อาจเป็นเพราะคำพูดของอวิ๋นเจี่ยวกระตุ้นความโกรธของผีสาว ท่าทางที่กำลังพยายามปีนต้นไม้ อยากจะปรากฎตัวด้วยท่าทีที่น่ากลัวที่สุดเมื่อครู่เลยชะงักไป ก่อนที่จะปรากฎตัวขึ้นมาอย่างไม่สนใจว่าต้องซ่อนตัว ดึงขาที่ติดออกมา ก่อนที่ร่างกายจะเปลี่ยนไป 

 

 

เดิมที่มีเพียงใบหน้าที่ซีดขาว ลำตัวก็ค่อยๆ เน่าเละจนเผยให้เห็นเนื้อด้านในที่เต็มไปด้วยเลือดและกระดูกสีขาว ชุดขาวบนตัวราวกับถูกย้อมด้วยหมึกนั้นกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว หน้าท้องที่แบนเรียบฉีกออกตั้งแต่ข้างบนลงข้างล่าง เครื่องในทั้งหลายหลั่งไหลออกมาแขวนอยู่บนต้นไม้ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก 

 

 

“ผี…ผีผี…ผี!” ตาแก่อึ้ง ก่อนที่ขาจะเริ่มสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เอื้อมมือไปควักยันต์ในกระเป๋ากางเกงออกมาด้วยความเคยชิน แต่ลืมไปว่าวันนี้ออกมาซื้อเสบียงเลยไม่ได้พกมาด้วย ควักไปครึ่งวันก็ควักไม่ได้ เป็นอะไรของเขาเนี่ย ออกจากอารามทีไรเจอผีทุกที ยังเป็นผีสาวทุกครั้ง จะว่าไปผีสาวนี้ทำไมถึงคุ้นๆ 

 

 

“แม่ซู่เหนียง!” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกมา ผีสาวตนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผีสาวที่ตามรังควานตระกูลหลี่ในตอนนั้น ไม่คิดว่านางจะฟื้นพลังได้รวดเร็วเช่นนี้ 

 

 

อาจเป็นเพราะไป๋อวี้ที่ตัวสั่นเทาทำให้ผีสาวอารมณ์ดี นางแสยะยิ้มด้วยปากที่เน่าจนเหลือครึ่งซีก “ข้าเคยพูดว่าข้าจะกลับมาแก้แค้นพวกเจ้า” 

 

 

“เจ้าไม่ไปผุดไปเกิด มัวแต่…มัวแต่รังควานพวกข้าทำไมกัน” ตาแก่จะยืนไม่อยู่แล้ว พลางสั่นพลางถาม 

 

 

“หุบปาก!” ผีสาวนั้นจ้องเขม็งไปยังตาแก่ ก่อนที่สีหน้าจะยิ่งน่ากลัว เอ่ยด้วยความโกรธว่า “หากไม่ใช่พวกเจ้า ข้าจัดการสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นสำเร็จไปนานแล้ว ในเมื่อพวกเจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ก็ต้องเตรียมใจไว้แล้วว่าจะหาเรื่องใส่ตัว ตายเสียเถอะ!” 

 

 

พูดจบก็ยกมือ มือของนางที่มีหมอกสีดำล้อมรอบอยู่กลับมีเล็บคมราวมีดยาวสิบกว่าเซนติเมตรยาวออกมา พุ่งมาหาพวกเขาสองคนโดยตรง 

 

 

ตาย ตาย ตาย… 

 

 

“หนีเร็ว!” ตาแก่รนราน ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน ลากแขนอวิ๋นเจี่ยวคิดจะหันหลังวิ่งกลับไปอาราม แต่กลับพบว่าอวิ๋นเจี่ยวไม่ขยับตัวสักนิด “เจ้าหนู! นิ่งทำไมกัน รีบหนีสิ!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” แม่เอ้ย ข้าก็อยากจะหนีนะ แต่ว่าขามันอ่อนวิ่งไม่ไหวนะสิ! 

 

 

จากการคาดคะเนด้วยสายตาแล้ว วัดจากความเร็วที่ผีสาวลอยลงมาจากต้นไม้กับความเร็วสูงสุดในการวิ่งของพวกเขาสองคน วิ่งไปได้แค่สี่ร้อยเมตรก็ถูกตามทันเป็นแน่ อีกทั้งตอนนี้พวกเขาห่างจากอารามอย่างน้อยหนึ่งพันเมตร ถึงแม้สารอะดรีนาลีนจะหลั่งออกมามากตอนตกใจทำให้พวกเขาวิ่งเร็วได้กว่าปกติ กว่าจะถึงอารามก็ถูกตามทันอยู่ดี ในหัวของอวิ๋นเจี่ยวเต็มไปด้วยสูตรคำนวณมากมาย สุดท้ายนางสรุปได้ว่าพวกเขาก็วิ่งหนีไม่ทัน ตายแน่! 

 

 

ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี ในใจอวิ๋นเจี่ยวเต็มไปด้วยความร้อนรน แต่สีหน้ายังคงนิ่งขรึม แม้แต่ตายังไม่กระพริบ เห็นเล็บที่แหลมคมของผีสาวกำลังจะทิ่มเข้าที่ตัวของพวกนาง ทันใดนั้นอวิ๋นเจี่ยวก็หันไปมองผีสาวที่กำลังพุ่งเข้ามาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

“เจ้าแน่ใจว่าจะหาที่ตาย?” น้ำเสียงราบเรียบและเฉยเมย ราวกับมีทางชนะเป็นแน่ 

 

 

ผีสาวตะลึงพร้อมชะงักลงทันที หยุดอยู่ห่างจากทั้งสองคนเป็นระยะทางห้าก้าว มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยความสงสัย กวาดตามองตั้งแต่บนลงล่างหรือว่าสองคนนี้มีไพ่ลับอะไร ก่อนจะเอ่ยถามเป็นการลองเชิง “ฮึ! เจ้าไม่ต้องทำเป็นขู่ข้า วันนี้พวกเจ้าต้องตายอยู่ที่นี่!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังใบหน้าอันน่ากลัวของอีกฝ่าย สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “แม่ซู่เหนียง วันนั้นข้าดูออกว่าแม่ลูกสามคนนั้นมีบาปกรรมอันใหญ่หลวง ข้าเห็นว่าเจ้าตายอย่างทรมาน อีกทั้งพวกเขายังติดหนี้เจ้าหลายชีวิต ข้าถึงได้ปล่อยเจ้าไป ให้เจ้ามีโอกาสไปเกิดใหม่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะดื้อดึงเช่นนี้” 

 

 

ผีสาวสีหน้าเปลี่ยนไปราวกับนึกอะไรขึ้นได้ หมอกดำบนใบหน้ายิ่งขุ่นมัวมากขึ้น จากนั้นดวงตาที่เหลือแต่หลุมสีดำนั้นก็มีเลือดไหลออกมาเป็นทาง “พวกมันสมควรตาย! พวกมันล้วนสมควรตาย! ลูกข้า…ลูกที่น่าสงสารของข้า เพิ่งเกิดมาในโลกนี้ แต่เพราะว่าเป็นผู้หญิง พวกมันจิตใจเหี้ยมจนฆ่าพวกเขาได้ลงคอ ดังนั้น…ข้าก็อยากให้พวกมันได้ลิ้มลองรสชาติของการถูกฆ่าตาย” นางยิ่งพูดเสียงยิ่งแหลมขึ้น ในน้ำเสียงยังเจือปนด้วยความตื่นเต้นของการได้ล้างแค้น “พวกมันฆ่าลูกข้าสามคน ข้าให้พวกมันสามคนชดใช้ด้วยชีวิต ยุติธรรมดี! ข้าผิดอะไร พวกเจ้ามีสิทธิอะไรมาห้ามข้า!” 

 

 

“ลูกสามคน!” ตาแก่สูดหายใจอย่างตะลึง ก่อนจะนึกถึงคำพูดของอวิ๋นเจี่ยวตอนกลับจากการทำพิธีได้ ตอนนี้ถึงจะเข้าใจ มองไปยังผีสาวด้วยสายตาสงสาร แต่ก็ต้องรีบก้มหน้าเมื่อเห็นหน้าตาน่ากลัวของอีกฝ่าย อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขัด “พวก…พวกเขาฆ่าเจ้า ก็เป็นการทำบาปกรรมไว้มากแล้ว เมื่อตายไป…เมื่อตายไปก็ต้องไปชดใช้กรรมในนรกอยู่ดี” 

 

 

“อย่าพูดถึงนรกอะไรกับข้า!” ผีสาวยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้น “บนโลกนี้ยังไม่มีความยุติธรรมกับข้า จะรู้ได้อย่างไรว่านรกจะมี สิ่งที่พวกเขาติดหนี้ข้า ข้าจะทวงกลับมาด้วยมือของข้าเอง” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวพูดทีละคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตอนนี้เจ้าก็แก้แค้นสำเร็จแล้ว เจ้าได้ฆ่าพวกเขาด้วยมือตัวเอง ยังไม่พออีกเหรอ” 

 

 

“อะไรนะ” ตาแก่อึ้ง แม่ลูกตระกูลหลี่ตายแล้ว?! 

 

 

ผีสาวหัวเราะอย่างได้ใจราวกับนึกถึงเรื่องน่ายินดีบางอย่าง “ใช่ ข้าฆ่าพวกมันแล้ว ทำให้พวกมันได้ลิ้มลองถึงความเจ็บปวดของลูกข้า ข้าแก้แค้นแทนพวกนางแล้ว” 

 

 

ไป๋อวี้สูดลมหายใจเข้า ก่อนจะมองผีสาวอย่างพินิจ รอบกายของนางเต็มไปด้วยพลังงานหยิน เขายังมองเห็นพลังของเลือด นั่นเป็นสัญลักษณ์ของผีที่ฆ่าคน นางได้กลายเป็นผีร้ายที่ทำร้ายคนอย่างถาวร พลังเลือดนี้จะค่อยๆ กลืนกินสติของนาง ทำให้นางกลายเป็นผีร้ายที่รู้จักเพียงการฆ่า 

 

 

ผีสาวยิ่งหัวเราะเสียงดัง บ้างแหลมปรี๊ดบ้างทุ้มต่ำบ้าง บางทีกำลังหัวเราะบางทีกำลังร้องไห้ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังทั้งสองคนที่อยู่ด้านหน้า ภายในใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “แล้วก็พวกเจ้า…คนที่ขวางข้าสมควรตาย!” 

 

 

พูดจบ พลังผีรอบตัวก็ยิ่งมากขึ้น นางตั้งท่าทีว่าจะพุ่งเข้ามา 

 

 

“ฮึ! เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำให้เจ้าสลายไป ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวหัวเราะเสียงเย็น ยืนมองผีสาวที่อยู่ตรงข้ามอย่างไม่หลบหลีกไปไหน 

 

 

ผีสาวชะงักท่าทีของตัวเอง พลันนึกไปถึงยันต์ม่วงใบนั้น ความรู้สึกว่าจะถูกแผดเผาไปถึงจิตวิญญาณนั้นช่างรุนแรง ราวกับยังคงติดอยู่บนตัวของนาง ยันต์ใบนั้นทำให้นางต้องพักฟื้นเป็นเวลากว่าหลายเดือน ทันใดนั้นนางก็เริ่มลังเลขึ้นมา 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวกับมองไม่เห็นความกลัวของนาง สายตาเย็นชา ก่อนจะควักอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า คีบไว้ระหว่างสองนิ้ว พร้อมเอ่ยอย่างช้าๆ “หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะตามใจเจ้า!” 

 

 

“อ๊าก!” ผีสาวเกรงกลัว ใบหน้าซีดเผือก ทันใดนั้นก็กลายเป็นหมอกสีดำหนีออกไป “พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” 

 

 

พูดจบก็หายไปในทันตา