บทที่ 18 โชคร้ายกลายเป็นดี

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“หนึ่งร้อย หนึ่งร้อยยี่สิบ หนึ่งร้อยห้าสิบ…” จินเฟยเหยา นั่งอยู่บนขอนไม้ นับเปลือกตะขาบเหล็กในกระเป๋าเก็บของ ยิ้มแย้มจนตาเกือบหยี ใต้เท้าของนาง มีชิ้นส่วนและขาเล็กๆ ที่ไร้ประโยชน์ของตะขาบเหล็กกองหนึ่ง ดูแล้วมีปริมาณไม่น้อย

“คืนเดียว คิดไม่ถึงว่าจะได้ศิลาวิญญาณสองร้อยสามสิบก้อน ยังไม่นับหัวตะขาบเหล็ก โชคดีมากจริงๆ” นางเก็บกระเป๋าเก็บของเข้าในอกอย่างระมัดระวัง ดูเวลา อีกไม่นานก็ใกล้จะเที่ยงวัน

เมื่อวานนางไม่ได้นอนทั้งคืน ตะขาบเหล็กพาตัวมาหาถึงที่ไม่หยุด มาอย่างไม่ต่อเนื่องเก้าตัว บางตัวก็เป็นตะขาบแก่มีสามสิบกว่าปล้อง ส่วนบางตัวก็มีเพียงยี่สิบกว่าปล้อง ไม่มีเวลาพักผ่อนเลยสักนิด มาให้นางฆ่าตลอดจนถึงฟ้าสาง

หลังจากนางกำจัดตะขาบเหล็กตัวที่เก้า ฟ้าก็สว่าง ไม่มีตะขาบเหล็กปรากฏตัวขึ้นอีก

จินเฟยเหยาเองก็โล่งอก ถ้ายังฆ่าต่อไปเช่นนี้ พลังวิญญาณคงอยู่ได้ไม่นาน บนร่างของนางนอกจากยางดอาหารหนึ่งเม็ดและยาน้ำสีเขียวสองขวด ก็มีเพียงยาเสริมพลังที่ได้มาตอนเพิ่งพบสยงเทียนคุน ยาเสริมพลังแค่สามเม็ดใช้ในยามเร่งด่วน ไม่อาจใช้ที่นี่ได้

ฉวยโอกาสที่ไม่มีตะขาบเหล็กและหนอนแมลงพิษอื่นๆ ปรากฏตัว จินเฟยเหยาครุ่นคิด เพราะเหตุใดจึงทำให้ตะขาบเหล็กส่งตัวมาหาถึงที่เองตลอด

คิดอยู่ครึ่งวันก็หาคำอธิบายที่เหมาะสมไม่ได้ นางจึงได้แต่คิดว่าสาเหตุอยู่ที่พื้นที่นี้ ดังนั้นตัดสินใจไม่ไปหาตะขาบเหล็กยังสถานที่อื่นชั่วคราว ทว่าเฝ้ารออยู่ที่นี่อีกหนึ่งคืน ดูว่าพอตกค่ำตะขาบเหล็กจะออกมาหรือไม่

ขอเพียงฝึกเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ เพิ่มพลังวิญญาณภายในร่างกาย ต่อให้ไม่ได้นอนก็สามารถรักษาร่างกายให้อยู่ในสภาพดีได้หลายวัน เป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็ดีตรงนี้ ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่ต้องดื่มกินขับถ่ายและนอนหลับทุกวัน ยึดครองเวลาส่วนใหญ่ในชีวิต ถึงแม้ขั้นฝึกปราณจะไม่สามารถงดอาหารได้ และมิอาจไม่นอนคราหนึ่งเป็นเวลาหลายเดือน ทว่าก็ประหยัดเวลานอนหลับได้มาก

กลางวันฝึกบำเพ็ญไปพลางฟื้นฟูพละกำลังไปพลาง รอถึงตอนกลางคืน จินเฟยเหยาเพิ่มการระแวดระวัง รอให้ตะขาบเหล็กส่งตัวมาหาถึงที่ ทว่าตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสาง นางยังไม่เห็นหนวดของตะขาบเหล็กสักเส้น จินเฟยเหยาคิดเป็นร้อยรอบก็ยังไม่เข้าใจ หรือว่าตะขาบเหล็กของที่นี่ถูกตนเองฆ่าหมด เฝ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ใคร่ครวญแล้ว นางจึงตัดสินใจไปยังสถานที่ที่พบตะขาบเหล็กครั้งแรก ในเมื่อปรากฏตัวขึ้นตัวหนึ่ง เช่นนั้นรอบด้านก็ต้องมีตะขาบเหล็กตัวอื่นๆ

หาทิศทางแล้ว จินเฟยเหยาก็เริ่มค้นหาสถานที่ซึ่งพบเห็ดหูหนูเน่าในวันนั้น ร่องรอยถูกตั๊กแตนหน้าหยกกวาดทำลายมาตลอดทาง ในไม่ช้านางก็หาทางกลับมาได้

รอบด้านระเกะระกะ ต้นไม้ถูกตั๊กแตนหน้าหยกตัดล้มลงบนพื้น ตะขาบเหล็กตัวนั้นถูกตัดจนกลายเป็นชิ้นๆ นับร้อยชิ้น เก็บกลับไปก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนขอนไม้ที่มีเห็ดหูหนูเน่าขึ้น ตอนนั้นถูกตะขาบเหล็กกัดเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว แม้แต่เศษซากเห็ดหูหนูเน่าบนขอนไม้ก็ไม่เหลือ

เห็ดหูหนูเน่าชนิดนี้เริ่มส่งกลิ่นเหม็นตั้งแต่งอกจนถึงโตเต็มที่เป็นเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดวัน ช่วงที่โตเต็มที่แค่สามวัน หลังจากสามวันเห็ดหูหนูเน่าก็จะแห้งร่วงไปเอง ทว่าเห็ดหูหนูเน่าที่จินเฟยเหยาเด็ดมา เพราะใส่ไว้ในกระเป๋าเก็บของตอนนี้จึงแห้งเพียงแค่ครึ่งเดียว ทว่ากลิ่นเหม็นยังไม่ลดลง

จินเฟยเหยาฉีกแถบผ้าจากบนเสื้อมาปิดจมูกและปาก กลิ่นของเห็ดหูหนูเน่าที่เปื้อนบนตัว ทำให้ตัวนางรู้สึกอยากจะอาเจียน นางนั่งอยู่ที่เดิม ดูดซับพลังวิญญาณรอบด้านไปพลาง รอคอยตะขาบเหล็กมาหาไปพลาง

กาลเวลาไม่เคยทำให้คนที่ตั้งใจผิดหวัง[1]สองชั่วยามต่อมา มีเสียงซ่าซ่าดังมาจริงๆ มีตะขาบเหล็กส่งตัวมาหาถึงที่ อีกทั้งมาคราหนึ่งถึงสองตัว

จินเฟยเหยาทุบตีตะขาบเหล็กอย่างอำมหิต ทางหนึ่งครุ่นคิด ตะขาบเหล็กเหล่านี้ส่งตัวมาหาเองถึงที่ต้องมีสาเหตุแน่นอน ถ้าบุกรังจะมีตะขาบเหล็กปรากฏขึ้นหลายตัวก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผล สัตว์ปิศาจชนิดนี้ไม่ได้อยู่เป็นฝูง แต่ละตัวมีถิ่นที่อยู่โดดเดี่ยวตามขนาดของพละกำลัง ถ้าไม่ใช่ช่วงจับคู่ ตะขาบเหล็กสองตัวเจอกันก็ต้องต่อสู้กัน ไม่ลงรอยกันเหมือนน้ำกับไฟ

หรือว่าตนเองมีคุณสมบัติร่างกายดึงดูดตะขาบเหล็กโดยกำเนิด คิดดูแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ ทันใดนั้น นางก็สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง ว่าตนเองไม่เหมือนคนอื่นตรงไหน นั่นก็คือเหม็นเกินไป

“เห็ดหูหนูเน่า! ต้องเป็นเพราะกลิ่นเหม็นของเห็ดหูหนูเน่าแน่ที่ชักนำตะขาบเหล็กมา” จินเฟยเหยาตบศีรษะ ในที่สุดก็ค้นพบ ข้อสำคัญคือนางเหม็นมาสองวันกว่าแล้ว จึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ คาดว่าตะขาบเหล็กชอบกินเห็ดหูหนูเน่าที่โตเต็มที่อย่างยิ่ง บวกกับช่วงที่เห็ดหูหนูเน่าเติบโตเต็มที่อย่างมากมีเวลาเพียงสามวัน ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นอย่างไร้ที่เปรียบ ผู้บำเพ็ญเซียนพบพานล้วนเดินอ้อม ดังนั้นจึงไม่มีคนสังเกตเห็นสภาพการณ์เช่นนี้

เหยียบอยู่บนซากตะขาบเหล็กสองตัว จินเฟยเหยาตื่นเต้นผิดปกติ ขอเพียงรู้ว่ากลิ่นเหม็นของเห็ดหูหนูเน่าสามารถชักนำตะขาบเหล็กมาได้ อาศัยความเร็วในการโจมตีด้วยกำปั้นหนักๆ และไฟนรกของตนเอง ก็จะหาศิลาวิญญาณได้ไม่หมดสิ้น

เมื่อวานน่าจะเป็นตะขาบเหล็กรอบพื้นที่นั้นถูกชักนำมาฆ่าจนหมดแล้ว ดังนั้นคืนที่สองจึงไม่พบเลยสักตัว ตอนนี้ขอเพียงตนเองใส่เห็ดหูหนูเน่าในกระเป๋าเก็บของ ล่อตะขาบเหล็กในหุบเขาร้อยหนอนแมลงมาติดกับ เชื่อว่าน่าจะเก็บเงินได้สองพันศิลาวิญญาณชั้นล่างในไม่ช้า

เห็ดหูหนูเน่าเปื้อนบนร่าง สามารถรักษากลิ่นเหม็นได้ประมาณสามวัน ทว่าระดับความเข้มข้นของความเหม็นไม่อาจเทียบกับเห็ดหูหนูเน่าที่สดใหม่ได้ กลิ่นเหม็นไม่เพียงพอ ระยะห่างในการกระจายกลิ่นก็จำกัด ไม่อาจชักนำตะขาบเหล็กมาให้มากที่สุดได้ วิธีที่ดีที่สุดคือใช้กล่องหยกที่ใส่หญ้าวิญญาณเก็บรักษาเห็ดหูหนูเน่าเอาไว้ แต่ละครั้งนำออกมาไม่กี่ดอกเพื่อล่อตะขาบเหล็กก็พอ

ทว่าตอนนี้ในตัวนางไม่มีกล่องหยกสักกล่อง รู้แต่แรกจะซื้อไว้พกติดตัวสักกล่อง ตอนนี้นึกเสียใจไปก็ไร้ประโยชน์ ใช้เห็ดหูหนูเน่าที่พกติดตัวมาให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ขอเพียงตะขาบเหล็กในสถานที่แห่งหนึ่งถูกฆ่าหมด นางก็เปลี่ยนสถานที่ บางแห่งมีตะขาบเหล็กมากหน่อย บางแห่งมีน้อยหน่อย ทว่าปกติสัตว์ปิศาจชนิดนี้ล้วนซ่อนตัว ทว่ากลับมีปริมาณมากน่าดู

ครึ่งเดือนต่อมา จินเฟยเหยาบรรทุกของกลับมาจากหุบเขาร้อยหนอนแมลงเพียบ บนตัวยังมีกลิ่นเหม็นของเห็ดหูหนูเน่าเหลืออยู่ พอก้าวเข้าประตูเมืองลั่วเซียน ผู้คนในเมืองต่างถอยห่างจากนางสามเซ่อทันที ขอเพียงหาเงินได้ นางไม่สนใจสายตาของผู้อื่นหรอก ไม่มีศิลาวิญญาณสิเสียหน้าที่สุด

จินเฟยเหยาที่มีกลิ่นเหม็นบนร่างไม่ได้กลับบ้าน ทว่าตรงไปที่ร้านอาวุธมงคล ตอนที่นางโยนกระเป๋าเก็บของที่มีตะขาบเหล็กบรรจุอยู่เพียบให้เจ้าของร้านที่ปิดจมูกและมีสีหน้ารังเกียจ ลูกค้าในร้านก็หนีออกจากร้านไปจนหมด

เจ้าของร้านใช้สองนิ้วหยิบกระเป๋าเก็บของขึ้นมาเบาๆ ใช้พลังวิญญาณกวาดดูในกระเป๋าก็ตกตะลึงทันที นับอย่างละเอียด คิดไม่ถึงว่าในกระเป๋าจะมีเปลือกของตะขาบเหล็กหกร้อยกว่าชิ้น นี่เป็นปริมาณรับซื้อสูงสุดของร้านในครึ่งปีนี้

เปลือกตะขาบเหล็กมากมายปานนี้ สามารถหลอมสร้างอาวุธเวทในร้านขึ้นใหม่ได้มากมาย เพิ่มระดับความแข็งแกร่ง ราคาของอาวุธเวทก็เพิ่มขึ้น

“สหายเซียนน้อย เก็บเกี่ยวได้ไม่เลว เหตุใดจึงได้ตะขาบเหล็กมามากมายขนาดนี้?” เจ้าของร้านไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นอีกต่อไป เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มปริ่ม

จินเฟยเหยายิ้มเขินๆ “นี่เป็นของที่ท่านพ่อกับข้าไปๆ มาๆ ที่หุบเขาร้อยหนอนแมลงถึงสองปีจึงสะสมได้” คนโง่จึงพูดความจริงออกไปว่าใช้เวลาสิบกว่าวันหามาได้ ถ้าทุกคนรู้ว่าสามารถอาศัยเห็ดหูหนูเน่าฆ่าตะขาบเหล็กได้ เกรงว่าแม้แต่ตัวอ่อนของตะขาบเหล็กนางก็คงหาไม่พบ อีกอย่างหนึ่งโยนเปลือกเหล่านี้ในใส่ในกระเป๋าเก็บของ สามารถเก็บรักษาระดับความสดไว้ได้เป็นเวลานาน ไม่กลัวจะถูกมองออกว่าเป็นของที่เพิ่งลอกเอามาเมื่อไม่กี่วันนี้

สภาพการณ์เช่นนี้พบเห็นได้บ่อยๆ มีผู้บำเพ็ญเซียนมากมายเก็บวัตถุดิบที่ล่าได้ทั้งหมดไว้ พอมีเวลาก็นำออกมาขายในคราวเดียว เจ้าของร้านไม่เอ่ยถามมากความอีก เปลี่ยนไปคิดถึงหัวตะขาบเหล็ก “สหายเซียนน้อย หัวตะขาบเหล็ก เจ้าตัดกลับมาหรือไม่? หัวละยี่สิบห้าศิลาวิญญาณ”

ก่อนหน้านี้จินเฟยเหยาเคยคำนวณแล้ว เปลือกหกร้อยกว่าชิ้น มียี่สิบแปดหัวก็พอ ในมือของนางยังมีเปลือกเก้าร้อยกว่าชิ้นและหัวสามสิบสี่หัว ทว่านางไม่คิดจะขายทั้งหมดให้ร้านนี้ ถือว่าเป็นของที่เก็บมาสองปี หากปริมาณมากเกินไปจะทำให้คนสงสัย

“มี มีหลายหัวถูกต่อยตีจนพังใช้การไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้มีเพียงยี่สิบแปดหัว” จินเฟยเหยาหยิบกระเป๋าเก็บของอีกใบออกมา กลับไม่ได้ยื่นส่งให้เจ้าของร้าน

นางมีกระเป๋าเก็บของเพียงสองใบ เป็นไปไม่ได้ที่จะใส่ของทั้งหมดแยกกัน ได้แต่รอให้เจ้าของร้านคืนกระเป๋าใบหนึ่งให้ตนเอง อีกทั้งแค่ยี่สิบแปดหัว นางโยนลงบนพื้นตรงๆ อย่างไรเสียก็ใช้พื้นที่ไม่มากนัก

เปลือกบวกกับหัว ทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยสี่สิบเจ็ดศิลาวิญญาณชั้นล่าง เจ้าของร้านใส่หัวของตะขาบเหล็กไว้ในกระเป๋าเก็บของที่บรรจุเปลือก นำกระเป๋าเก็บของออกมาใหม่อันหนึ่งใส่ศิลาวิญญาณมอบคืนให้แก่จินเฟยเหยา

ร้านเหล่านี้ล้วนเตรียมกระเป๋าเก็บของที่มีพื้นที่ว่างมากมายไว้ เพื่อใช้บรรจุศิลาวิญญาณปริมาณมาก ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนกับกระเป๋าเก็บของที่บรรจุสินค้าของอีกฝ่าย ข้อแรกคือสะดวก ข้อสองก็เพราะมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากไม่ยินยอมให้ผู้อื่นเห็น ว่าตนเองหาศิลาวิญญาณได้มากเพียงใด มีเงินทองไม่อาจเปิดเผย[2]เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้

บรรจุเงินก้อนใหญ่เช่นนี้ จินเฟยเหยาเดินออกจากร้านอาวุธมงคล เดินอ้อมบนถนนอยู่นาน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนสะกดรอยตามตนเอง นางจึงหาร้านวัตถุดิบที่ดูแล้วมีขนาดใหญ่สองร้าน แบ่งขายหัวและเปลือกตะขาบเหล็กสองครั้งจนหมด จากนั้นนางก็วิ่งเข้าร้านยาอย่างร่าเริง สองพันห้าร้อยหกสิบสามศิลาวิญญาณ เพียงพอให้นางซื้อยาพลังปราณหนึ่งร้อยเม็ดให้พลังบำเพ็ญเพียรรุดหน้าถึงขั้นฝึกปราณชั้นกลาง

นางอยากฝึกเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญมานานแล้ว ขั้นฝึกปราณช่วงต้นนางเรียนได้แค่กระบวนท่าหัตถ์ไฟนรก รอจนพลังการบำเพ็ญเพียรถึงขั้นฝึกปราณช่วงกลางก็มีเวทมนตร์ให้นางเรียนสองอย่าง ดังนั้นแม้ตอนนี้ซื้อเคล็ดพลังวิเศษได้นางก็ขี้เกียจฝึก

นางยังไม่ลืมซื้อยางดอาหารเล็กน้อย ต้องปิดด่านฝึกปรือไม่รับประทานอาหารจะดีกว่า

การปิดด่านของจินเฟยเหยาครั้งนี้ใช้เวลาครึ่งปีกว่า ร้านเลิศรสไม่ได้รับการแจ้งจากนาง ดังนั้นยังไม่ได้คืนค่าอาหารที่เหลือ และเพราะไม่มีคนกวาดทำความสะอาด จึงมีฝุ่นธุลีและใบไม้แห้งร่วงกองสุมในลานบ้านเล็กๆ ต้องรอให้นางออกจากการกักตนก่อนจึงกวาดทำความสะอาดได้

ยอดเขาตู๋เซียน ด้านหลังภูเขาสำนักอวิ๋นซาน

“ศิษย์น้องสยง เห็นแก่ที่เป็นศิษย์ร่วมสำนัก เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ อาจารย์อาให้ข้าไป ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย อีกอย่างหนึ่ง ข้ายังไม่ได้ออกเดินทางมิใช่หรือ” ศิษย์สายในของสำนักอวิ๋นซานผู้หนึ่ง บาดเจ็บไปทั้งตัว อาวุธเวทแตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น กำลังร่ำไห้คร่ำครวญขอความเมตตาสยงเทียนคุนที่อยู่ไกลๆ

สยงเทียนคุนมองศิษย์พี่ที่คุกเข่าขอความเมตตาเบื้องหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับเขาเป็นสิ่งที่ตายไปนานแล้ว “เจ้าเป็นคนที่สี่ กล้าเชื่อฟังคำสั่งของแม่ข้าไปเมืองลั่วเซียน เช่นนั้นก็ตายตามศิษย์พี่สามคนก่อนหน้านี้เถอะ”

“สยงเทียนคุน เจ้าแอบลอบฆ่าศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักอย่างลับๆ นึกว่าไม่มีผู้ใดรู้มาตลอดหรือ?” เห็นดวงตาทั้งสองของสยงเทียนคุนไม่มีความรู้สึกสงสารสักนิด เขาได้แต่ฝากความหวังไว้กับแรงกดดันของสำนัก ทว่าสยงเทียนคุนกลับไม่ขยับเขยื้อน ริมฝีปากสีแดงแย้มน้อยๆ เอ่ยตอบเบาๆ “ผู้ที่ไม่ทำตามความประสงค์ของข้า ตาย”

เอ่ยจบ กระบี่บินสีเหลืองในมือก็กระพริบวาบ แสงกระบี่ปลิวว่อน เบื้องหน้าร่างมีภาพมายาปราณกระบี่ขนาดใหญ่หนึ่งจั้งรูปดอกจวี๋ฮวา[3]ปรากฏขึ้น กระบี่บินตวัดเบาๆ หนึ่งครั้ง ภาพมายารูปดอกเบญจมาศก็ปลิวไปในพริบตา เกิดเสียงร้องอนาถในภูเขาทำให้นกจำนวนมากแตกตื่น

ไม่นานนัก เงาร่างหนึ่งก็แหวกผ่านท้องนภากว้างเหินร่างจากไป เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายที่ใช้เวทเหยียบอากาศชั่วคราว


[1] กาลเวลาไม่เคยทำให้คนที่ตั้งใจผิดหวัง คือ ขอเพียงตั้งใจทำก็จะประสบความสำเร็จ

[2] มีเงินทองไม่อาจเปิดเผย คือ มีเงินทองอย่าให้คนอื่นรู้ เพื่อป้องการโจรขโมย

[3] ดอกจวี๋ฮวา คือ ดอกเบญจมาศ