หลี่หมิงอวินกลับส่งสายตาไปยังหลินหลันโดยไม่ตื่นตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นัยน์ตานั่น ราวกับสื่อว่าให้ผ่อนคลายอย่าได้วิตกกังวล ฉายความมุ่งมั่นและมั่นอกมั่นใจออกมาอย่างชัดเจน และหัวใจของหลินหลันที่เดิมทีเต้นระรัวก็กลับสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ ช่วยนางจัดการจางต้าฮู่ เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของเขา เช่นนั้นนางก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยให้เป็นจริงขึ้นมาเถอะ!
ทั้งสี่คนค่อยๆ ออกไปทีละคน บ้านของหลินหลันซึ่งตั้งอยู่ที่ตะวันออกสุดของหมู่บ้าน อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งพื้นที่สูงสุดของหมู่บ้านเจี้ยนซี เมื่อยืนอยู่หน้าประตู ก็สามารถมองเห็นกลุ่มคนกำลังแบกกล่องขนาดใหญ่จำนวนไม่กี่กล่อง และยังมีเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งคัน เคลื่อนตรงมาที่บ้านของหลินหลัน
ไม่ต้องรอให้บอกก็รู้ได้เลยว่า พวกนี้เป็นคนของตระกูลจาง ดูจากสถานการณ์แล้ว ตระกูลจางต้องการส่งของกำนัลและดำเนินการแต่งงานในเวลาเดียวกัน
เหยาจินฮวาดีอกดีใจจนออกนอกหน้า หากไม่ใช่หลินเฟิงและหลินหลันที่อยู่ด้านข้างกำลังเผยสีหน้าดำคร่ำเครียด นางก็อยากจะปรบมือร้องเรียกเพื่อแสดงการต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง แม่สื่อหวังช่างมีความสามารถในการจัดการเรื่องราวเสียจริง! เมื่อวานนี้นางเพียงแค่พูดออกไปประโยคเดียวว่า จะเป็นการดีที่สุดหากจัดการเรื่องราวให้สำเร็จเสร็จสิ้นแต่เนิ่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝันในอนาคต คิดไม่ถึงเลยว่าจะรวดเร็วเสียขนาดนี้
หลินหลันถูกเกี้ยวเจ้าสาวคันสีแดงสดกระตุ้นจนสติแทบกระเจิง และเมื่อมองเห็นท่าทีของเหยาจินหัวที่เผยสีหน้าพึงพอใจ ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก หลินหลันเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามผู้เป็นพี่ชายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกอ พี่จะเอาอย่างไรก็ว่ามาเถอะ!”
หากเวลาเช่นนี้ พี่ชายยังต้องมองสีหน้าของเหยาจินฮวาเพื่อจัดการปัญหา พี่ชายเช่นนี้ หากไม่มีก็คงไม่เป็นไร
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลินเฟิงเองก็โกรธขึ้นมาเสียแล้ว ดวงตากลมจ้องเขม็ง พลางถลกแขนเสื้อขึ้น “เอาอย่างไรงั้นหรือ” แล้วหันหลังกลับไปภายในบ้าน ไม่นานนัก ก็ถือมีดหนึ่งด้ามออกมา
มีดเล่มนี้เป็นของที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ พี่ชายมองมันเสมือนของล้ำค่ามาโดยตลอด คอยเช็ดขัดอย่างตั้งใจ ดูแลเป็นอย่างดี ตอนนี้พี่ชายถือมีดเล่มนี้ออกมา แสดงท่าทีพร้อมสู้สุดชีวิต หลินหลันรู้สึกสบายใจอยู่ลึกๆ ยังดีที่สายเลือดของพี่ชายไม่ถูกเหยาจินฮวาครอบงำ ยังดีที่ในจิตใจของพี่ชายนางยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
หลินหลันเรียกเด็กน้อยให้เข้ามา เอ่ยพูดข้างใบหูเขาไม่กี่ประโยค เด็กคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“นี่เจ้าจะทำบ้าอะไร อยากตายหรือไงเจ้า…” เหยาจินฮวาเห็นหลินเฟิงถึงขั้นนำมีดล้ำค่าออกมา ทั้งโมโหทั้งร้อนรน กระทืบลงบนเท้าพลางพ่นคำด่าทอขณะเดียวกันก็ออกแรงผลักหลินเฟิง “ยังไม่รีบเก็บมีดไปอีก”
หลินเฟิงจ้องมองกลุ่มคนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในลำคอกำลังรู้สึกแห้งผาก เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “พวกเขาอย่าได้คิดว่าจะพาตัวเหม่ยจื่อไปได้”
“เจ้าจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก คนเขาจ้างแม่สื่อแล้ว ให้ของกำนัลแล้ว น้องสาวกำลังจะได้แต่งงานแท้ๆ เจ้ามีสิทธิอะไรไปขัดขวาง? เหยาจินฮวาใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปบนหน้าผากของหลินเฟิงราวกับไก่ตัวอ้วนสีขาวกำลังจิกกินอาหาร
หลินเฟิงถูกนางสะกิดไฟโมโหให้โหมขึ้นทั่วทั้งหัว มองหน้าด้วยความโกรธและเอ่ยตะคอก “มีสิทธิ์อะไร? นั่นเป็นน้องสาวของข้า ข้าหลินเฟิงผู้นี้หากแม้แต่น้องสาวของตนเองก็ยังปกป้องไม่ได้ แล้วข้ายังนับว่าเป็นลูกผู้ชายได้อีกหรือ”
เหยาจินฮวาพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกพลางยิ้มเหยาะ “ข้าว่าสมองของเจ้าคงพังไปแล้ว ทำไมเจ้าลองไม่คิดดูให้ดีๆ น้องสาวของเจ้าแต่งออกไป เป็นการไปเสวยสุขไม่ใช่ไปรับความระทมทุกข์เสียหน่อย…”
หลินเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโห “อยากแต่งก็ให้น้องสาวของเจ้าไปแต่งเองสิ ถึงอย่างไรน้องสาวข้าก็ไม่แต่ง”
เหยาจินฮวาเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเฟิงก็มักจะอวดพลังข่มเหงหลินเฟิงมาโดยตลอด เมื่อถูกหลินเฟิงตะคอกใส่ และจ้องเขม็ง จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจจนทนไม่ไหว ดึงเสื้อของหลินเฟิง ทั้งปล่อยหมัดชกเข้าไป ทั้งใช้ศีรษะกระแทก ก่อนจะปล่อยโฮร้องห่มร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น
“ข้ามันเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด…ไฉนจึงได้แต่งงานกับคนสมองเลอะเลือนอย่างเจ้า ความเก่งกาจสามารถก็ไม่มี เงินก็ไม่มี ไร้ประโยชน์สิ้นดี…แล้วจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร…ข้าไม่อยู่แล้ว ไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว…”
หลินเฟิงโมโหก็โมโห ทว่ากล้าลงไม้ลงมือที่ไหนกัน บวกกับเท้าที่ยังมีบาดแผล ถูกเหยาจินฮวาชนให้ถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง
หลี่หมิงอวินอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อมองดูสถานการณ์นี้ จึงหันไปเอ่ยเสียงแผ่วเบากับหลินหลัน “เจ้ารีบไปโน้มน้าวเร็วเข้าเถอะ! หัวหน้าหมู่บ้านพวกเขามาแล้ว”
หลินหลันสบทฮึออกมา โน้มน้าว? นางจะโน้มน้าวไปทำไม เป็นเรื่องยากที่พี่ชายจะเผยท่าทีที่น่าเกรงขามออกมาซักครั้ง หากไม่ใช่ว่ายังมีคนที่ต้องรับมือซึ่งสำคัญมากกว่า และมีปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าต้องจัดการ นางก็อยากจะใส่ฟืนลงไปซักสองอันและเทน้ำมันราดลงไปสักสองแกลลอน ทำให้เหยาจินฮวาเห็นซะบ้าง
“เอาแต่ว่าพี่ข้าไร้ประโยชน์ เจ้าก็ไปหาคนที่เก่งกาจมีความสามารถเสียสิ! ไม่คิดจะมองดูพฤติกรรมเช่นนั้นของตัวเองบ้างล่ะ พี่ชายของข้ายอมสู่ขอเจ้าก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว แล้วยังมาก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่ ข้าขอเตือนเจ้า อีกประเดี๋ยวหากเจ้ากล้าปากสว่างพูดมาก ต่อให้พี่ชายข้าจะให้อภัย แต่ข้าจะไม่ยอมให้อภัยเจ้าเด็ดขาด หากไม่เชื่อก็ลองดูได้” หลินหลันตรงเข้าไปลากตัวพี่สะใภ้ออกมา เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงดุดันใส่นาง ถือโอกาสนี้สั่งสอนนางอย่างตรงไปตรงมา แล้วจึงหันกลับไปตั้งใจสั่งสอนผู้เป็นชายของนาง การเกรงกลัวภรรยาไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ก็ต้องมีขอบเขต ไม่จำเป็นต้องคอยตามอกตามใจไปเสียทุกเรื่อง
เหยาจินฮวาถูกแววตาคู่ดุดันและคำพูดอันรุนแรงของหลินหลันทำให้รู้สึกหวาดกลัว ถึงขั้นลืมร้องไห้ไปชั่วขณะ มีเพียงดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา มองไปยังหลินเฟิงด้วยความคาดหวัง ไม่ว่าหลินหลันจะแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่หลินเฟิงช่วยเหลือนาง นางก็ไม่กลัวทั้งสิ้น แต่ทว่าตอนนี้หลินเฟิงไม่สนใจใยดีนาง เหยาจินฮวารู้สึกท้อแท้อย่างสิ้นเชิง นางไม่กล้าเล่นตุกติกอีกต่อไป ทำเพียงยืนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง พลางสะอื้นด้วยความเสียใจ
เมื่อเห็นหลินหลันกำลังข่มขู่พี่สะใภ้ของนาง หลี่หมิงอวินก็ยิ้มเยาะขึ้นมาชั่วขณะ มองไม่ออกเลยว่าหากฮานซิ่วเยว่ประทะกับหลินหลันจะออกมาเป็นสภาพเช่นไร
“หลินเฟิง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ตระกูลจางเหตุไฉนจึงได้ยกขบวนเกี้ยวมาได้” หัวหน้าหมู่บ้านจินฟู้กุ้ยกับเฉินเหลียงได้พาคนอื่นๆ ซึ่งยังหนุ่มยังสาวและแข็งแกร่งในหมู่บ้านรีบร้อนมากัน
หลินหลันเหลือบสายตาดุดันมองไปยังเหยาจินฮวา ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องราว จะเป็นใครได้หากไม่ใช่นางที่ก่อเรื่องเลวร้ายนี่ขึ้น
เหยาจินฮวาเมื่อเห็นหลินหลันพุ่งเข้ามาหานางอีกครั้ง ก็หดตัวลงอย่างหวาดกลัว ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของหลินเฟิง กระตุกแขนเสื้อของหลินเฟิงขณะเดียวกันก็ทำสีหน้าที่แสนน่าสงสาร แต่กลับถูกหลินเฟิงสะบัดออก
หลินหลันแอบสะใจยิ่งนัก
หลี่หมิงอวินโค้งคำนับหัวหน้าหมู่บ้านและลุงเฉินเหลียงทีละคนอย่างสุภาพ
เมื่อได้เห็นหลี่ซิ่วฉายอยู่ด้วย จินฟู้กุ้ยก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะตกลงกันได้แล้ว
“หลี่ซิ่วฉาย เรื่องราวในวันนี้เกรงว่าจะมีความยุ่งยากอยู่บ้าง อีกประเดี๋ยวพวกเราลองพูดคุยด้วยเหตุผลกับตระกูลจางเสียก่อน หากเจรจาไม่สำเร็จ…” จินฟู้กุ้ยก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเช่นกัน จึงพูดไม่ออกเสียแล้ว
ใบหน้าของหลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มบางๆ ยกสองมือขึ้นประสานกันระดับใบหน้าพลางเอ่ยออกมา “ทำให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเป็นกังวลใจแล้ว”
จินฟู้กุ้ยแอบถอนหายใจ สมองแทบจะบวมขึ้นมา เรื่องวุ่นวายนี้ เล่นงานเขาจนนอนหลับไม่สนิทไปทั้งคืน
ทีมเถ้าแก่มาหยุดลงเบื้องหน้ากลุ่มคน แม่สื่อหวังประดับดอกไม้สีแดงดอกใหญ่บนศีรษะ เงยศีรษะขึ้นและยืดอก แสดงท่าทีที่ดูมีความสุข เดินออกมาจากจากทีมเถ้าแก่พร้อมฉีกยิ้มแย้มแจ่มใส ตามด้วยซี่เหนียง [1] อีกสองคน แต่ละคนถือถาดหนึ่งชุดอยู่ในมือ ในถาดหนึ่งเป็นชุดแต่งงานสีแดง และอีกถาดเป็นเครื่องประดับไข่มุกที่ทำจากสีเขียวมรกตทอง แม่สื่อหวังเดินเข้าไปหาหลินหลันและเอ่ยเอ่ยอวยพระให้แก่หลินหลัน “แม่นางหลินหลัน ขอให้มีความสุขมากๆ ”
หลินหลันมองไปยังใบหน้าแก่ย่นของแม่สื่อหวังที่ทาแป้งแต่งหน้าหนาเตอะด้วยความขยะแขยง แสยะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “แม่สื่อหวัง คนอย่างเจ้ายังสามารถเรียกว่าเป็นแม่สื่อได้อยู่อีกรึ!”
แม่สื่อหวังเพียงแค่มองหน้าหลินหลันก็รู้ได้ทันทีว่าหลินหลันเกลียดชังนางเสียยิ่งนัก แต่ทว่าหนังหนาของแม่สื่อหวังนั้นด้านชาไร้ความรู้สึกไปตั้งนานแล้ว ไม่สะทกสะท้านกับคำจิกกัดด่าทอใดๆ ทั้งนั้น จึงฉีกยิ้มจนแก้มปริแล้วเอ่ยขึ้น “แม่นางหลินหลัน วันนี้เป็นวันมงคลวันหนึ่ง รีบสวมใส่ชุดเจ้าสาวเสียเถิด อย่ามัวชักช้าจนเลยเวลาฤกษ์งามยามดีไป”
“แม่สื่อหวัง ทั่วทั้งหมู่บ้านเจี้ยนซีต่างรู้เป็นอย่างดีว่าเรื่องการแต่งงานของหลินหลันจะตัดสินโดยตัวข้าเอง ใครหน้าไหนอย่าได้ริอาจตัดสินใจแทนข้า อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้ ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ได้บอกกับเจ้าไปด้วยปากของตัวเองแล้ว ดังนั้น เจ้าคิดว่าการที่เจ้าและพี่สะใภ้ของข้าไปตกลงเรื่องการหมั้นหมายอย่างลับๆ แล้วข้าจะยอมรับเช่นนั้นหรือ” หลินหลันมองไปที่นางอย่างเย็นชา
“ใช่น่ะสิ! แม่สื่อหวัง เรื่องนี้เจ้าทำไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง” หัวหน้าหมู่บ้านจินฟู้กุ้ยกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แม่สื่อหวังฉีกยิ้มแห้ง “หลินหลันเอ้ย! มีที่ไหนกันเรื่องการแต่งงานลูกสาวของบ้านจะตัดสินใจด้วยตนเอง ข้าเป็นแม่สื่อมาก็หลายสิบปีได้ยินเรื่องเช่นนี้มาน้อยครั้งมาก! และถึงอย่างไรเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ พวกเจ้าก็ได้รับเงินหมั้นหมายเอาไว้แล้ว ตระกูลจางก็ได้รับใบบันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้นแล้ว งานเลี้ยงเฉลิมฉลองก็ได้ตระเตรียมไว้แล้ว แล้วมีเหตุผลอันใดให้ไม่ยอมรับมันได้อีก ทุกคนควรรีบเตรียมตัวให้พร้อมจะดีกว่า เกี้ยวเจ้าสาวกำลังรออยู่!”
“ใครเป็นผู้รับเงินหมั้นเจ้าก็แบกผู้นั้นไปแล้วกัน ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลยแม้แต่เหรียญเงินเดียว” หลินหลันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เผยท่าทีบ่งบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนเองเสียหน่อย
เหยาจินฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนรนขึ้นมา “ไฉนจึงโบ้ยมาให้ข้า?”
ทุกคนหันกลับมามองด้วยสายตาดูหมิ่นไปที่เหยาจินฮวา ก็ไม่ใช่ความผิดที่เจ้าก่อขึ้นหรอกหรือ ไม่โบ้ยให้เจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้
แม่สื่อหวังเห็นท่าแล้วจะไม่ค่อยดี ขมวดคิ้วเข้าหากันพลางเอ่ยถามเหยาจินฮวา “เหยาจินฮวา! สรุปแล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อวานนี้ไม่ใช่ว่าตกลงกันไว้อย่างดิบดีแล้วหรอกหรือ ว่าให้นำเกี้ยวเจ้าสาวมาแค่นั้นก็เป็นอันพอ”
ทุกคนจับจ้องสายตาไปที่เหยาจินฮวาอีกครั้งด้วยความโกรธเล็กน้อย นัยน์ตาของพวกเขานอกจากการดูหมิ่นดูแคลนก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธ
ก่อนหน้านี้หลินเฟิงยังคงเชื่อในคำพูดเหตุผลข้ออ้างของเหยาจินฮวา ที่ว่าไม่กล้าทำให้จางต้าฮู่ขุ่นเคือง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจำยอมทำเช่นนั้น…ทว่าตอนนี้ก็ได้เข้าใจแล้ว ที่แท้ล้วนเป็นเรื่องที่เหยาจินฮวาตั้งใจก่อขึ้น เขาสลัดมือของเหยาจินฮวาที่จับแขนเสื้อของเขาออก และสบถเสียงฮึออกมาหนักแน่น
เหยาจินฮวาถึงกับหน้าถอดสีเมื่อถูกสายตาคมกริบของผู้คนจดจ้อง เอ่ยตะกุกตะกักอย่างกลัวความผิด “จะเป็นข้าพูดไปได้อย่างไรกัน เจ้าจะมาใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้ไม่ได้”
สีหน้าของแม่สื่อหวังก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ดูท่า คิดจะล้มเลิกงานหมั้นตั้งแต่แรกแล้วสินะ…
ขณะนั้นเองหนึ่งในกลุ่มคนเถ้าแก่ก็ก้าวออกมา ภายใต้ชุดผ้าไหมสีเหลือง รูปร่างเตี้ยอ้วน ดวงตาคู่นั้นกำลังมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย อย่างเฉลียวฉลาดและไตร่ตรอง กวาดสายตาไปยังผู้คนอย่างใจช้าๆ และค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น “แม่สื่อหวัง เจ้าไม่ได้พูดกับพวกเขาให้เข้าใจชัดเจนหรือ”
แม่สื่อหวังรีบร้อนชี้แจงขึ้น “ท่านผู้ดูแลหลิว ข้าแม่สื่อหวังเป็นแม่สื่อมาหลายสิบปี มีงานแต่งบ้านไหนกันเล่าที่จะไม่พูดให้เข้าใจชัดเจนและถูกต้อง เมื่อวานนี้ได้พูดตกลงกับพี่สะใภ้ของหลินหลันเป็นดิบดีแล้ว อีกทั้งข้ายังถามนางแล้วด้วยว่า จะเป็นไปได้ไหมที่หลินหลันจะไม่เห็นด้วย นางเอ่ยกับข้าอย่างมั่นอกมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ท่านดูสิ นี่คือใบสำคัญที่นางให้ข้าไว้ หากเรื่องไม่สำเร็จ ก็ยึดตามสัดส่วนสามเท่าในการคืนสินสอดทองหมั้น” แม่สื่อหวังกล่าวพลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและแสดงให้ผู้ดูแลหลิวดู
ผู้ดูแลหลิวเมื่อได้เห็นแล้ว ก็แสยะยิ้มออกมา เอ่ยพูดต่อหลินหลันและคนอื่นๆ “หากเช่นนั้นก็รีบขึ้นรถเกี้ยว พวกเราจะได้จัดงานมงคลกันอย่างมีความสุข หากพวกเจ้าคิดจะล้มเลิกการแต่งงาน เช่นนั้นก็คืนสินสอดทองหมั้นมาเสียหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญเงิน อีกทั้งพวกเราพี่น้องตั้งหลายคนพากันรีบร้อนมาไกลเสียขนาดนี้ ก็คงไม่สามารถกลับไปมือเปล่าได้หรอก โชคไม่ดีเสียแล้ว? อย่างน้อยๆ ก็เอามาซักห้าสิบเหรียญเงินให้ทุกคนได้ไปดื่มกิน ไปผ่อนคลาย อีกทั้งที่บ้านตระกูลจางยังได้ประดับประดาไฟ จัดแต่งห้องเรือนหอ หมดเงินไปประมาณสามร้อยเหรียญเงินเห็นจะได้ เงินพวกนี้แน่นอนว่าก็ต้องเก็บเอากับพวกเจ้า แม่นางหลินหลัน จะขึ้นเกี้ยวไปหรือว่าคืนเงินล่ะ เจ้าตัดสินใจด้วยตนเองแล้วกัน!”
——
[1] ซี่เหนียง 喜娘 คือ หญิงที่แต่งงานแล้ว ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาว