ตอนที่ 14 ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ตอนที่อันหลินเข้าห้องเรียน ก็ดึงดูดสายตาของเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายให้จับจ้อง

ไม่ใช่เพราะเขาหล่อเหลาปานนั้น แต่เพราะใบหน้าซีกซ้ายที่บวมเป่งของเขาต่างหาก

“อันหลิน ใครทำเจ้า บอกหัวหน้า หัวหน้าจะไปเอาคืนแทนเจ้า!”

เมื่อเห็นท่าทางอเนจอนาถของอันหลินแล้ว ใบหน้าของเซวียนหยวนเฉิงก็ฉายความโกรธเกรี้ยว พูดด้วยความไม่พอใจแทนเขา

อันหลินได้ฟังก็ส่ายหน้ารัวๆ “เปล่า…หัวหน้า ข้าแค่ไม่ระวังเลยหกล้มก็เท่านั้น…”

พูดจบ เขาก็เหลือบมองสวีเสี่ยวหลานที่อยู่ข้างหลังด้วยความหวาดกลัว

ใบหน้างดงามของสวีเสี่ยวหลานเฉยชา ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ไม่สนใจอันหลิน หาที่นั่งแล้วหย่อนก้นลงไปเพียงลำพัง

เซวียนหยวนเฉิงนัยน์ตาวาวโรจน์ ราวกับเข้าใจตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว

เขาตบไหล่อันหลิน ปลอบใจว่า “ที่แท้ก็ความรุนแรงในครอบครัวนี่เอง สหายอันหลินลำบากจริงๆ…”

“พี่เฉิง…เห็นข้าอนาถเช่นนี้ ทำไมเจ้ายังถากถางข้าได้ลงคอ!”

ตอนนี้อันหลินปวดใบหน้าทุกครั้งที่เอ่ยปากพูด

ตอนนี้เขาฝืนเปิดปากคุยกับเซวียนหยวนเฉิง ซ้ำยังเป็นท่าทางที่ใบหน้าบิดเบี้ยวอีกด้วย

เซวียนหยวนเฉิงยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ พูดให้กำลังใจด้วยความอ่อนโยนว่า “สหายอันหลิน เจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียร! ทางด้านพลังยุทธ์ พยายามเอาชนะสหายสวีเสี่ยวหลานให้ได้ แบบนี้ก็จะไม่ถูกรังแกแล้ว!”

มุมปากของอันหลินกระตุก สุดท้ายก็ทอดถอนหายใจ ถอดใจกับความคิดที่จะอธิบายต่อ

หลังเขาพยักหน้าให้เซวียนหยวนเฉิงแล้ว ก็หันหลังจากไป ตั้งใจว่าจะหาที่นั่งนั่งลง

“อันหลิน รับนี่ไปสิ”

จู่ๆ ก็มีเสียงของเซวียนหยวนเฉิงดังขึ้นข้างหลังอีกครั้ง

อันหลินเหลียวมอง เห็นเซวียนหยวนเฉิงโยนขวดเล็กๆ ใบหนึ่งมาให้เขา

“ใช้ทาหน้า ลดบวมน่ะ” เซวียนหยวนเฉิงพูดต่อ

อันหลินรับขวดไว้ นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตื้นตันจนน้ำตาปริ่มขอบตา

ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนตัวเองถูกฝูงสัตว์วิเศษเหยียบย่ำผ่านไป ร่างกายฟกช้ำดำเขียวเดินอยู่ในป่าร้างเพียงลำพัง จากนั้นก็มีทูตสวรรค์ปรากฏตัว พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่!”

นี่เป็นความอบอุ่นใส่ใจมากปานใดกัน…

หันกลับมาที่โต๊ะ อันหลินทายาในขวดลงบนใบหน้า

เพิ่งทายาเสร็จ ก็มีความเย็นสบายแผ่ออกมาจากใบหน้า อาการปวดแสบปวดร้อนก็ลดลงไม่น้อยเลย

“ยานี่ใช้ได้เลย” อันหลินพยักหน้า เก็บยาไว้อย่างระมัดระวัง เผื่อใช้ยามจำเป็น

เฮ้อ…

เพิ่มระดับพลังยุทธ์ผ่านวิธีของระบบไม่ได้อีกแล้วเหรอ

อันหลินกลัดกลุ้ม เปิดหน้าจอระบบภายในสมอง เหม่อมองแถบระดับพลังยุทธ์

จริงสิ! วรยุทธ์กับกระบวนท่าสามารถบำเพ็ญเพียรได้เมื่อถึงกายแห่งมรรคขั้นเจ็ดไม่ใช่เหรอ

อันหลินคิดได้ดังนั้น ก็รีบเปิดหน้าวรยุทธ์ของระบบทันที วรยุทธ์ที่ปรากฏให้เห็นบนหน้าจอแบ่งออกเป็น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน พายุ อัสนี หยิน หยาง บำเพ็ญตบะทั้งหมดสิบหน้า ตอนนี้มีแค่การฝึกวรยุทธ์สายอัสนีเท่านั้นที่สว่าง

‘อัสนีมรรควิถีขั้นหนึ่ง บรรลุเงื่อนไข ถูกสายฟ้าที่ก่อตัวตามธรรมชาติในฟ้าดินฟาดหนึ่งครั้ง’

อันหลิน “…”

ให้ตายเถอะ นี่จะให้เราฆ่าตัวตายหรือไง!

อันหลินสะดุ้งตัวโหยงกับเงื่อนไขของระบบ ใบหน้าตกตะลึงพรึงเพริด

อัสนีที่ก่อตัวขึ้นโดยธรรมชาติ ปกติล้วนมีแรงดันไฟฟ้ากับกระแสไฟมากกว่าแสนโวลต์

หากเขายืนอยู่ตรงนั้น จากนั้นถูกฟ้าผ่า จะมีชีวิตรอดอีกงั้นเหรอ

ชีวิตกับความสามารถ อะไรสำคัญกว่ากัน

จากที่เราดูด้านวรยุทธ์ ช่างมันดีกว่า…

อันหลินส่ายหน้า เบนสายตามองหน้ากระบวนท่าของระบบ

หน้านี้ไม่มีอะไรเลย มีแค่ไอคอนอันเดียว

‘หมัดสะเทือนขุนเขา บรรลุเงื่อนไข กินจิตวิญญาณแห่งขุนเขา 10 กรัม’

จิตวิญญาณแห่งขุนเขาคืออะไร อันหลินงงงวย

จะสนใจทำไมว่ามันคืออะไร อย่างไรเสียเงื่อนไขนี้ เขาก็มีความหวังว่าจะทำสำเร็จแล้ว

หลังเลิกเรียน ค่อยถามสวีเสี่ยวหลานหน่อยดีกว่า

อันหลินมองไปข้างหน้า สวีเสี่ยวหลานนั่งอยู่ตรงหน้า ท่าทางยังโกรธไม่หาย

เขาปวดหัวนิดหน่อย “ตีก็ตีแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว ทำไมยังไม่หายโมโหอีก ทั้งที่คนที่อนาถที่สุดคือเราไหมล่ะ”

คาบเรียนช่วงเช้าเป็นวิชาค่ายกล มีอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขาเซียนกระบี่หลิงเซียวเป็นผู้สอน

เซียนกระบี่ชายผู้หล่อเหลาอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างที่กำลังสอน ก็พูดถึงคุณงามความดีของการเป็นวีรบุรุษในอดีตของตน

ไม่พูดไม่ได้ว่า เซียนกระบี่หลิงเซียวบอกเล่าได้เป็นเรื่องเป็นราว คุยโวโอ้อวดชนิดที่น้ำไหลไฟดับ

เรื่องเล่ามีพล็อตที่สะกดกลั้นอารมณ์ เช่นตอนที่เขาเป็นหนุ่มเคยถูกอัจฉริยะของบางนิกายดูถูกดูแคลน ใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา

และมีจุดที่ระเบิดพลังเหมือนกัน เช่นห้าปีให้หลัง เซียนกระบี่หลิงเซียวหวนกลับมาอย่างแข็งแกร่ง

แค่กระบี่เดียว ก็ข่มขวัญหนึ่งสำนักได้ ทำเอาอัจฉริยะที่เคยเยาะเย้ยเขา ตกใจจนฉี่ราด

เรื่องเล่าต่างๆ มากมาย บอกเล่าได้น่าสนใจยิ่งนัก ทำให้นักเรียนทั้งห้องอุทานออกมาไม่ขาดสาย แม้แต่อันหลินก็มีความรู้สึกเหมือนกำลังฟังนิยายบำเพ็ญเซียน

ตอนหลัง คล้ายว่าอาจารย์ที่ปรึกษาจะรู้ตัวแล้วว่าคาบเรียนนี้ ถูกเขาพาออกทะเลไปไกลหนึ่งหมื่นแปดพันลี้แล้ว จึงรีบใช้คำว่า ‘จะเห็นได้ว่า หนทางแห่งการบำเพ็ญเซียนลดเลี้ยวเคี้ยวคด เต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเราจะหมดกำลังใจง่ายๆ ไม่ได้ อย่าถอดใจง่ายๆ!’ วกกลับเข้าเรื่อง

จากนั้น เซียนกระบี่หลิงเซียวก็ทำหน้าจริงจัง เริ่มพูดถึงวิธีและทักษะในการวางค่ายกล

ข้างล่างมีเสียงโอดครวญดังไม่ขาดสาย หลายคนแสดงอาการผิดหวัง

เห็นได้ชัดว่าทุกคนชอบให้อาจารย์ที่ปรึกษาเล่าเรื่องมากกว่า ไม่ใช่สอนหนังสือ…

ถึงเวลาเลิกเรียนโดยไม่รู้ตัว

นักเรียนทยอยออกจากห้องเรียน แต่อันหลินกลับใช้โอกาสนี้ เดินเข้ามายืนข้างสวีเสี่ยวหลานพร้อมกับเผยรอยยิ้มเอาใจ

“เซียนหญิงหลานหลาน วันนี้ข้าทำผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ” อันหลินก้มหน้าก้มตา พูดอย่างรู้สึกผิด

สวีเสี่ยวหลานเหลือบมอง ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ “แค่นี้หรือ”

อันหลินสะอึก ตะโกนในใจว่า ‘เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไรอีก’

แน่นอนว่า ตอนนี้อันหลินไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดในใจออกมาเป็นอันขาด

ใช้สมองโดยไว ในที่สุดเขาก็นึกถ้วยคำที่ถูกต้องออกแล้ว

“เซียนหญิงหลานหลาน ข้าตาบอดไม่พอ แถมยังปากหนักพูดไม่เก่ง เรื่องในวันนี้ เป็นความผิดข้าเอง ข้าไม่ควรไร้จิตสำนึก ใส่ร้ายความงามของเจ้า ประโยคนั้นเป็นประโยคที่ไร้จิตสำนึกที่สุดที่ข้าเคยพูด ข้าผิดไปแล้ว! หากเจ้ายังโมโหอยู่ ก็ตบข้าอีกสักทีเถอะ! มาเลย ข้างขวายังไม่บวม ช่วยตบให้ใบหน้าข้าสมมาตรกันหน่อย!”

อันหลินพูดจบ ก็ยื่นหน้าอีกด้านหนึ่งที่ยังไม่บวมไปตรงหน้าสวีเสี่ยวหลาน หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมรับโทษแต่โดยดี

เมื่อสวีเสี่ยวหลานเห็นอันหลินแสดงกิริยาแบบนี้ บนใบหน้าจิ้มลิ้มที่เย็นชา ก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาสักที

แต่ก่อนที่อันหลินจะลืมตา นางก็เก็บรอยยิ้มทิ้งไป แสร้งทำเป็นตีหน้ายักษ์ พูดจาเฉยชาว่า “เอาเถอะ เห็นเจ้าขอโทษด้วยความจริงใจแบบนี้ ข้าจะยอมให้อภัยเจ้า”

ได้ฟังดังนั้น อันหลินก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก

เขาลืมตาขึ้น พบว่าสีหน้าของสวีเสี่ยวหลานอ่อนลงไม่น้อย ทำให้เขาอดโล่งใจไม่ได้

“อันที่จริง ข้ายังมีปัญหาอีกอย่าง อยากขอคำแนะนำจากเจ้าหน่อย เจ้ารู้ไหมว่าจิตวิญญาณแห่งขุนเขาคืออะไร”

อันหลินลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดเรื่องนี้ออกมาอยู่ดี

“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม มีแผนการอะไรอีกแล้ว” สวีเสี่ยวหลานเท้าคาง ถามเสียงเบา

“ก็แค่เหตุผลบางประการ ข้าอยากหาจิตวิญญาณแห่งขุนเขาสิบกรัมมาลองชิมเท่านั้น” อันหลินได้ฟังคำพูดของสวีเสี่ยวหลาน ก็รู้ว่ามีหวัง นัยน์ตาแวววับขึ้นมา

“ลองชิมหรือ” สวีเสี่ยวหลานอ้าปากเล็กน้อย มองอันหลินอึ้งๆ

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของสวีเสี่ยวหลานแล้ว อันหลินก็สังหรณ์ใจไม่ดี “ทำไม มีปัญหาอะไรหรือ”

“เปล่า ไม่มีปัญหา เพียงแต่ของสิ่งนี้ค่อนข้างหายาก เอาอย่างนี้ ข้าจะลองพาเจ้าไปหาที่เขาชมจันทร์”

รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของสวีเสี่ยวหลาน แนะนำอันหลิน

เขาชมจันทร์เป็นภูเขาที่สูงที่สุดของสำนัก มีหอชมจันทร์หลังหนึ่งบนยอดเขา

ทิวทัศน์บนเขาสวยเกินบรรยาย แหล่งรวมพลังปราณตามธรรมชาติ บุปผานานาพันธุ์มากเหลือคณานับ ซ้ำยังมีสัตว์มงคลที่น่ารัก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นภูเขาที่ลูกศิษย์ผู้หญิงชื่นชอบที่สุด

เมื่อได้ยินว่ามีโอกาสไปตามหาจิตวิญญาณแห่งขุนเขาที่เขาชมจันทร์ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เห็นพ้องต้องกันกับสวีเสี่ยวหลาน ออกเดินทางสู่เขาชมจันทร์ทันที

หมัดสะเทือนขุนเขา…ในที่สุดเราก็มีโอกาสได้ฝึกวิชาเซียนวิชาแรกของเส้นทางการบำเพ็ญเซียนแล้ว!

ใบหน้าของอันหลินเปี่ยมด้วยความคาดหวัง

…………………………