ตอนที่ 20 เจ้าขอทานน่าเกลียดนี่มาจากไหน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 20 เจ้าขอทานน่าเกลียดนี่มาจากไหน

วันนี้ฟ้ายังไม่สว่าง แต่เจียงป่าวชิงกลับตื่นขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวาแล้ว นางมองท้องฟ้าที่มืดสลัวเล็กน้อย และเดาว่าน่าจะเป็นเวลาหกโมงเช้า นี่ถือว่ายังเช้าไปหน่อย

แต่อย่างไรเสีย เจียงป่าวชิงไม่ได้มีนิสัยนอนติดเตียง นางรีบไปด้านนอกเพื่อไปเก็บฟืนกลับมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มต้มโจ๊กข้าวกล้องในห้องครัว

นางหั่นหัวหอมป่าและผักป่าที่ขุดมาจากข้างนอกเป็นชิ้นเล็ก ๆ  ตอนที่โจ๊กข้าวกล้องใกล้จะออกจากหม้อ นางก็ใส่หัวหอมป่ากับผักป่าสีเขียวลงไปในโจ๊กข้าวกล้อง  กลิ่นหอมของหัวหอมป่ากับผักป่าโชยเข้าจมูก ด้วยกลิ่นหอม ๆ กับไอความร้อนจากอาหาร ทำให้จิตวิญญาณของผู้ที่ได้สูดดมสดชื่นขึ้นมาทันที

เจียงป่าวชิงสูดดมอย่างสุขใจพลางหยิบช้อนคนในหม้อเล็กน้อย นี่ถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมื้อหนึ่งเลยก็ว่าได้

เจียงป่าวชิงแบ่งโจ๊กข้าวกล้องเป็นสามส่วนอย่างระมัดระวัง หลังจากที่นางกินเสร็จแล้วส่วนหนึ่ง นางก็จะนำอีกสองส่วนใส่ถ้วยที่ชำรุด และนำไปซ่อนไว้ในตู้ที่อยู่ในห้องเพื่อเก็บไว้กินตอนเที่ยงกับตอนเย็น

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ท้องฟ้าด้านนอกก็ยังคงเป็นสีเทาอยู่เล็กน้อย เจียงป่าวชิงเขี่ยตะกร้าไม้ไผ่ออกมาจากในซอกใต้เตียงอิฐ ดูเหมือนตะกร้าไม้ไผ่ใบนี้จะค่อนข้างมีอายุ ใต้ตะกร้ามีฟองน้ำรองอยู่ และมีรูที่ไม่ถือว่าใหญ่สองสามจุด รวม ๆ แล้วถือว่ายังพอใช้ได้อยู่

เจียงป่าวชิงไม่ได้รังเกียจ นางใช้ผ้าขนหนูออกแรงเช็ดตะกร้าไม้ไผ่ใบนี้ จากนั้นก็นำเข็มเย็บผ้าสองเข็มที่ถูเสร็จเมื่อคืนมาห่อด้วยผ้าขาด ๆ นำไปใส่ในกระเป๋า และถึงจะหิ้วตะกร้าไม้ไผ่ออกไปจากห้อง

——

เจียงป่าวชิงจากยุคปัจจุบันรู้สึกว่าร่างกายนี้ของเธอขาดสารอาหารเกินไป วันนั้นเธอส่องดูตัวเองในน้ำและรู้สึกเศร้าใจ

ร่างนี้เหมือนเด็กผู้หญิงวัยสิบสามปีที่ไหนกัน ? ถ้าไม่มีอายุแสดงอยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอ จะบอกว่าเจียงป่าวชิงผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของร่างนี้ เป็นเด็กวัยแปดเก้าขวบก็ยังมีคนเชื่อเลย

วัน ๆ เอาแต่กินโจ๊กข้าวกล้อง แทบจะไม่เคยได้เห็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมสำหรับเด็กผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโตเลยก็ว่าได้ หวังให้พวกกากเดนที่เดินได้ของตระกูลเจียงมาสำนึกผิดและปรับปรุงเรื่องอาหารให้นาง เห็นทีว่าคงจะเป็นไปไม่ได้

ตอนนี้ผักป่าที่ไปขุดกับเจียงหยุนชานก่อนหน้านี้ก็เหลือไม่มากแล้ว เจียงป่าวชิงจึงตัดสินใจลงมือด้วยตัวเอง เพื่อให้ตัวเองได้มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์กับเขาบ้าง

ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่กับปู่ของเธอที่ชนบทในภูเขามาตั้งแต่เล็ก นอกจากฝึกฝนวิชาฝังเข็มแล้ว เธอก็จะไปเที่ยวเล่นในป่าในเขา จะว่าไปแล้ว สภาพแวดล้อมของที่นี่ก็คล้ายกับที่นั่นพอสมควร เจียงป่าวชิงจึงค่อนข้างคุ้นชิน

ในยุคปัจจุบัน เธอถูกขังอยู่ในกรงที่เรียกว่าสิทธิและอำนาจมาหลายปี เธอฝันอยากจะพาน้องสาวของเธอกลับไปที่หมู่บ้านในภูเขาเล็ก ๆ ที่เงียบสงบนั้น

ตอนนี้… คงถือว่าฝันนั้นบังเอิญเป็นจริงแล้วสินะ

เจียงป่าวชิงครุ่นคิดถึงชีวิตที่เธอจากมาอย่างเงียบ ๆ

ตอนนี้เธอจะเข้าไปเด็ดผักป่าในหุบเขาอีกครั้ง เพื่อดูว่าจะสามารถนำกลับมาทำอาหารป่าได้หรือไม่ ถ้าได้ก็คงจะดีมากเลยทีเดียว

ถนนของหมู่บ้านที่จะเข้าไปในหุบเขานั้นไม่ค่อยสะดวกแก่การเดินทางเท่าไหร่นัก แต่เจียงป่าวชิงคิดเสียว่านี่เป็นการออกกำลังกาย ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป ถ้าหากว่าต่อไปเธอยังอยากที่จะควบคุมเข็มอยู่ เธอกลัวว่าร่างกายของตัวเองจะไม่สามารถควบคุมเข็มอย่างแม่นยำได้

ถึงอย่างไรวิชาฝังเข็มก็เป็นวิธีการปฏิบัติที่เคร่งครัดและละเอียดมาก

——

ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงจนท้องฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อยแล้ว ในที่สุดเจียงป่าวชิงก็เข้ามาในป่าสักที

ในหุบเขาช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ สรรพสิ่งเพิ่งฟื้นตัว ป่าในภูเขามีพุ่มไม้ขึ้นเป็นหย่อม ๆ อยู่ด้านข้าง และมีผักป่างอกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ผักจี่ไฉ่ ผักเบี้ยใหญ่ ผักกาดน้ำเล็ก ผักพวกนี้ล้วนงอกไปทั่วหุบเขา เจียงป่าวชิงหิ้วตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นก็ไปนั่งยอง ๆ และเริ่มเด็ดผักป่า

เป็นเพราะไม่มีคนมาที่นี่เป็นเวลานาน ดินในหุบเขานี้จึงค่อนข้างนุ่ม ง่ายต่อการขุดผักป่า เจียงป่าวชิงหาก้อนหินที่มีมุมแหลม จากนั้นก็กระดกก้นขึ้นและเริ่มขุดผักป่าอย่างตั้งใจ

เมื่อขุดผักป่าในหุบเขา สิ่งที่อันตรายและต้องระวังเป็นที่สุดก็คืองูที่มีพิษพวกนั้น

พวกมันเพิ่งตื่นจากการจำศีลและมักจะซุ่มซ่อนอยู่ท่ามกลางพงหญ้าหรือตามก้อนกรวด หากถูกงูที่มีพิษร้ายแรงพวกนั้นกัดโดยไม่ตั้งใจแล้วจัดการไม่ถูกต้อง ก็อาจจะต้องแลกด้วยชีวิตเลยก็ได้

ดังนั้นเจียงป่าวชิงจึงต้องแยกสมาธิเพื่อเฝ้าดูว่าบริเวณรอบ ๆ มีงูที่มีพิษร้ายแรงหรือเปล่า

โดยปกติแล้วถ้าไม่ได้ไปรบกวนหรือทำให้สัตว์มีพิษเหล่านี้ตื่นตระหนก พวกมันก็จะไม่เป็นฝ่ายโจมตีมนุษย์ก่อน  แม้ว่าเจียงป่าวชิงจะรู้เรื่องนี้ แต่นางก็ไม่กล้าชะล่าใจ ถึงอย่างไรงูที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล ท้องของมันคงจะหิวโหย หากมีความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็อาจจะคิดได้ว่าเราต้องการจะโจมตีมัน

ที่แย่คือที่นี่ย่อมไม่มียาอะไรที่สามารถต้านพิษงูได้ ถ้าหากใช้สมุนไพรกับการฝังเข็มก็พอจะรักษาได้อยู่ แต่ส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละบุคคลมากกว่า

สั้น ๆ คือขึ้นอยู่กับ ‘ดวง’

แต่เจียงป่าวชิงไม่เชื่อเรื่องดวง

เพราะร่างกายของเจียงป่าวชิงอ่อนแอจนเกินไป นางขุดได้ระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ยังขุดผักป่าได้เพียงครึ่งตะกร้าเท่านั้น นางก็เหนื่อยหอบเสียแล้ว ใบหน้าเล็กในเวลานี้ค่อนข้างแดงเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงเช็ดเหงื่อ  เห็นทีการออกกำลังกายคงจะรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

เจียงป่าวชิงหาก้อนหินและนั่งลงได้ไม่เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงร้องดังมากจากในป่าอย่างรำไร  หูของนางกระตุกเล็กน้อยเพื่อฟังคำพูดตื่นตระหนกที่ส่งผ่านมาทางลมในป่า

“คุณหนู คุณหนูถูกงูกัดแล้ว!”

“คุณหนูอย่าขยับนะเจ้าคะ! ข้าจะดูดพิษให้คุณหนูเอง”

เจียงป่าวชิงหลับตาลง และพยายามอดกลั้นที่จะไม่เข้าไปยุ่ง ทว่าสุดท้ายก็อดกลั้นไม่ไหว นางถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างยอมรับในชะตาชีวิตและรีบเดินไปทางที่มีเสียงดังขึ้นเมื่อสักครู่

ช่างเถอะ บางทีมันอาจจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ดวง’ จริง ๆ ก็ได้  นางหวังเพียงว่าถ้าครั้งนี้นางสามารถช่วยชีวิตคนได้อีกครั้ง คนที่นางช่วยไว้จะไม่เนรคุณและทำร้ายนางไปตลอดชีวิต

ในป่า สาวน้อยที่แต่งตัวเป็นสาวใช้ก้มหน้าเข้าไปใกล้ขาของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ใส่ชุดผ้าไหม นางกำลังดูดเลือดออกมาพ่นด้านนอก และทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

เจียงป่าวชิงเห็นมาตั้งแต่ไกล นางรู้สึกปวดหัวกับการกระทำนั้นจึงรีบตะโกนขึ้นทันที “หยุด เจ้าไม่ต้องดูดแล้ว อย่าทำอย่างนั้น!”

ไม่รู้ว่าวิธีดูดพิษงูนี้เริ่มสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ตอนไหน แต่ใครเล่าในยุคเก่าเช่นนี้ที่จะรู้ว่ามันไม่ได้ผล

ร่างกายอ่อนแอและผอมซูบของเจียงป่าวชิงเดินผ่านเถาวัลย์และวัชพืชที่เติบโตในป่า นางวิ่งไปตรงหน้าผู้เป็นเจ้านายและคนรับใช้คู่นั้นอย่างเหน็ดเหนื่อย จากนั้นก็มองสาวน้อยที่แต่งตัวเป็นคนรับใช้เล็กน้อย และพบว่าริมฝีปากของนางเริ่มเป็นสีเขียวแล้ว

เป็นแบบนั้นจริง ๆ  แม้ว่านางจะรีบพ่นเลือดออกมาทันที แต่พิษงูจะซึมเข้าไปในกระแสเลือดโดยผ่านทางเนื้อเยื้อช่องปาก และทำให้คนที่ดูดพิษงูถูกพิษของงูเล่นงานด้วยเช่นกัน

แต่สาวใช้ที่กำลังดูดพิษงูอยู่กลับไม่สนใจคำเตือนของเจียงป่าวชิงเด็กผู้หญิงผิวเหลืองที่ใส่เสื้อผ้ามอมแมมเลย นางยังคงก้มลงไปดูดพิษงูให้คุณหนูของนางตามเดิม

เจียงป่าวชิงส่งเสียงอย่างหงุดหงิดใจขณะที่ยังคงพูดเตือนขึ้นเสียงดัง “เจ้าไม่ต้องดูดแล้ว ไม่มีประโยชน์หรอก” นางพูดเตือนอย่างจริงจัง “ถ้าขืนเจ้ายังดูดต่อ พวกเจ้าจะตายกันหมด”

สาวใช้ที่กำลังดูดพิษงูตะลึงอยู่กับที่ทันที ส่วนเด็กผู้หญิงที่ใส่ชุดผ้าไหมร่างสั่นเทา นางน่าจะอายุสิบสองหรือสิบสามปีโดยประมาณ ในดวงตากลมโตคู่นั้นมีน้ำตาคลอ เห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจจริง ๆ

นางถลกกระโปรงไปด้านข้างและดึงกางเกงขึ้น เผยให้เห็นขาข้างขวาที่ได้รับบาดเจ็บ รูเขี้ยวเล็ก ๆ สองจุดนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง และเหนือขึ้นไปบนขายังมีผ้ามัดไว้แน่น แต่จุดที่มัดเริ่มเป็นสีม่วงแล้ว

เจียงป่าวชิงถอนหายใจในใจ การพันพิษงู สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการมัดอย่างแน่นหนาเช่นนี้ มันเป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของเลือด คนเรานี้ก็เหลือเกิน ไม่กลัวว่าจะมัดจนทำให้เส้นโลหิตตายหรืออย่างไร ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ทำได้เพียงตัดแขนขาเท่านั้นแหละ

เจียงป่าวชิงเอื้อมมือเพื่อจะเข้าไปคลายผ้านั้นออก แต่สาวใช้คนนั้นกลับรีบผลักเจียงป่าวชิงจนโซเซไปเสียก่อน จากนั้นนางก็พูดขึ้นอย่างโมโห “เจ้าขอทานน่าเกลียดนี่มาจากไหน ?! อย่าคิดที่จะทำร้ายคุณหนูของข้านะ!”

ทำร้าย…

ทำร้าย…

ทำร้ายบ้านเจ้าสิ!

เอวของเจียงป่าวชิงเกือบจะโงนเงนแล้ว นางได้แต่ก่นด่าในใจ  แต่จะโทษความตื่นตัวของสาวใช้คนนั้นก็ไม่ได้ เจียงป่าวชิงวิ่งออกมาจากในป่าลึกที่ไม่มีผู้คนย่างก้าวเข้าไปถึงอย่างกะทันหัน เสื้อผ้านางก็มอมแมม ซ้ำร้ายบนใบหน้าและลำคอยังมีรอยเขียวช้ำและยังบวม มันจึงขับให้แก้มที่สวยงามอีกด้านดูน่ากลัวมาก

เดิมทีเจียงป่าวชิงวางแผนที่จะไปเดินทั่วหมู่บ้านด้วยสภาพนี้ เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าหลีโผจื่อทำร้ายนางอย่างไรเมื่อวานนี้

ใครจะไปคิดว่าคนในหมู่บ้านยังไม่ทันได้ตกใจ นางกลับทำให้สาวใช้และคุณหนูคนนี้ตกใจเสียก่อน