ตอนที่ 17 ความรักมิอาจประเมินค่าได้

ปฏิญญาค่าแค้น

เช้าตรู่ ท่ามกลางแสงอรุ่นที่เพิ่งจะปรากฏ หลินหลันตื่นนอนขึ้น ยังไม่รีบร้อนทำอาหารเช้าเป็นอันดับแรก ทว่าเร่งรีบไปยังบ้านเป่าจู้เพื่อส่งมอบภารกิจอันสำคัญ หลังจากนั้นจึงรีบวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ตราบใดที่เรื่องราวยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาให้เรียบร้อย นางจำเป็นต้องคอยจับตาดูเหยาจินฮวาเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการที่นางจะไปก่อเรื่องอะไรแย่ๆ ขึ้นอีก  

 

 

ยังดีที่ความเคยชินกับการนอนตื่นสายของเหยาจินฮวานั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ หลินหลันจึงไปทำอาหารเช้าได้อย่างสบายใจ 

 

 

หลินเฟิงวันนี้ตื่นเช้ามากกว่าปกติ เพราะบาดแผลที่เท้าจึงทำให้ร่างกายของเขาไม่สมดุลตอนก้าวขาเดิน เมื่อล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยก็เตรียมออกจากบ้าน 

 

 

หลินหลันรู้ดีว่าผู้เป็นพี่ชายต้องการไปพบหลี่ซิ่วฉาย เมื่อนึกถึงเท้าของผู้เป็นพี่ชายขึ้นมา หลินหลันก็ขมวดคิ้วขึ้น “เกอ ไม่ต้องหรอก…ข้าให้หลี่ซิ่วฉายมาบ้านเราแล้วกัน!”  

 

 

“แน่นอนว่าต้องเป็นเขาที่เป็นฝ่ายมา มีที่ไหนกันฝั่งผู้หญิงจะไปหาก่อนถึงหน้าประตู” เหยาจินฮวายืนพิงขอบประตูพลางทำท่าทีเกาหัว ท่าทางกลับดูเย้ายวน ทว่าน่าเสียดายที่บุคคลนี้ช่างไร้ค่าเกินไป ทำให้ไม่สามารถทนดูต่อไปได้ 

 

 

หลินหลันปลดผ้ากันเปื้อนออก “ข้าให้เจ้าเด็กข้างบ้านไปเรียกแล้วกัน”  

 

 

ทางด้านนี้ไม่ทันกินอาหารเช้าเรียบร้อย หลี่ซิ่วฉายก็มาถึงเสียแล้ว 

 

 

ยังคงเป็นชุดแขนยาวตัวสีขาว ภายใต้ลักษณะท่าทีอ่อนโยนและใจดี ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าอย่างใจเย็น 

 

 

“เจ้า…กินข้าวเช้ามาแล้วหรือยัง” หลินหลันเอ่ยถามออกไปตามมรรยาท 

 

 

หลี่ซิ่วฉายพยักหน้าเล็กน้อย “กินแล้ว”  

 

 

หลินหลันเก็บกวาดชามและตะเกียบ รวมไปถึงเช็ดทำความสะอาดผิวโต๊ะ หลังจากนั้นทุกคนจึงเริ่มเอ่ยเข้าเรื่อง 

 

 

มีเหยาจินฮวาอยู่ร่วมด้วย หลินเฟิงจึงเปลี่ยนไปไม่พูดไม่จา ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นเหยาจินฮวาที่เอ่ยถาม 

 

 

“หลี่ซิ่วฉาย เจ้าจะสู่ขอหลินหลันของบ้านเราจริงๆ หรือ”  

 

 

“เจ้ารู้ว่าจางต้าฮู่ก็อยากจะสู่ขอนางเช่นกัน แล้วเจ้ายังจะสู่ขออยู่อีกหรือ”  

 

 

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าจางต้าฮู่ผู้นั้นเป็นคนอย่างไร เจ้าก็ไม่เกรงกลัวหรือว่าเพราะเรื่องนี้จะทำให้จางต้าฮู่ขุ่นเคืองเอาได้”  

 

 

“…”  

 

 

คำถามเหล่านี้ หลี่ซิ่วฉายใช้เพียงคำเดียวว่า “ใช่” ในการตอบกลับ สั้นง่ายได้ใจความ ไม่มีอาการลังเลใจเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ใบหน้าที่ประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเรียบสงบ ทว่าไม่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าถึงความไม่สุภาพ แต่กลับทำให้เห็นความจริงใจและความมุ่งมั่นของเขามากยิ่งขึ้น 

 

 

ใบหน้าของหลินเฟิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ 

 

 

ทว่าเหยาจินฮวากลับไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก วันนี้นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องทำให้หลี่ซิ่วฉายอับอายขายหน้า ทำให้เขารู้ถึงความยากลำบากและยอมพ่ายแพ้ไป 

 

 

“ก็ดี ในเมื่อเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าอยากจะสู่ขอหลินหลัน เช่นนั้นแล้วเจ้าเตรียมจะให้ของหมั้นหมายเท่าไหร่กัน รู้ไว้ด้วยล่ะว่าจางต้าฮู่ออกเงินหมั้นหมายมาแล้วห้าสิบเหรียญเงิน นี่ยังไม่นับรวมกับ หลังจากรอตรวจดวงชะตาสมพงษ์กันแล้ว ตระกูลจางยังจะให้ของขวัญชิ้นโตมาอีกด้วย” เหยาจินฮวารู้ดีว่าหลี่ซิ่วฉายเป็นคนยากจนอนาถา อย่าได้ว่าแต่ห้าสิบสองเงินเลย ลำพังห้าเหรียญสองเงินก็ยังหามาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ 

 

 

หลินเฟิงรู้สึกว่าการถามออกไปเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสมยิ่งนัก ตอนนี้คงทำได้เพียงมองดูหลี่ซิ่วฉายแล้ว หากหลี่ซิ่วฉายถูกทำให้เตลิดหนีไป เช่นนั้นเหม่ยจื่อจะทำอย่างไร หลินเฟิงจึงแอบใช้มือสะกิดเหยาจินฮวาเบาๆ 

 

 

เหยาจินฮวาจ้องเขม็งกลับไป ส่งเสียงดังออกมาอย่างไร้ยางอาย “เจ้าสะกิดข้าทำไม หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ การสู่ขอหญิงสาวบ้านไหนกันจะไม่เอ่ยถึงสินสอดทองหมั้น นี่เป็นกฎข้อบังคับตามขนมธรรมเนียมโบราณที่ทิ้งเอาไว้”  

 

 

หลินหลันมองดูเหยาจินฮวาที่กำลังทำให้หลี่ซิ่วฉายลำบากใจ หากยึดตามนิสัยของนางแล้ว นางก็คงจะออกปากขัดขวางไปนานแล้ว แต่ทว่าครั้งนี้ นางอยากจะลองดูว่าหลี่ซิ่วฉายจะโต้กลับไปอย่างไร 

 

 

เห็นเพียงใบหน้าหลี่ซิ่วฉายที่เผยรอยยิ้มเล็กน้อย หยิบกระดาษออกจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทีสบายๆ แล้วคลี่เปิดออกมา “นี่คือเงินหมั้นหมายของข้า”  

 

 

สามคนซึ่งไม่ได้นัดหมายพร้อมใจกันเขยิบเข้าไปดูอย่างประหลาดใจ 

 

 

“นี่มันคืออะไร” เหยาจินฮวารู้จักเพียงแค่ตัวเลข ไม่รู้จักตัวอักษร จึงไม่รู้ว่าอักษรนั้นหมายความว่าอย่างไร 

 

 

หลินเฟิงแทบจะไม่รู้จัก พยายามอ่านออกมาทีละคำทีละ “ความรัก มิอาจ ประเมินค่า ได้”  

 

 

หลินหลันเกิดรู้สึกตลกมากขึ้นมากะทันหัน หลี่ซิ่วฉายคาดการณ์ไว้แล้วว่าเหยาจินฮวาจะต้องถามถึงเงินหมั้นหมายเช่นนั้นหรือ จึงได้เขียนตัวอักษรพวกนี้เอาไว้ อีกทั้งยังเป็นคำว่าความรักมิอาจประเมินค่าได้เนี่ยนะ! นางกับเขามีความรักที่ไหนกัน? หากเป็นการค้าก็ยังพอใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม อักษรไม่กี่ตัวพวกนี้ช่างเขียนออกมาได้ดีจริงๆ ลายเส้นแข็งแรง สละสลวย และดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก มันยากที่จะจินตนาการถึงคนแบบเขา ที่สามารถเขียนตัวอักษรได้อย่างดูเป็นธรรมชาติและไร้ซึ่งข้อจำกัดเช่นนี้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ภายใต้รูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมและเย็นชาของเขานั้น ยังมีหัวใจหนึ่งดวงที่แอบซ่อนอารมณ์รุนแรงและความดื้อรั้นเอาไว้ หัวใจที่เร้าร้อนเสมือนไฟ?  

 

 

เหยาจินฮวารู้สึกว่าตนเองถูกทำให้ดูเป็นตัวตลกไปเสียแล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “หลี่ซิ่วฉาย เจ้าหมายความว่าอะไร หรือว่าเจ้าต้องการใช้คำพูดห่วยแตกนี่เพื่อหลอกพาผู้หญิงเข้าบ้านเช่นนั้นหรอกหรือ”  

 

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหยาจินฮวาที่เอ่ยตำหนิอย่างผู้ไร้ซึ่งการศึกษา ทว่าที่สีหน้าของหลี่ซิ่วฉายยังคงเรียบเฉย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “ความรักมิอาจประเมินค่าได้หมายถึงจิตใจของข้าที่มีต่อแม่นางหลินหลัน และภาพอักษรนี้ หากท่านพี่หลินนำไปยังเขตมณฑลโม่เซียงไจ และแลกเปลี่ยนเป็นห้าสิบเหรียญเงินน่าจะไม่เป็นปัญหา”  

 

 

เหยาจินฮวาและหลินเฟิงอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก ห้าสิบสองเงิน ตัวอักษรบ้าบอไม่กี่ตัวเนี่ยหรือ 

 

 

หลินหลันกลับไม่รู้สึกว่าน่าตกอกตกใจอะไรขนาดนั้น ถึงแม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับตลาดภาพวาดในยุคสมัยนี้ แต่ทว่านางรู้ดีว่าไม่ว่าจะราชวงศ์ไหนๆ ผลงานภาพวาดตัวอักษรล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าราคายากเกินกว่าจะประเมินค่าได้ นางยังคิดอีกว่าที่หลี่ซิ่วฉายบอกว่าห้าสิบเหรียญเงินนั้นยังเป็นการถ่อมตัวเกินไปเลยด้วยซ้ำ 

 

 

“หลี่ซิ่วฉาย ข้าเห็นเจ้าเป็นคนเล่าเรียนหนังสือผู้หนึ่ง คิดว่าเจ้าจะซื่อตรงเป็นอย่างมาก แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าก็รู้จักแสดงละครเล่นไม่ซื่อออกมาเช่นนี้ได้ ตัวอักษรของเจ้าหากว่ามีราคาจริงๆ แล้วล่ะก็ เจ้ายังจะต้องอยู่อาศัยในกระท่อมปะลักหักพังเช่นนั้นอยู่อีกหรือ อีกทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ เช่นนี้ เก็บไว้ไปโกหกผีเถอะ!” เหยาจินฮวาพยายามระงับอารมณ์โกรธ และหัวเราะเยาะขึ้น หากการเขียนตัวอักษรไม่กี่คำสามารถทำเงินได้มากมาย เช่นนั้นหลี่ซิ่วฉายก็คงเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑลเฟิงอานไปนานแล้ว จะยังคงยากจนเสียขนาดนี้ไปได้อย่างไรกัน 

 

 

หลี่ซิ่วฉายเผยสีหน้าจริงจังดุดันขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวออกไปอย่างถ่อมตน “คนที่ละโมบโลภมากเพื่อความเพลิดเพลินทางวัตถุมักจะตกอยู่ในชีวิตที่ว่างเปล่า การไม่ใฝ่หาชื่อเสียงและผลกำไรต่างหากที่สามารถยกระดับจิตใจให้สูงส่งขึ้นได้ รู้จักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ มิแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ และปล่อยให้เป็นไปตามวิถีทางของโลก ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ชำรุดทรุดโทรมและสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ก็เพื่อแสดงการไว้อาลัยให้แด่มารดาที่เสียชีวิตไป พี่สะใภ้คิดว่ามันไม่เหมาะสมหรือ หากพี่สะใภ้ไม่เชื่อ เพียงแค่ไปยังโม่เซียงไจพร้อมกับภาพอักษรนี้แล้วถามไถ่ดูก็จะรู้ว่าจริงหรือไม่”  

 

 

เป็นครั้งแรกที่หลินหลันได้พินิจพิจารณาหลี่ซิ่วฉายอย่างใกล้ชิด ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงแค่ว่าคนผู้นี้รูปลักษณ์หน้าตาหล่อเหลา มีนิสัยค่อนข้างสันโดษ ไม่ค่อยพูดค่อยจากับผู้อื่น นอกนั้นก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเป็นพิเศษ ตอนนี้ได้มองดูเขาเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาอย่างสง่างาม จัดการปัญหาได้เสมือนเป็นเรื่องง่ายดาย ระหว่างคิ้วของเขาเผยให้เห็นอารมณ์ที่สง่างามและสุขุมนุ่มลึกอย่างเป็นธรรมชาติ เขาจักต้องเป็นผู้ที่เคยได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีและมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ มิเป็นบุตรชายจากตระกูลร่ำรวยมั่งคั่งก็คงเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ความสามารถทางด้านวรรณกรรมและศิลปะเป็นอย่างมาก เหตุอันใดถึงได้มายังเจี้ยนซีซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาแห่งนี้และใช้ชีวิตอย่างสันโดษที่ยากลำบาก เพียงเพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้เป็นมารดาที่ล่วงลับเช่นนั้นหรือ หรือมีอะไรแอบซ่อนที่มากกว่านั้นหรือไม่ หลินหลันแทบรอไม่ไหวที่จะได้รับฟังเรื่องราวของหลี่ซิ่วฉาย 

 

 

“นางไม่รับ ข้ารับไว้เอง” หลินหลันเอ่ยพลางต้องการเข้าไปเก็บตัวอักษรนั่นเอาไว้ 

 

 

เหยาจินฮวารีบร้อนแย่งกลับคืนไป ถือเอาไว้ในมือแล้วมองซ้ายทีขวาที ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย อักษรไร้สาระนี่มีราคามากขนาดนั้นจริงหรือ และดวงตาคู่เล็กของนางก็เหลือบไปมองหลี่ซิ่วฉายครั้งแล้วครั้งเล่า มองเห็นหลี่ซิ่วฉายซึ่งมีท่าทีจริงจังแน่วแน่ ไม่เหมือนกำลังโกหกหลอกลวง แล้วก็จัดแจ้งพับกระดาษตัวษรนั้นก่อนจะเอ่ยออกมา “ให้พี่ชายของหลินหลันนำไปโม่เซียงไจเพื่อรับรองความจริงก่อนแล้วกัน หากว่าโม่เซียงไจให้ราคาออกมาขาดน้อยไปแม้แต่ทองแดงเดียว การแต่งงานครั้งนี้ข้าก็มิอาจยอมรับได้”  

 

 

หลี่ซิ่วฉายพยักหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทีว่าเชิญเจ้าทำตามอำเภอใจ 

 

 

หลินหลันเย้ยหยันภายในใจ เรื่องงานแต่งของข้าต้องการการยอมรับจากเจ้าที่ไหนกันล่ะ 

 

 

หลินเฟิงยิ่งมองไปยังหลี่ซิวฉายก็ยิ่งรู้สึกถึงความเหมาะสม ก่อนหน้านี้ไฉนจึงไม่รู้มาก่อนเลยว่าหลี่ซิ่วฉายเป็นผู้ที่ช่างเจรจาได้เป็นอย่างดีผู้หนึ่ง ยังไม่ใส่ใจเรื่องตัวอักษรของหลี่ซิ่วฉายที่ว่ามีราคาขนาดนั้นจริงหรือไม่ ก็มุ่งเน้นไปที่นิสัยเช่นนี้ของเขา หากน้องสาวแต่งงานกับเขา อย่างน้อยๆ จะไม่ถูกรังแก  

 

 

“หลี่ซิ่วฉาย เรื่องของจางต้าฮู่เจ้าเองก็รับรู้แล้ว…” หลินเฟิงเอ่ยปากขึ้น 

 

 

“เรียกข้าหมิงอวินก็ได้” หลี่ซิ่วฉายยิ้มอย่างเรียบเฉย 

 

 

“หมิง…หมิงอวิน หากเป็นไปได้ ข้าคิดว่าเรื่องงานแต่งของเจ้ากับหลินหลันควรรีบกำหนดให้เรียบร้อยคงจะดี…” หลินเฟิงเอ่ยออกไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาบนเอว เป็นเหยาจินฮวาอีกครั้งที่แอบลงไม้ลงมือ 

 

 

“จะรีบร้อนอะไรนักหนารึ นี่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของหลินหลัน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ของเด็ก มีที่ไหนกันบอกว่าแต่งก็สามารถแต่งได้เลย” เหยาจินฮวากล่าวอย่างเคร่งครัด ราวกับว่านางเป็นห่วงเป็นใยหลินหลันยิ่งนัก 

 

 

แม้ในใจจะโกรธเคืองแต่ก็ไม่เอื้อนเอ่ยออกมา เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ของเด็ก แล้วยังรับเงินหมั้นหมายของจางต้าฮู่มาตามอำเภอใจเช่นนั้นหรือ 

 

 

ณ ขณะนี้เอง เสียงฆ้องและกลองดังเข้ามาจากด้านนอก ซึ่งคึกคักเป็นอย่างมาก 

 

 

หลินหลันสีหน้าเปลี่ยนไป วันนี้ในหมู่บ้านไม่น่าจะมีงานมงคลนี่นา