ของฉินฉืออวี้ได้เปลี่ยนมาอยู่ในมือของฉินอวี้โม่แล้ว

พริบตาถัดมามีเพียงเสียง “เอื้อก!” เบาๆ ดังขึ้นเท่านั้น ร่างของฉินฉืออวี้ทรุดลงกับพื้นอย่างนุ่มนวลโดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย

“ฉินอวี้โม่ เจ้าจะทำอะไรข้า?”

ฉินฉืออวี้พยายามอย่างหนักเพื่อลุกขึ้นจากพื้นให้ได้ แต่นางกลับพบว่าตนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้*…ไม่อาจทำได้อีกแล้ว*

“ฮ่าฮ่า ข้าก็แค่ให้เจ้าได้ลองลิ้มรสของการเป็นคนไร้ค่าเท่านั้นเอง!”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นอีกครั้ง ทว่ารอยยิ้มของนางในครั้งนี้กลับทำให้ฉินฉืออวี้ที่อยู่บนพื้นหวาดกลัวจนตัวสั่น…อย่างแท้จริง!