พอคนไข้ได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่บ่นว่าทำไมตนไม่ยอมวิ่งให้เร็วกว่านี้ ก็บ่นโอดครวญราวกับว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฉันก็วิ่งสุดชีวิตแล้ว นายนั่นแหละวิ่งเร็วฉิบ!”
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขาแล้วพูด “คนอื่นๆ ที่จ่ายเงินไปกันหมดแล้ว บอกมาว่านายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง พวกเราเปิดคลินิกรักษา ไม่ใช่องค์กรการกุศล!”
“งั้นนายบอกฉันแทนแล้วกันว่าจะเอายังไง” เขาน้ำตาแทบแตกแล้ว จะสู้เริ่นเสี่ยวซู่ก็สู้ไม่ได้ เงินก็ไม่มีจ่าย วันนี้เขาได้ตายแน่
“เอางี้” เริ่นเสี่ยวซู่พูดจาดีด้วย “ลองนึกดูนะ นายอาจจะเคยซ่อนเงินไว้สักที่ในบ้านก็ได้?”
“ไม่มี เดี๋ยวนี้ใครจะกล้าซ่อนเงินไว้ในบ้านกัน ขนาดภรรยาตัวเองยังเชื่อถือไม่ได้เลย” เขาแทบจะสติแตกแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มหมดน้ำทน “นายก็โตแล้ว อย่าทำตัวเหมือนกำลังถูกรังแกได้ไหม บอกมา ตอนนี้มีเงินเท่าไร”
“นี่ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว เดี๋ยวอีกห้าวันเงินก็ออก พวกเรามีเงินเก็บไม่มาก…”
“ฉันถามว่าตอนนี้นายมีเงินเท่าไร!” เริ่นเสี่ยวซู่ขึ้นเสียงใส่
“สี่ร้อยสามสิบสอง” เขาพูดเสียงสะอื้น
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อาจออกใบยืมเงินได้อย่างเด็ดขาด ในยุคสมัยนี้ ถ้าเกิดมีคนเซ็นใบยืมเงินละก็ มั่นใจได้แน่นอนว่าวันต่อมาต้องกลายเป็นศพ
เริ่นเสี่ยวซู่อยากรู้จริงเชียวว่าชายผู้นี้พกของมีค่าอย่างอื่นติดตัวหรือเปล่า
ทันใดนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดบรรเจิด พูดด้วยดวงตาทอประกาย “แบบนี้เป็นไง ฉันรู้ว่าสำหรับนายเองก็ไม่ง่ายนักหรอก งั้นฉันจะยกเงินที่เหลือให้แล้วกัน ให้เงินเท่าที่นายมีในกระเป๋าก็พอ ฉันจะให้นายติดตัวสักสามสิบสองหยวนไว้เป็นค่าอาหารแล้วกัน…ไม่สิ เก็บไว้สักสองหยวนเป็นค่าอาหารมื้อหน้าแล้วกัน”
พอชายหนุ่มได้ยินแบบนั้น น้ำตาพลันไหลออกมาอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณ ขอบคุณมากเลย!”
[ได้รับคำขอบคุณจากต่งหมิงไซว่ +1]
เริ่นเสี่ยวซู่ปลื้มปีติ ในที่สุดก็พบวิธีได้รับคำขอบคุณจากคนไข้แล้ว!
อย่างแรกคือราคาต้องสมเหตุสมผล ถ้าคลินิกคิดราคาหกร้อย เขาควรคิดราคาหกร้อยด้วย แบบนี้คนอื่นจะได้ไม่คิดว่าเขาตั้งราคาเกินเลย ต่อไปคือต้องวางท่าสักหน่อย ต่อให้ได้รับเงินน้อยลง แต่ก็จะได้รับคำขอบคุณ!
อย่างไรหาเงินก็ไม่ใช่ประเด็นหลักอยู่แล้ว ที่ต้องเน้นคือคำขอบคุณต่างหาก ยิ่งได้รับคำขอบคุณมาก เงินก็จะมากตามไปด้วย แค่วันเดียวเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้เงินมาหนึ่งพันหกร้อยสามสิบแล้ว นี่มันเร็วยิ่งกว่าออกไปล่านกกระจอกอีก! และที่สำคัญคือไม่มีอันตรายอะไรด้วย
ตอนนี้จำนวนเหรียญคำขอบคุณของเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาเท่ากับสี่อีกครั้ง แม้ดูเหมือนว่าจะไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าเขาผ่านความล้มเหลวจนพบวิธีการได้รับคำขอบคุณแล้ว!
เริ่นเสี่ยวซู่มีความสุขสุดๆ จนคิดจะซื้อชุดฤดูใบไม้ผลิให้เหยียนลิ่วหยวนสักหน่อย เขาหันกลับไปมองเสี่ยวอวี้ แล้วก็จะซื้อแจ็กเก็ตผ้าฝ้ายให้เสี่ยวอวี้ใช้สำหรับหน้าหนาวนี้ด้วย!
ตอนนี้เสี่ยวอวี้เป็นนางพยาบาลของคลินิกพวกเขาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่จะให้เธอทำงานแบบให้เปล่าคงไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ
แต่ไม่ต้องรีบร้อนไป ต้องดูเสียก่อนว่าเดือนหนึ่งได้เงินมาประมาณเท่าไร แล้วค่อยคำนวณเงินค่าจ้างของเสี่ยวอวี้
……
ข่าวเครื่องกำเนิดไอน้ำระเบิดที่โรงงานแพร่ออกไปแล้ว เหล่าผู้หญิงในเมืองไม่น้อยกังวลกันมาก ต่างกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับสามีตน
ตอนบ่าย เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่ในกระท่อม คอยเฝ้ารอคนจากโรงงานออกมา เขาจะได้เข้าไปขวางแล้วแบกกลับมารักษาที่คลินิก แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นใครกลับมาเลย
คนที่รู้สึกรับไม่ได้ที่สุดย่อมเป็นไอ้เจ้ามิจฉาชีพที่คลินิกของเมือง พอได้ยินว่าเครื่องกำเนิดไอน้ำระเบิด เขาก็รอคนไข้มาหาอย่างกระตือรือร้น ทว่ารอจนตกดึกแล้วก็ยังไม่มีใครมาสักคน!
พอเป็นแบบนี้ หมอหนุ่มก็เดินออกมาถามคนไปทั่ว สุดท้ายได้ยินว่าตอนบ่ายมีคนเจ็บวิ่งออกมาจากโรงงานสามคน แต่ทำไมถึงไม่เห็นมีใครมาให้เขาพันแผลเลยล่ะ
หลังจากถามไถ่ผู้คนเสร็จ ไข่ก็ต้องปวดหนึบ มีคนพยายามแย่งชิงกิจการเขาไป!
อยากรู้นักใครมันกล้ามาแย่งชิงกิจการกับเขา หลังจากถามอีกรอบ ถึงได้รู้ว่าคือเริ่นเสี่ยวซู่นั่นเอง!
หมอหนุ่มคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกัดฟันกรอดด้วยโทสะ เริ่นเสี่ยวซู่แล้วอย่างไร คิดว่าพอเป็นเริ่นเสี่ยวซู่แล้วจะแย่งอาชีพไปจากผู้อื่นได้งั้นเหรอ!
หมอหนุ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล จู่ๆ เริ่นเสี่ยวซู่จะไปรู้วิชารักษาบาดแผลช่วยชีวิตคนได้อย่างไร ตอนเขาได้ยินเรื่องยาดำ เลยนึกว่าเป็นยาที่เริ่นเสี่ยวซู่ทำออกมามั่วๆ ทำเอาตอนนั้นข้องใจสงสัย มาตอนนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
เขาเดินกระฟัดกระเฟียดไปขอคำอธิบายจากเริ่นเสี่ยวซู่ แต่พอมาถึงประตูกระท่อม พบว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังใช้มีดกระดูกปอกมันฝรั่งอยู่ แล้วก็เห็นเจ้าตัวเผลอใช้มีดกระดูกแทงทะลุมันฝรั่งเข้าไปด้วย…
เริ่นเสี่ยวซู่ถามเสียงเรียบ “มาหาฉันเหรอ”
“อ้อ ไม่มีอะไรๆ แค่จะมาถามว่ากินข้าวแล้วหรือยังเฉยๆ น่ะ” หมอหนุ่มหัวเราะเสียงแหบแห้ง
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาแล้วพูด “อวี่ถง นายอายุไม่น้อยแล้ว อยู่ใต้เงาของหมอชรามานานเกินพอ นายจบสิ้นแล้วล่ะ ฉันแนะนำให้นายวิ่งกลับบ้านไปอ่านหนังสือแพทย์ของหมอชราเสียหน่อย ต่อไปจะได้ไม่ต้องตายอย่างทรมาทรกรรม”
“นายพูดเรื่องอะไรน่ะ” อวี่ถงว่าอย่างประหม่า “ฉันอ่านหนังสือแพทย์อยู่ทุกวัน”
“งั้นก็ดี” เริ่นเสี่ยวซู่ก้มหน้าปอกมันฝรั่งต่อไป เมินเขาอย่างสิ้นเชิง
บอกตามตรง ปกติแล้วเริ่นเสี่ยวซู่กับคนอื่นๆ ไม่ปอกเปลือกมันฝรั่งกันหรอก พวกเขาจะกินไปทั้งลูกแบบนั้นเลย เพราะถ้าปอกเปลือกออก ก็เท่ากับมีเนื้อมันฝรั่งต้องเสียเปล่า ทว่าตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่คนมีกะตังค์ ต้องฟุ้งเฟ้อเสียหน่อย!
พริบตานั้นเองก็มีคนนับสิบวิ่งเข้ามาในเมือง ตะโกนลั่นว่า “แย่แล้ว! มีเรื่องแย่เกิดขึ้นแล้ว!!”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว รั้งตัวผู้หนึ่งไว้แล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“กลิ่นเลือดหลังจากเครื่องกำเนิดไอน้ำระเบิดดึงดูดฝูงหมาป่ามา” ชายผู้นั้นพูดอย่างตื่นตระหนก “ฉันไม่รู้ว่าหมาป่ามาจากไหน แต่มันเต็มไปหมดเลย!”
“เต็มไปหมดที่ว่าคือกี่ตัว” เริ่นเสี่ยวซู่ถามอีกรอบ
“เกรงว่าอย่างต่ำก็ร้อยกว่าตัว!”
แบบนี้แย่มากจริงๆ ด้วย ดูเหมือนโชคชะตาของบรรดาคนงานจะริบหรี่เสียแล้ว
พวกหมาป่าไม่ปรากฏตัวมาปีกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลามานี้ ชาวเมืองแทบลืมความน่ากลัวของพวกมันไปจนหมด ไม่มีใครทราบว่าทั้งปีนี้พวกมันหายไปไหน แต่ตอนนี้พวกมันกลับมาแล้ว แถมจำนวนยังเพิ่มขึ้นหลายเท่าด้วย
ทว่าพวกหมาป่าไม่กล้าบุกเข้ามาถึงในเมืองเพราะมีกำแพงสูง และบนกำแพงสูงเหล่านั้นมีทั้งระเบิดทั้งปืนไฟ
เพราะเหตุนี้เหล่าผู้อพยพจึงมารวมตัวกันนอกกำแพง และเกิดเป็นเมืองขึ้นมา
“มองอะไร กินอาหารไป” เริ่นเสี่ยวซู่บอกเหยียนลิ่วหยวน
พูดจบเขาก็นั่งลงรับประทานอาหารของตัวเอง เหยียนลิ่วหยวนกินไป มองข้างนอกไปอย่างสนอกสนใจ “พี่ ตอนนั้นพี่รอดมาได้ไงเหรอ ไม่เห็นพี่จะเคยพูดถึงเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขา แต่ไม่ได้ให้คำตอบอะไร เสี่ยวอวี้ที่อยู่ข้างๆ ก็มองเริ่นเสี่ยวซู่เช่นกัน แต่เธอไม่ถามอะไรเขา
หลังจากเหยียนลิ่วหยวนกินมันฝรั่งเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ส่งให้เขาอีกลูกหนึ่ง “กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ จากนั้นจะได้มีโอกาสรอดมากกว่าคนอื่น”
“พี่ไม่ห่วงหมาป่าจะบุกเข้ามาในเมืองเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนมองเริ่นเสี่ยวซู่ที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ห่วง” เริ่นเสี่ยวสู่ส่ายหัวแล้วพูดต่อ “พวกมันฉลาดกว่าที่นายคิดมาก ไม่มีทางมาเสี่ยงอันตรายถึงนี่หรอก ถ้าไม่ใช่ว่าเครื่องกำเนิดไอน้ำระเบิดจนมีคนบาดเจ็บล้มตาย พวกมันคงไม่บุกไปโรงงานแน่ ที่พวกมันไป ไม่ใช่เพราะกลิ่นเลือด แต่เพราะกลิ่นอายความตายดึงดูดพวกมันต่างหาก”
“แล้วพี่กำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่กันแน่” เหยียนลิ่วหยวนถาม
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง “ถ้าวันหนึ่งกำแพงเกิดถล่มลงมาน่ะ”
เสี่ยวอวี้ผงะ “กำแพงจะถล่มลงมาเหรอ!”
“ไม่รู้สิ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัวอีกรอบ “แต่ใดๆ ในโลก ไม่มีสิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง จริงๆ แล้วฉันเคยเห็นฝูงหมาป่ามาสองครั้ง ครั้งแรกสังเกตเห็นแต่ไกลจึงวิ่งหนีรอด ครั้งที่สองกลับไม่ได้โชคดีนัก แต่ฉันรู้สึกว่า…พวกมันกำลังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม!”
ความจริงเริ่นเสี่ยวซู่ก็สงสัยเช่นกันว่าถ้าวันหนึ่งกำแพงถล่มลงมา มันจะเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่