ตอนที่ 19 แล้วทำไมไม่วิ่งให้เร็วกว่านี้

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

“เป็นความผิดพลาดนิดหน่อยน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่อธิบายพร้อมยิ้มหวาน “พยาบาลของเราเพิ่งทำงานวันแรก เลยยังไม่เชี่ยวขั้นตอน มาๆ เย็บแผลต่อ พี่เสี่ยวอวี้ คิดเสียว่ากำลังเย็บผ้าอยู่นะ”

เสี่ยวอวี้ไม่ได้กลัวเลือด บอกตามตรงคือคนในเมืองนั้นเห็นคนตายกันจนชินตาหมดแล้ว เจอบาดแผลเล็กน้อยนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แถมเธอยังชอบงานปัจจุบันนี้มากด้วย ก็ไม่ใช่ว่าเธอนิยมชมชอบเห็นเลือดอะไรหรอก เพียงแต่ชอบที่จะเป็นคน ‘มีประโยชน์’ ก็เท่านั้น

เป็นที่รู้กันดีว่า ในสภาพแวดล้อมอันลำบากโหดร้ายแบบนี้ ทุกคนต้องมีประโยชน์ เพราะไม่นานคนไร้ประโยชน์จะต้องถูกสละทิ้งไป เป็นตรรกะง่ายๆ ไว้ตัดสินใจว่าจะให้ใครมาอยู่ด้วย

เสี่ยวอวี้ไม่มั่นใจเลยว่าถ้าเธอเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนจะทิ้งเธอไปหรือเปล่า แต่เธอรู้ว่าตัวเองจะนั่งเฉยๆ คอยสูบเลือดสูบเนื้อพวกเขาไม่ได้

พอเธอได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูดว่าให้เย็บแผลเหมือนเย็บผ้า ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้น การลงมือดูมั่นคงกว่าเดิม

แถมเริ่นเสี่ยวซู่ยังคอยกดแขนคนไข้ไว้ เธอเลยสามารถใช้ทักษะการเย็บของตัวเองออกมาได้ง่ายขึ้น

พอจะเย็บใกล้เสร็จนั้น เสี่ยวอวี้ก็พูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “เย็บแผลคนกับเย็บผ้ามีข้อแตกต่างกันอยู่บ้างนะ อย่างตอนเย็บผ้า ต้องให้ด้ายซ่อนหลบเข้าไปในผ้าให้ได้มากที่สุดจะได้ไม่เห็นด้ายปะ แต่เวลาเย็บแผล ต้องห้ามให้ด้ายอยู่ข้างใน เป็นการเย็บแบบตรงกันข้าม ซึ่งพอดูแผลแล้วน่าเกลียดมากทีเดียว”

คนไข้ทั้งสามได้ยินแล้วก็รู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข ยิ่งเสี่ยวอวี้พูด ยิ่งกระวนกระวายหนักเข้าไปใหญ่

หลังจากเสี่ยวอวี้เย็บแผลเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็หยิบขวดยากระเบื้องจิ๋วออกมา แล้วทายาลงบนแผลของคนไข้รายแรก “ยาของฉันมีค่ามากสุดๆ แต่ฉันจะไม่คิดราคานายแพงเกินไปหรอก คิดราคาหกร้อยตามคลินิกนั่นแหละ ฉันเชื่อว่าพวกนายจ่ายไหว”

ราคาแจ็กเก็ตอยู่ที่ราวๆ หกร้อยหยวน แต่ว่าเงินค่าจ้างของคนงานพวกนี้ เดือนหนึ่งก็น่าจะได้ประมาณ สองพันสองร้อยถึงสองพันแปดร้อยหยวน ถ้าเทียบกับรายได้แล้ว ราคาสินค้าถือว่าแพงทีเดียว ล้วนเป็นเพราะปัญหาด้านอุปสงค์อุปทาน เหล่าชนชั้นสูงในป้อมอยากให้เหล่าคนงานได้เงินน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปตลอดชีวิต แบบนี้พวกคนงานจะได้ตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์ให้กับบรรดาชนชั้นสูงสืบไป

แถมพวกคนงานก็ไม่อาจละทิ้งทุกอย่างและจากไปได้ เนื่องจากไม่อาจเอาตัวรอดในแดนรกร้างได้ และชนชั้นสูงก็ใช้ข้อนี้ในการหาผลประโยชน์จากผู้อพยพ

ตามมุมมองของพวกชนชั้นสูง ไม่เก็บเงินค่าคุ้มครองที่ให้พวกผู้อพยพมาอาศัยอยู่ใต้การปกป้องของป้อมปราการก็ดีโขขนาดไหนแล้ว แต่ก็นั่นแหละ พวกเขาอาจจะคิดว่าคงเก็บค่าคุ้มครองไม่ได้มากเท่าไร

ที่เมื่อก่อนเริ่นเสี่ยวซู่สามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องลงไปทำงานในเหมืองถ่านหิน เพราะว่าเพียงล่านกกระจอกได้เดือนละสามตัว ก็ได้เงินมากกว่าคนงานส่วนใหญ่แล้ว แต่ต่อให้เขาล่าไม่ได้ครบสามตัว เขาก็สามารถประหยัดสุดตัว และยังพอใช้ชีวิตต่อไปได้

เป็นสภาพการดำรงชีวิตอันแปลกประหลาด แรกเริ่มก็มีคนคิดแข็งข้ออยู่บ้าง แต่ก็ล้วนล้มเหลวกันหมด

……

เริ่นเสี่ยวซู่คาดการณ์ถูกแล้ว ชายสามคนนี้สามารถจ่ายค่ารักษาได้ หลังจากยาดำถูกทาลงบนแผลของคนไข้รายแรก ความเจ็บปวดของเขาพลันหายวับ เขาจ่ายเงินอย่างยินยอมพร้อมใจ เพราะอย่างไรราคาก็เท่ากับการไปรักษาที่คลินิกอยู่แล้ว

พอคนไข้ที่รักษาเสร็จแล้วกำลังจะออกไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “รักษาเสร็จแล้ว ไม่คิดจะพูดขอบคุณหน่อยเหรอ”

ชายผู้นั้นตัวสั่นสะท้าน รีบหันกลับมาพูด “ขอบคุณ!”

เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้าอย่างพอใจ ทว่าพอหันไปมองในพระราชวังห้วงจิตก็ต้องตกใจ ไม่ได้เหรียญคำขอบคุณเพิ่ม!

เริ่นเสี่ยวซู่คิดในใจ ความสัมพันธ์ฉันแพทย์นี่ คนไข้สมัยนี้มันตึงเครียดขนาดนั้นเชียวเหรอ ฉันอุตส่าห์รักษาแผลให้ แค่ขอบคุณแบบจริงใจยังทำไม่ได้เนี่ยนะ?!

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงจากพระราชวังแจ้งมาว่าภารกิจสำเร็จ

[ภารกิจสำเร็จ รางวัล พละกำลัง 1.0 แต้ม]

ภารกิจให้รักษาผู้ป่วยหนึ่งรายสำเร็จแล้ว ไม่คิดเลยว่าพระราชวังจะให้รางวัลเป็นพละกำลัง 1.0 แต้ม ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่อยากได้มากที่สุด เพราะอย่างไรเสียในสมัยนี้ ผู้ใดหมัดแข็งกว่า ผู้นั้นวาจาใหญ่โตกว่า

เสียงดังมาจากในพระราชวังอีกครั้ง

[ภารกิจ : รักษาผู้ป่วยสองราย]

อ๊ะ ภารกิจต่อเนื่องหรอกเหรอเนี่ย ภารกิจหนึ่งเสร็จ อีกภารกิจที่ความยากสูงกว่าก็ถูกส่งมอบมา

ไม่ใช่ว่าตรงหน้าเขามีผู้ป่วยอีกสองรายเหรอ

หลังทำภารกิจสำเร็จ เขาจะได้รับรางวัลเป็นพละกำลังอีก 1.0 แต้มหรือเปล่านะ ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาคงไม่ลงเอยด้วยการเป็นพวกกล้ามปูหรอกใช่ไหม

ความจริงแล้วแบบนี้ไม่ดีเลย การต้องได้รับพละกำลังมาแต่เสียความเร็วไปแบบนี้ ยิ่งมีขนาดกล้ามเนื้อจนเพิ่มพื้นที่แรงเสียดทานมาก ความเร็วที่คนสามารถใช้ออกก็จะน้อยลงไปด้วย

นักวิ่งที่วิ่งเร็วที่สุดต้องมีรูปร่างกล้ามเนื้อที่สมดุล ไม่ใช่เป็นมนุษย์นักเพาะกาย

ตอนนี้พละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่มากกว่าผู้ใหญ่เพศชายทั่วไปแล้ว เขาเคยลองออกไปสำรวจดู แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเลยว่ากล้ามเนื้อเขาเพิ่มขึ้นมา เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เสื้อผ้าเลยซ่อนเร้นรูปร่างเขาดีไม่น้อย

ฉับพลันทันใด คนไข้รายหนึ่งก็ใช้โอกาสที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังเหม่อลอยลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากคลินิก เสี่ยวอวี้ร้อง “คนไข้กำลังหนีไปแล้ว!”

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม แล้วพูด “ไม่เป็นไร อาการบาดเจ็บแบบนั้นคงไปไหนไม่ได้ไกลหรอก เดี๋ยวผมไปเอาตัวเขากลับมาเอง”

เสี่ยวอวี้ “…”

คนไข้อีกราย “…”

พอเริ่นเสี่ยวซู่ออกไปจับคนไข้ เสี่ยวอวี้ก็หันกลับมามองคนไข้อีกราย แล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “คุณจะหนีไปด้วยหรือเปล่า ถ้าคิดหนี ฉันจะได้เย็บแผลคุณทีหลัง”

“มะไม่…ไม่หนี” คนไข้หลับตา ทำหน้าตาขึงขัง “เอาเลย เย็บแผลฉันเลย!”

ตอนเริ่นเสี่ยวซู่แบกคนไข้กลับมารอบนี้ เขารู้สึกไม่เหนื่อยแรงเลย สามารถยกร่างคนไข้ได้ด้วยมือเดียว แต่แบบนี้กลับทำให้คนไข้เขาสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิมอีก

การรักษาต่อจากนั้นง่ายขึ้นมาก เริ่นเสี่ยวซู่ใช้มือหนึ่งกดร่างคนไข้แต่ละราย พวกเขาไม่อาจเคลื่อนไหวอะไรได้เลย

ชายทั้งสองที่โดนเริ่นเสี่ยวซู่กดลงนั้นประหลาดใจมากที่ตัวเองไม่อาจต้านแรงเริ่นเสี่ยวซู่ได้เลย ราวกับว่าพวกตนถูกปราบเสียราบคาบแก้ว

เขาต้องมีพละกำลังมากขนาดไหนกันเชียว ต่อให้ตอนนี้พวกตนบาดเจ็บอยู่ ก็ไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนี้นี่? ก่อนหน้านี้ยังพอต่อต้านได้อยู่เลย!

และที่สำคัญสุดคือ ต่อไปนี้ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่จะรักษาใคร ย่อมไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้เด็ดขาด

[ภารกิจสำเร็จ รางวัล ความว่องไว 1.0 แต้ม]

[ภารกิจ: รักษาผู้ป่วย 10 ราย]

พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงจากพระราชวังอีกครั้งก็แข็งค้างไปในทันที เขาพลันรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่เพิ่มพูนขึ้นมาก่อนหน้านี้ยุบลงไปนิดหน่อย

ความว่องไวคือการเพิ่มความหนาแน่นของใยกล้ามเนื้อ ถ้าแต้มสถานะเท่ากันกับค่าพละกำลังละก็ มันจะช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อลงได้ แบบนี้เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นพวกกล้ามปูแล้ว

ถ้าใยกล้ามเนื้อของเริ่นเสี่ยวซู่ก่อนหน้านี้แข็งเหมือนแท่งไม้ ตอนนี้ใยกล้ามเนื้อของเขาก็แข็งเท่าแท่งเหล็ก

ตอนนี้ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางแล้ว หนทางที่ถูกต้องคือการเพิ่ม ‘คุณภาพ’ ไม่ใช่สักแต่จะสร้าง ‘ปริมาณ’

แล้วก็ที่สำคัญคือ เขาสามารถรับการโจมตีมากขึ้นด้วยสินะ?

เริ่นเสี่ยวซู่มองคนไข้ที่เพิ่งหนีไปเมื่อครู่ แล้วว่า “รู้หรือยังว่ายาดำที่ฉันทาให้ดีขนาดไหน ลดอาการเจ็บทันที แถมหลังจากนี้จะไม่มีอาการอักเสบอะไรด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าจะวิ่งหนีทำไมเนี่ย”

คนไข้กระอึกกระอักอยู่พักใหญ่ “ฉันไม่มีเงินจ่าย…”

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกฟันปวดแปลบ พูดอย่างขุ่นแค้นเคืองใจ “แล้วทำไมไม่วิ่งให้เร็วกว่านี้!”