บทที่ 6 ปีศาจส่งเด็ก
“เขาได้บอกหรือไม่ว่าทำไมคิดซื้อคฤหาสน์หลังนี้ ?”
ซูเฉินนั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวก่อนเอายถามหลี่ชู่
“เห็นว่านายน้อยตระกูลหลงต้องการน่ะขอรับ เขาบอกว่าเรื่อง ‘ปีศาจส่งเด็ก’ นี้ส่งผลแต่กับสตรี ไม่ร้ายต่อบุรุษ ดังนั้นจึงคิดซื้อมาใช้อยู่อาศัยก่อน ไม่แน่ว่าปีศาจนั่นอาจจะจากไป เขาก็จะได้ก่อสร้างคฤหาสน์นี่เสียไหม ได้กำไรก้อนโต”
“ฟังดูมีเหตุผล แต่เขาไม่เกรงกลัวเลยหรือ ? เรื่องเกี่ยวพันกับวิญญาณร้ายเลยนะ มันอาจจะไปหรือเปลี่ยนวิธีลงมือ ยัดเด็กเข้าท้องบุรุษก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือไร ?” ซูเฉินเอ่ยถาม
หลี่ชู่หัวเราะ “ถูกต้องแล้วขอรับ ข้าก็คิดเช่นนั้น หาไม่แล้วเหตุใดตระกูลหลี่จึงยอมขายคฤหาสน์ ? สุดท้ายพวกเขาก็เกรงกลัวปัญหานี้ อยากทิ้งมันไปโดยเร็ว แต่ตัวแทนจากตระกูลหลงกล่าวว่าพวกเขาเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูง ไม่เกรงกลัวปัญหาเช่นนี้ หากวิญญาณร้ายรังควาญจริงก็พร้อมสู้ นายน้อย ท่านเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ไม่เกรงกลัวเช่นกัน แล้วข้าจะเอ่ยความอันใดบีบให้พวกเขากลัวได้ ? คำพูดพวกเขามีเหตุผล ข้าจึงกล่าวอะไรมากไม่ได้”
“อ้อ เช่นนั้นก็คือไม่มีตระกูลสายเลือดชั้นสูงใดที่ไม่เกรงกลัวเลยหรือ ?”
“สุดท้ายเรื่องก็เกี่ยวพันกับวิญญาณร้ายและปีศาจ หากไม่รู้ว่าต้นตอปัญหาอยู่แห่งหนไหนก็คงไม่กล้าลงมือง่าย ๆ ใต้หล้านี้กว้างใหญ่นัก มากคนพาลมากคนพเนจร หากตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายคิดเสี่ยงทุกครั้งที่ไม่จำเป็นก็คงไม่รอดพ้นมาจนถึงกาลนี้”
“ตระกูลหลงกับข้าเพียงบังเอิญไม่กลัววิญญาณร้ายเหมือนกัน อยากอาศัยอยู่ในที่เดียวกันสินะ”
หลี่ชู่หัวเราะแหะ ๆ “นายน้อยไม่เหมือนกับพวกเขาขอรับ”
เขาเพียงเอ่ยเยินยอซูเฉินไปอย่างนั้น หากแต่ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ “ถูกต้อง ข้าไม่เหมือน หากข้ากล้ามาที่นี่ ข้าย่อมมีความมั่นใจ แล้วตระกูลหลงเล่า ? ก็คงไม่เหมือนกับข้าใช่หรือไม่ ?”
หลี่ชู่ชะงักไป ซูเฉินพลันเอ่ย “ฉางเอ้อร์”
ชายชุดคลุมดำเดินเข้าห้องมาคุกเข่าเบื้องหน้าซูเฉิน “นายท่าน !”
พวกโจรมักไม่มีความซื่อสัตย์เป็นทุนเดิม ซูเฉิน ‘ฝึก’ เขาสักหน่อย อีกฝ่ายก็ขายวิญาณให้ชายหนุ่มไปแล้ว
“จับตามองตระกูลหลง ดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
“ขอรับ !”
พริบตาต่อมา หลี่ชู่ก็พบว่าชายชุดดำหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาตกตะลึงไปไม่น้อย
แม้เขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แต่ก็รู้ดีว่าวิชาหายตัวไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจะฝึกใช้ได้ง่าย หากซูเฉินทำได้ เขาย่อมไม่แปลกใจ แต่ข้ารับใช้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกลับมีวิชาเช่นนี้ มองอย่างไรก็ต้องตกใจ
ที่สำคัญคือ เขาจำได้ว่าชายชุดดำเช่นนี้มีมากถึง 6 คน
หลังส่งฉางเอ้อร์ออกไปแล้ว ซูเฉินก็ยังคงถกปัญหาอยู่กับหลี่ชู่
“ใช่แล้ว เรื่องปีศาจส่งเด็กนี่ เกิดขึ้นราว 1 ปีก่อน แล้วสตรีตั้งครรภ์เหล่านั้นเป็นอย่างไร ?” ซูเฉินเอ่ยถาม
“ส่วนมากก็คลอดแล้วขอรับ แต่เป็นเด็กตายในครรภ์ทั้งหมด”
“ตายในครรภ์……” ซูเฉินพึมพำ “เป็นปีศาจจริง ๆ หรือ ?”
คิดอยู่ชั่วครู่แล้วซูเฉินก็เอ่นถาม “เช่นนั้นถ้าทารกตายในครรภ์ งั้นแล้วสตรีตั้งครรภ์ทั้งหลายไปอยู่ที่ไหน ?”
“ทารกที่ตายในครรภ์ย่อมถูกจัดการไปแล้ว ข้าไม่รู้พื้นที่ที่แน่ชัด ไม่รู้เช่นกันว่าแม่เด็กเป็นอย่างไรบ้าง บ้างก็ฆ่าตัวตาย บ้างก็หนีไป ส่วนคนอื่น ๆ ถูกตระกูลหลี่จับขังไว้ขอรับ ไม่ว่าใครก็จุดจบไม่ดีทั้งสิ้น ที่ดีหน่อยคงมีเพียงคุณหนูสี่ตระกูลหลี่ที่ถูกส่งกลับบ้านเดิม ไปใช้ชีวิตใหม่ภายใต้ตัวตนใหม่ขอรับ”
ซูเฉินเคาะนิ้วลงบนที่วางแขนสลักมังกรของเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีที่เขานั่งอยู่ เกิดเป็นเสียงดังเป็นจังหวะก้องทั่วห้องทำงาน
จากนั้นพลันเอ่ย “กุยต้าซาน”
“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ” ชายชุดดำที่เดินเขามา เดิมทีเป็นหัวหน้าค่ายโจรกระดองเต่า ค้อนเหล็กกุยต้าซาน ตอนนี้กลายเป็นข้ารับใช้เงาฝีมือดีของซูเฉินไปแล้ว
“ไปสืบมาว่าตระกูลหลี่ทิ้งทารกตายในครรภ์พวกนั้นไว้ที่ไหน จุดที่ฝังสตรีที่เป็นแม่ด้วย”
“ขอรับ !” กุยต้าซานเองก็หายไปในพริบตาเช่นกัน ส่งผลให้หลี่ชู่ตกใจไม่น้อย ยิ่งชื่นชมและเกรงกลัวซูเฉินเพิ่มขึ้นอีก
“ใช่แล้ว ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง ? ได้นำยาที่ข้าวานให้มอบให้นางไปหรือไม่ ?” ซูเฉินพลันเปลี่ยนเรื่อง
“ตามคำสั่งของนายน้อย โจวหงเดินทางไปเมืองหลินเป่ยเมื่อครั้งก่อน นำยาไปแล้วขอรับ อีกทั้งยังบอกความประสงค์ของนายน้อยให้ฮูหยินทราบ แต่นางกล่าวว่านางอายุมากแล้ว กระดูกไม่ดีเช่นแต่ก่อน ไม่อยากย้ายไปไหนมาไหนอีก ดังนั้นจึงไม่อยากมาอยู่ที่เมืองธารน้ำใสขอรับ”
“ท่านแม่ยังไม่หมดใจเรื่องซูเฉิงอันอีกหรือ ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ 10 ปีที่นายน้อยร่ำเรียนในสถาบัน นายท่านใหญ่ ข้าหมายถึงซูเฉิงอันก็รับนางบำเรอมาอีก 4 คน หากแต่ชีวิตมีแต่ยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้กลายเป็นคนไร้ค่าประจำตระกูลซู จนฮูหยินหมดใจไปตั้งนานแล้วขอรับ แต่อย่างไรก็ยังเป็นคนตระกูลซู หากนายท่านใหญ่ยังไม่สิ้น นางก็จากไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะผิดกฎตระกูล”
“แสดงว่านางไม่คิดก้าวข้ามเรื่องกฎเกณฑ์อะไรเช่นนั้น” ซูเฉินถอนหายใจ “แต่อาจดีแล้วก็ได้ ทางที่ข้าเลือกเดินมีแต่ขวากหนาม หากนางไม่มาอยู่กับข้า ชีวิตอาจมีความสงบสุขมากขึ้น พบอันตรายได้น้อยลงสักหน่อย”
“ตอนนี้นายน้อยเรียนจบแล้ว กลับไปเยี่ยมเยียนบ้างก็น่าจะดีนะขอรับ” หลี่ชู่พยายามเกลี้ยกล่อม
ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่อยากกลับไปที่นั่นแล้ว เอาเป็นแบบนี้ล่ะ จากนี้ต่อไป ข้ากับตระกูลซูแยกทางกัน ข้าไม่ติดค้างสิ่งใดกับพวกเขาอีกแล้ว เช่นนี้หากข้าก่อเรื่องอะไรพวกเขาจะไม่มาพัวพัน ส่วนท่านแม่…… หลี่ชู่ ไปซื้อบ้านที่อำเภอกู้ให้นางสักหลัง บอกนางว่าทุกกลางฤดูร้อย ข้าจะไปพักที่นั่นสักหลายวัน หากนางคิดถึงข้าก็ไปอยู่ที่นั่นสักหลายวันได้”
อำเภอกู้นั้นอยู่ระหว่างเมืองธารน้ำใสและเมืองหลินเป่ย แต่ใกล้กับเมืองหลินเป่ยมากกว่า อีกทั้งมันยังสวยงาม เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในหน้าร้อนได้ดีนัก ในเมื่อถังหงรุ่ยไม่อยากจากเมืองหลินเป่ยไป เขาก็คงต้องหาสถานที่ให้ทางได้พบหน้านางบ้างมาสักแห่ง
หลังจัดการเรื่องในครอบครัวแล้ว เขาก็ไปสอบถามเรื่อการก่อสร้างเรือนไม้กฤษณา เมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างดำเนินไปเรียบร้อยดี ซูเฉินจึงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ต่อจากนี้ไปเจ้าเป็นหัวหน้าพ่อบ้านที่นี่ ทุกอย่างยกให้เจ้าดูแล ส่วนหมิงชูรับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยภายใน โจวหงรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยภายนอก”
หมิงชูและโจวหงทะลวงสู่ด่านก่อเกิดลมปราณมาตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนหน้า และรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยที่เรือนไม้กฤษณามานานหลายปี ตอนนี้ชายหนุ่มเพียงมอบตำแหน่งให้อย่างเป็นทางการเท่านั้น
จากนั้นซูเฉินก็หยิบม้วนตำราวิชาและยาทั้งหลายที่ใช้สำหรับฝึกบ่มเพาะพลังขึ้นมาแจกจ่าย กระทั่งหลี่ชู่ยังได้ยาปัจฉิมวัยไปขวดหนึ่ง
พวกเขาตามมาตั้งแต่ยังอยู่ที่เมืองหลินเป่ยจนถึงตอนนี้ เป็นดั่งแขนขาที่เขาไว้ใจมาก ดังนั้นจึงต้องดูแลเป็นอย่างดี
หลังจัดการเรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็ลุกขึ้น “กังเหยียน ไปเตรียมรถม้า เราจะเข้าเมืองกัน”
“นายท่านจะออกไปหรือ ?”
“ถูกต้อง เราต้องไปยังกรมพลังต้นกำเนิด ไปยื่นเอกสารสักหน่อย แม้จะดูน่ารำคาญแต่ก็ยังต้องทำตามขั้นตอนของเขา” ซูเฉินตอบพลางปัด ๆ ฝุ่นจากแขนขาตน จากนั้นเดินออกไป