ตอนที่ 16 ความคิดของผู้อาวุโสสวี

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เพราะกลัวว่าพี่สะใภ้จะมาเห็นเข้า หนิงฉิงจึงก้มหัวต่ำทำลับๆ ล่อๆ ราวกับหัวขโมย แล้วคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวในลานจอดรถ 

 

 

ฉินหร่านก้มหน้าดูมือถืออยู่ตอนที่ได้ยินเสียงนั้น เธอเงยหน้าเพียงเล็กน้อย สีหน้ายังราบเรียบ 

 

 

ดวงตาของเด็กสาวดำเข้ม แต่ไม่ฉายประกายเหมือนเดิม ส่วนตาขาวมีสีแดงปน ส่อแววกร้าว 

 

 

ผู้เป็นลูกตอบอย่างขอไปที “หนูมีธุระค่ะ” 

 

 

เด็กสาวในชุดนักเรียนล้วงมือหนึ่งลงในกระเป๋า เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย 

 

 

ผู้เป็นมารดาเม้มปาก พลันนึกไปถึงเรื่องที่ฉินอวี่เล่าเมื่อครั้งที่แล้ว เธอกดเสียงต่ำ แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าเฉยชา “แกมีเรื่องอีกแล้วเหรอเมื่อวาน” 

 

 

ในรถคันนั้น เฉิงเจวี้ยนรับสายโทรศัพท์อยู่ 

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้น นายน้อยเฉิงเห็นเด็กผู้หญิงท่าทางถือดียืนอยู่ข้างผู้หญิงอีกคนที่กำลังพูดกับเด็กสาว สีหน้าของผู้ใหญ่คนนั้นไม่เป็นมิตรเลย แถมยังมองหลุกหลิกไปรอบๆ ราวกับโจร 

 

 

ทั้งสองคนหันข้างให้เขา ซึ่งหน้าตาดูคุ้นทั้งคู่ 

 

 

เดิมที คุณหมอสุดหล่อกะว่าจะรอให้โรงแรมนำวัตถุดิบอาหารมาให้ แต่หลังจากเห็นเหตุการณ์ เขาครุ่นคิดอยู่แป๊บหนึ่งก่อนจะเปิดประตูลงไป หางตาคู่งามสง่าหรุบต่ำเล็กน้อย ดวงตาคู่ดั่งผลบ๊วยสุกส่อแววขุ่นเคืองพิโรธ 

 

 

ผู้ชายในโรงแรมวิ่งหอบแฮ่กมาพร้อมกับวัตถุดิบต่างๆ 

 

 

พอเห็นว่าผู้เป็นนายกำลังรออยู่ข้างนอก ชายผู้นั้นรีบเร่งฝีเท้า แล้วส่งตะกร้าที่จัดมาอย่างประณีตให้ด้วยความระวังและเคารพ “นายน้อยเจวี้ยนครับ ทำไมถึงมาด้วยตัวเอง” 

 

 

“คือ” เจ้านายหน้าหล่อเชิดคางขึ้น สายตายังจ้องอยู่ที่เด็กสาวที่มาด้วย เสียงของเขาต่ำมากและดูเย็นชา “เก็บให้ด้วย” 

 

 

สีหน้าของหนิงฉิงไม่สู้ดี 

 

 

“ฉินหร่าน ไปกันเถอะ” เขาพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้อีกสองคนได้ยิน 

 

 

เรียวนิ้วมือที่ทาบไว้บนประตูรถหย่อนลงมาเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาฉายแววเย็นยะเยือกท่ามกลางแสงแดด ตัดกับข้อมือสีขาวที่ยื่นออกมา 

 

 

ผู้เป็นแม่หน้าตึงไปพักหนึ่ง รูปร่างหน้าตาที่หล่อสะดุดตาแบบนั้นแทบจะหาไม่ได้ในอวิ๋นเฉิง 

 

 

ก่อนที่หนิงฉิงจะตอบโต้อะไร ผู้เป็นลูกก็เดินจากไปพร้อมมือถือเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ลูกสาวเธอและหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นเขาไปในรถ ประตูรถคันดำปิดลง จากนั้นก็ค่อยๆ ติดเครื่อง 

 

 

หญิงวัยกลางคนเพ่งดูรถ จึงเห็นว่ามันเป็นเพียงรถยนต์สีดำธรรมดายี่ห้อโฟล์กสวาเกน 

 

 

แต่ตัวเรือนรถกลับดูไม่เหมือนโฟล์ก 

 

 

คงเป็นรถโฟล์กรุ่นใหม่กระมัง 

 

 

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน 

 

 

ในที่สุด หนิงฉิงกลับมาได้สติอีกครั้งหลังจากช็อกไป เธอนึกถึงเรื่องชกต่อยของลูกคนโตเมื่อคืน แล้วขบฟัน ผู้เป็นแม่รู้สึกเหมือนลูกเจ้าปัญหาเอาแต่ทำเรื่องไร้สาระในอวิ๋นเฉิง 

 

 

เธอยังไม่ได้พูดกับฉินหร่านเกี่ยวกับเรื่องทะเลาะวิวาทเมื่อคืน รวมถึงเรื่องว่าทำไมลูกสุดรั้นถึงไม่อยู่ที่โรงเรียนวันนี้ 

 

 

ไม่ไกลออกไปนัก รถสปอร์ตสีน้ำเงินแกมม่วงกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ 

 

 

เธอจึงรีบหันกลับไปดูทันที หนิงฉิงรู้ว่ารถสปอร์ตคันนี้เป็นของพี่สะใภ้หล่อน 

 

 

แล้วจู่ๆ เธอก็เลิกคิดเรื่องลูกสาว แล้วก้าวมาหลบที่ด้านข้าง 

 

 

เพื่อไม่ให้ใครเห็น 

 

 

“มาทำอะไรที่นี่น่ะ” พี่สะใภ้ของหนิงฉิงดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ด้วยอายุวัยสามสิบกว่าๆ ผมของเธอดัดเป็นลอนพร้อมตกแต่งด้วยปิ่นหยก วันนี้พี่สะใภ้สวมใส่กี่เพ้ายาวสีขาวนวลเหมือนพระจันทร์ ซึ่งเน้นให้เห็นทรวดทรงองค์เอวอันได้สัดส่วนของเธอ คิ้วคู่นั้นประณีตเรียงเส้น และโก่งได้รูป ออร่าของเธอเปล่งประกายมีสง่าราศี 

 

 

หนิงฉิงเกิดมาสวยกว่าพี่สะใภ้ แต่หากมองผ่านๆ เธอยังขาดราศีแบบนี้อยู่ 

 

 

“ไม่มีอะไรค่ะ” ฝ่ายที่พยายามหลบซ่อนตอบด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าพี่สะไม่เห็นลูกสาว 

 

 

แต่สีหน้ายังไม่สู้ดี 

 

 

ถ้าเพียงแต่ฉินหร่านจะเป็นเหมือนฉินอวี่ แม่อย่างเธอคงไม่รอที่จะคุยโวเรื่องลูกสาวแน่ ทำไมเธอต้องซ่อนลูกสาวคนโตแบบนี้ด้วย 

 

 

พี่สะใภ้ไฮโซไม่ได้ถามอะไรมาก แต่แอบชำเลืองไปยังรถยี่ห้อโฟล์กสวาเกนที่อยู่ไม่ห่างออกไป 

 

 

คิ้วงามคู่นั้นมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ทะเบียนรถค่อนข้างคุ้นตาทีเดียว 

 

 

** 

 

 

ณ ไฟแดง 

 

 

“เธอจะต้องมาที่นี่เพื่อรับเครื่องเคียงในอนาคต” เฉิงเจวี้ยนพูดขึ้น ขณะวางและเคาะนิ้วบนพวงมาลัย “คนนั้นญาติเหรอ” 

 

 

“ค่ะ” เด็กสาวที่นั่งมาด้วยวางแขนไว้บนหน้าต่างด้วยท่าทางไร้อารมณ์ 

 

 

“ดูไม่เหมือนเลยนะ” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “รถบีเอ็มที่ญาติเธอขับราคาสูงทีเดียว ไหนจะรถพอร์ชคันงามด้านหลังอีก” 

 

 

ฉินหร่านไม่ได้พูดอะไร เธอนั่งอยู่เบาะหลัง เท้าคางเพื่อดูสเตอริโอที่อยู่ในรถ 

 

 

“รถคุณก็ดูดีเหมือนกันนี่คะ” เด็กคนสวยเอนหลัง ขาเรียวยาวของเธอหดงอเล็กน้อยขณะที่เล่นเกม ผมหน้าม้าสีดำปรกบังโหนกคิ้ว เธอพูดไปพร้อมเลิกคิ้วไป 

 

 

ไฟเขียว หมอหนุ่มสตาร์ตรถแล้วพูดอย่างสบายๆ “ดีเหรอ มันไม่แพงเท่ารถพอร์ชนั่นหรอก จะเทียบกันได้ยังไง” 

 

 

ฉินหร่าน “…” 

 

 

 

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้น เด็กสาวมองไปที่สเตอริโอยี่ห้อซิงอวี่เงียบๆ 

 

 

มันคือชื่อบริษัทดนตรี 

 

 

คุณภาพของอุปกรณ์เสียงยี่ห้อนี้เลิศสุดๆ แถมยังแพงหูฉี่ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ มีแต่คนที่มีเงินถุงเงินถังถึงจะซื้อได้ 

 

 

ลำโพงที่อยู่ในรถของหมอหนุ่มผู้นี้ไม่มีรหัสแปะไว้ แสดงว่ามันอาจเป็นสินค้าใหม่ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษ 

 

 

เธอยังไม่เคยซื้อลำโพงนี้ จึงไม่ได้รู้ราคาที่แน่ชัด แต่ในกรณีนี้ ขั้นต่ำน่าจะอยู่ที่แปดล้าน 

 

 

** 

 

 

เด็กพาร์ตไทม์คนใหม่ปกติไม่ได้ทำอาหารบ่อยนัก 

 

 

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำ เธอจะสะอาดสะอ้านมากๆ ฉินหร่านอาจฝีมือไม่เท่าพวกเชฟดังๆ แต่เธอมีรสมือที่มีเอกลักษณ์ จนทำให้ลู่จ้าวอิ่งที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเยอะ ถึงกับยิ้มออกมาขณะที่กินข้าว 

 

 

หลังจากที่กินเสร็จ แม่ครัวคนใหม่กำลังจะไปเก็บกวาดจาน 

 

 

หมอหนุ่มประจำโรงเรียนปรายตามองผู้ช่วย เขากำลังอารมณ์ดีเพราะเพิ่งทานอาหารเสร็จ จึงได้พูดขึ้นสั้นๆว่า “ไปล้างจาน” 

 

 

พ่อหนุ่มลู่ที่กำลังจิบชาอยู่ถึงกับติดสตั๊น 

 

 

“ผมเหรอ” 

 

 

ชายหน้าหล่อเลิกคิ้ว แล้วมองบน “หรือจะให้ฉันทำล่ะ” 

 

 

นี่ไม่ใช่หน้าที่ของแม่ครัวน้อยหรอกหรือ 

 

 

สุดท้ายกลายเป็นผู้ช่วยลู่ต้องลงมือล้างถ้วยชามแทน 

 

 

“กลับไปเรียนได้แล้ว” เฉิงเจวี้ยนถอนสายตากลับจากที่มองดูมือที่งามดั่งจิตรกรของคนงานคนใหม่ เขาหรี่ตาลงอย่างง่วงๆ 

 

 

ฉินหร่านไม่ได้กลับไปที่ห้องเรียน เพราะเสียงดังเกินไป 

 

 

แต่เด็กสาวไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงผงกหัว หยิบเสื้อโค้ตแล้วเดินออกจากห้องไป 

 

 

มีป้ายพักแขวนไว้ที่หน้าประตูห้องพยาบาลโรงเรียน ประตูห้องปิดไว้ เพราะแดดกำลังร้อนจ้าเหนือหัว จึงไม่มีใครมารอที่หน้าห้องพยาบาล 

 

 

ดาวโรงเรียนหยิบหมวกแก๊ปสีดำขึ้นมาสวม 

 

 

เด็กสาวคนนี้ผอมเพรียว เสื้อโค้ตที่ใส่แขวนอยู่บนเรือนร่างนั้นอย่างพลิ้วๆ เธอก้มหน้าทำให้ผมลงมาปรกด้านข้าง ใบหน้าภายใต้หมวกนั้นงามล้ำ ในขณะที่เธอกำลังเดินออกมา 

 

 

จังหวะการเดินของเธอมั่นคงแข็งแกร่ง 

 

 

วัยรุ่นอีกคนที่สวมแจ็กเกตโรงเรียนเดินมาจากอีกฝั่ง 

 

 

คิ้วของเขาได้รูปชัด ท่าทางดูเย็นชา บรรดานักเรียนหญิงที่อยู่บนถนนอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองไปทางวัยรุ่นคนนั้น จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากระซิบกระซาบกันด้วยอาการเขินแก้มแดง 

 

 

เขาคือ สวีเหยากวง เด็กหนุ่มเดินผ่านกับดาวโรงเรียนคนใหม่โดยไม่ปรายตามองเธอด้วยซ้ำ 

 

 

พวกเขาเดินสวนกัน 

 

 

เด็กสาวคนสวยกำลังเดินไปยังห้องสามทับเก้า 

 

 

ส่วนฝ่ายที่สวนไปกำลังไปห้องอาจารย์ใหญ่ 

 

 

“เข้ามาได้” อาจารย์ใหญ่สวีดันแว่นที่อยู่บนดั้งให้สูงขึ้น สายตาเขามองไปยังใบหน้าของหลานชาย สีหน้าของเด็กชายฉายแววอ่อนโยนอยู่ในที “นั่งลงสิ” 

 

 

“ครับคุณปู่” สวีเหยากวงพูดด้วยเสียงแสดงความเคารพเป็นอย่างมาก 

 

 

อาจารย์ใหญ่เป็นผู้อาวุโสในตระกูลสวี เด็กหนุ่มไม่รู้ชัดเกี่ยวกับเรื่องในบ้านของพวกเขา แต่รู้ว่าญาติๆต่างเกรงกลัวคุณปู่มาก 

 

 

ตั้งแต่เด็ก พวกนั้นก็แสดงความเคารพชายชราเป็นอย่างมากมาตลอด 

 

 

ชายชรามองไล่หลานชายตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กน้อยคนนี้เป็นเด็กเก่งตั้งแต่ยังเล็ก ครอบครัวสวีคงอยากให้เขาเป็นผู้สืบทอดกิจการในอนาคต แถมนายน้อยสวียังโดดเด่นในปักกิ่งด้วย 

 

 

ทั้งพื้นเพความเป็นมาของครอบครัว และรูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนี้ต่างสมบูรณ์แบบทั้งนั้น 

 

 

“หลานคิดยังไงกับเพื่อนร่วมห้องที่ชื่อฉินหร่าน” คุณปู่ถือถ้วยชาในมือ และคิดไตร่ตรอง 

 

 

เมื่อพูดถึงชื่อนี้ สวีเหยากวงหน้านิ่วและไม่พูดอะไร 

 

 

ผู้อาวุโสคิดอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “เด็กคนนั้นมีชีวิตที่ลำบาก เขาเคยช่วยชีวิตปู่เอาไว้ และปู่ก็ชอบเธอมากๆ พวกเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ถ้าหากว่าหลานตกลง ปู่จะขอให้ยายของเธอจัดแจงให้พวกเธอสองคนออกเดตกันดีไหม”