ตอนที่ 19 หนีกลับอาราม

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

เมื่อผีสาวหนีไป ความเย็นบริเวณรอบข้างก็ลดลงไป ทำให้เส้นทางเล็กที่ดูมืดมัวก็ค่อยสว่างขึ้นมาทีละน้อย 

 

 

“ไปแล้ว?” ไป๋อวี้โผล่หัวออกมาจากด้านหลังของอวิ๋นเจี่ยว มองไปยังรอบข้าง เมื่อไม่เห็นเงาของผีสาวก็โล่งใจ มองไปยังคนที่อยู่ด้านหน้า “เจ้าหนู เจ้ามียันต์ม่วงก็บอกแต่แรกสิ! เมื่อกี้ข้าตกใจหมด” เขาคิดว่าตัวเองคงต้องทิ้งชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไว้ที่นี่แล้วเสียอีก “จริงสิ ยันต์นี้อาจารย์ปู่ให้เจ้ามาเหรอ” 

 

 

“…” อวิ๋นเจี่ยวไม่ตอบ แต่หายใจเข้าลึกๆ 

 

 

ชายแก่ก็ไม่ได้ใส่ใจ มองไปยังทางที่ผีสาวหนีไป ก่อนจะพูดขึ้น “พวกเราจะตามไปไหม ผีสาวนั้นฆ่าคนไปแล้ว ต่อไปคงจะทำร้ายคนอีกเป็นแน่ หรือไม่…เอ๊ะ! เจ้าหนู เจ้าจะไปไหน” 

 

 

เขายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นอวิ๋นเจี่ยวหันหลังเดินกลับไปตามทางที่มาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าจริงจัง 

 

 

“เจ้าหนู เจ้าจะไปไหนกัน” ชายแก่เดินตามนาง ก่อนจะพบว่านางยิ่งเดินยิ่งเร็ว ยิ่งเดินยิ่งเร็ว จนแทบจะวิ่งขึ้นมา “เจ้าเป็นอะไรไป ทางไปตลาดคือทางนั้นนะ! เจ้าหนู…เจ้าหนู!” 

 

 

“หุบปาก!” อวิ๋นเจี่ยวตอบเขาในที่สุด “รีบกลับอาราม!” ไม่ไปตอนนี้จะไปตอนไหน วิ่งสิ! 

 

 

“อ๊ะ! ฮะ?” ชายแก่งง “ทำไมละ พวกเรามียันต์ม่วงไม่ใช่หรือ” กลัวอะไร 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวยัดยันต์ม่วงที่ว่าใส่มือของเขา เมื่อกี้บริเวณรอบข้างค่อนข้างมืดทำให้เขามองเห็นไม่ชัด ตอนนี้มาดู เห็นเพียงแต่แผ่นสีม่วงบางๆวางอยู่บนฝ่ามือ อีกทั้งยังไม่ได้ม่วงทั้งแผ่น แต่กลับแซมไปด้วยสีเขียวนิดหน่อย แล้วก็ไม่ได้เป็นแผ่นสีเหลี่ยมแบบยันต์ทั่วไป แต่เป็นแบบวงรี ด้านบนยังมีลายเส้นชัดเจน เหมือน…ใบงา! ใช่ มันคือเครื่องปรุงที่เจ้าหนูเอามาทำกับข้าวเป็นประจำ 

 

 

ผีสาว…หนีไปเพราะกลัวใบงา? 

 

 

(๑ŐдŐ)b 

 

 

ไป๋อวี้นิ่งไปสักพัก ก่อนจะเข้าใจขึ้นมาทันที ทันใดนั้นรู้สึกมีลมเย็นวูบขึ้นมาตั้งแต่หัวจรดเท้า ใจที่เพิ่งจะรู้สึกโล่งกลับกังวลขึ้นมาอีก เขาตัวสั่นก่อนจะรีบวิ่งตามไป 

 

 

“เจ้าหนู รอข้าด้วย!!” 

 

 

หนีไปด้วยกันสิ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวรู้ว่าวิธีนี้หลอกผีสาวได้ไม่นาน อีกประเดี๋ยวนางคงจะรู้ตัวว่าถูกหลอกและตามมาเป็นแน่ อีกทั้งยังคงจะดุร้ายกว่าเดิม แต่อย่างน้อยวิธีนี้ทำให้นางกับไป๋อวี้มีเวลาหนีมากขึ้น 

 

 

และความจริงก็เป็นอย่างนั้น ตอนที่พวกเขากำลังวิ่งกลับอาราม ผีสาวตนนั้นก็ไล่ตามหลังมา 

 

 

“พวกเจ้าหลอกข้า!” เห็นได้ชัดว่าผีสาวโกรธเป็นอย่างมาก การโจมตีพุ่งพรวดขึ้น คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เล็บ แต่เส้นผมของนางกลับกลายเป็นเข็มนับหมื่นเล่มพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาสองคน 

 

 

ดีที่พวกเขาห่างจากอารามเพียงไม่ถึงร้อยเมตร บวกกับตอนออกไปลืมปิดประตู ทำให้พวกเขาวิ่งพุ่งเข้าไปในอารามได้อย่างรวดเร็ว 

 

 

“เร็วๆๆ รีบปิดประตู!” ไป๋อวี้พยุงประตูด้านหนึ่งพร้อมตะโกนเสียงดัง อวิ๋นเจี่ยวรีบวิ่งไปยังประตูอีกด้านพร้อมออกแรงผลัก 

 

 

น่าเสียดายที่ผีสาวเร็วกว่า นางสะบัดมือหนึ่งทีผมนั้นก็ยาวไปตามลม พุ่งพรวดมาทางหน้าประตูราวกับธนูหลายหมื่นคัน เห็นทีว่าผมพวกนั้นจะบุกเข้ามาในอาราม 

 

 

ทันใดนั้นมีแสงสีทองสว่างขึ้น ประตูที่เก่าจนผุพัง แม้แต่สียังมองไม่เห็นนั้นกลับปรากฎรูปร่างของยันต์สีทองทั้งสองฝั่ง แสงนั้นพุ่งไปยังผีสาวโดยตรง เส้นผมที่ยาวขึ้นอย่างบ้าคลั่งนั้นถูกแสงสีทองทำลายจนหมดสิ้น 

 

 

“อ๊าก!” ผีสาวร้องออกมาอย่างทรมานในทันที ร่างทั้งร่างถูกกระแทกออกไปราวสิบกว่าเมตร และล้มลงไปอยู่กับพื้น หมอกดำที่ปกคลุมอยู่บริเวณรอบตัวนางก็ดูจางลงไป ราวกับถูกทำร้าย 

 

 

โอ้ว เจ๋งขนาดนี้? 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวตะลึงไปสักพัก มองไปยังประตูที่ยังไม่ทันปิด “ประตูมีประโยชน์แบบนี้นี่เอง?” 

 

 

“ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ไป๋อวี้หน้าตางงงวย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าประตูใหญ่ของอารามมียันต์ขับไล่ปีศาจ ที่สำคัญคือหลายสิบปีมานี้ ไม่เคยมีปีศาจตัวไหนกล้าลองเข้ามาใกล้ 

 

 

ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็โล่งอกเป็นการใหญ่ อย่างน้อยตอนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยแล้ว 

 

 

ผีสาวที่กระเด็นออกไปลุกขึ้น มองไปยังประตูด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหันไปมองคนที่กล้าเพียงยื่นหัวออกจากประตูมาสองคน ความอาฆาตในสายตานั้นไม่ลดลงแม้แต่น้อย แต่กลับไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้สักก้าวเดียว อีกทั้งยังถอยออกไปไกลกว่าเดิมอีก 

 

 

ผีสาวจ้องทั้งสองคนสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หัวเราะด้วยความเย็นยะเยือกขึ้นมา “พวกเจ้าคิดว่าหลบอยู่ข้างในแล้วจะรอดเหรอ” นางเอ่ยก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ อีกทั้งสีหน้าที่โกรธจนอยากจะกินพวกเขาก็จางหายไป ราวกับเป็นผู้มีชัยชนะอยู่ในมือ “ประตูสามารถกันข้าได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกันผีร้อยตัวโจมตีพร้อมกันได้หรือเปล่า” 

 

 

หมายความว่าอะไร 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวตะลึง มีความรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา 

 

 

เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายกลับยิ่งดังขึ้น ร่างกายของนางกลายเป็นควันดำไปทีละน้อย “สองวันให้หลัง ข้าจะกลับมาเอาชีวิตพวกเจ้าเป็นแน่” พูดจบก็หายไปทันที เพียงแต่เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกนั้นยังคงดังก้องอยู่ภายในผืนป่า 

 

 

“ปลอดภัยแล้ว!” ไป๋อวี้ถอนหายใจยาว นั่งลงไปกับพื้นทันที อารามปลอดภัยที่สุดจริงๆ วันหลังเขาไม่อยากออกไปข้างนอกแล้ว 

 

 

สายตาของอวิ๋นเจี่ยวกลับกังวล นึกย้อนไปถึงสีหน้าของผีสาวเมื่อกี้ อดไม่ได้ที่จะถาม “เมื่อกี้ที่ผีสาวบอกว่าผีนับร้อยโจมตีพร้อมกันหมายความว่าอะไร นางหาตัวช่วย?” 

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ไป๋อวี้ส่ายหัว ไม่ได้ใส่ใจคำขู่ของผีสาว “ผีร้ายถึงแม้จะดุ แต่ก็ไม่อาจห่างจากที่ฝังร่างของตัวเองได้ไกลกว่าร้อยลี้ มีเพียงคนที่มีความอาฆาตแค้นมากก่อนตายเท่านั้นถึงจะกลายเป็นผีร้าย ในบริเวณร้อยลี้นี้จะมีคนที่อาฆาตแค้นก่อนตายเยอะขนาดนั้นที่ไหน” เขาขมวดคิ้วเหมือนนึกอะไรได้ “แม่ลูกตระกูลหลี่ไม่ฟังคำเตือนของพวกเรา ไม่ยอมย้ายบ้านถึงได้ถูกผีสาวฆ่าตาย” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว นิสัยของแม่ลูกตระกูลหลี่นั้น นางพอจะเดาได้บ้าง เห็นแก่ตัวและโหดเหี้ยม อีกทั้งคนด้านล่างภูเขา ปกติก็อาศัยภูเขาในการทำมาหากินอยู่แล้ว คนที่สามารถควักเงินออกมาได้สี่สิบตำลึงก็คงจะมีฐานะที่ดีไม่น้อย นางได้ตักเตือนพวกเขาแล้ว แต่พวกเขากลับเสียดายพืชผลของตนเอง ไม่ยอมย้ายออกไปสักที สุดท้ายก็ถูกแม่ซูเหนียงฆ่าตาย 

 

 

ทำให้แม่ซู่เหนียงไม่เพียงแต่กลายเป็นผีร้าย แต่กลับยังต้องเปื้อนเลือด ตำราพวกนั้นบอกไว้ว่าหากผีสาวเปื้อนเลือดเมื่อใดจะถูกกลืนกินด้วยพลังเลือดนั้น และจะกลายเป็นเพียงเครื่องมือในการฆ่าคน สุดท้ายวิญญาณก็ต้องสลายไป นางกลับตัวไม่ทันแล้ว 

 

 

“วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก!” ไป๋อวี้ตบประตูพร้อมเอ่ย “ผีสาวนั้นคงแค่ขู่ไปเท่านั้น ประตูนี้มียันต์ประทับอยู่ นางเข้ามาไม่ได้แน่” อีกอย่าง อาจารย์ปู่ยังอยู่ในเจดีย์ อย่างมากก็ขอให้ท่านช่วย 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวกลับไม่คิดในแง่บวกอย่างนั้น ก้มหน้าคิด “ท่านคุ้นเคยพื้นที่ที่ตระกูลหลี่อยู่หรือไม่” 

 

 

“พอรู้นะ เคยไปหลายครั้ง” เขาพยักหน้า ถามทำไม 

 

 

“งั้น…” นางชี้ไปยังทิศขวาของด้านนอกประตู “ทางเหนือคือที่ไหน” 

 

 

“ทางเหนือคือ…” ชายแก่กำลังจะอ้าปากตอบ แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ ตาเบิกโต หน้าซีดเผือดอย่างกะทันหัน “เฮ้ย!” 

 

 

เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร! 

 

 

หันหลังวิ่งเข้าไปในอาราม “อาจารย์ปู่ ช่วยด้วย!!!” 

 

 

(゚Д゚≡゚Д゚)