ภาคที่ 3 บทที่ 7 กรมพลังต้นกำเนิด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 7 กรมพลังต้นกำเนิด

กรมพลังต้นกำเนิดนั้นอยู่ที่ถนนทางทิศใต้ของเมืองธารน้ำใส

รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคง เมื่อมาถึงกรมพลังต้นกำเนิด ซูเฉินก็ลงมาจากรถม้าแล้วยื่นจดหมาย ไม่นานก็มีคนเข้ามาพาไปด้านใน

คนที่มาต้อนรับคือข้าราชการชั้นผู้น้อยชื่อว่าเฉาเจิ้งจวิน เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด เป็นเพียงขุนนางคนหนึ่งเท่านั้น จึงเอ่ยกับซูเฉินหลังจากแนะนำตัวกันเสร็จแล้วว่า “คุณชายซู จากนี้ไปท่านจะเป็นผู้จัดการความรู้แห่งกรมพลังต้นกำเนิดกรมธารน้ำใส ปกติแล้วต้องไปพบเจ้ากรมหลิ่วก่อน แต่เจ้ากรมหลิ่วออกเดินทางไปทำธุระเมื่อ 2 วันก่อน ไม่อยู่ในกรม คงต้องเป็นครั้งหน้าแทนนะขอรับ”

“ไม่เป็นไร เจ้ากรมหลิ่วกลับมาเมื่อไรข้าจะไปพบเอง”

“เช่นนั้น ข้าจะแนะนำให้คุณชายรู้จักคนในกรมนะขอรับ”

“ได้เลย”

ทั้งสองพากันเดินเข้าไปยังห้องโถงหลักของกรม มีผู้ฝึกยุทธ์ 2-3 คน หากแต่ไร้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดสักคน

หากกรมพลังต้นกำเนิดมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเบาะแว้งระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ก็สมควรต้องมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเช่นกัน

แต่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดส่วนมากมีฐานะสูง ไม่ชอบการถูกจำกัดที่ไว้เช่นนี้ จึงชอบมาที่นี่เมื่อมีธุระให้จัดการเท่านั้น ไม่เช่นนั้นงานเช่นนี้จะเรียกว่าอิสระได้หรือ ?

กระทั่งซูเฉินยังไม่ชอบการที่ต้องมารายงานตัวทุกวันเลย

ดังนั้นปกติแล้ว ภายในกรมพลังต้นกำเนิดจึงมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดประจำการเพียงคนหนึ่งเท่านั้น

คนที่มาประจำวันนี้มีนามว่าเหออวี๋ เขารู้ว่าซูเฉินจบจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น ดังนั้นจึงให้ความเคารพซูเฉินอยู่บ้าง

คนทั้งสองคุยกันเล็กน้อย ทำให้ซูเฉินเข้าใจสถานการณ์ที่นี่ขึ้นอีกหน่อย

นอกจากซูเฉินแล้ว กรมพลังต้นกำเนิดยังมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีก 28 คน และผู้บ่มเพาะพลังด่านหลอมกายาอีก 300 คน เจ้ากรมหลิ่วอู๋หยาอยู่ด่านทะลวงลมปราณ ฐานะถัดจากเขาคือผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณอีกคนหนึ่ง และด่านกลั่นโลหิตอีก 8 คน ที่เหลือเป็นด่านก่อเกิดลมปราณ

กรมธารน้ำใสนั้นไม่ได้กว้างใหญ่มาก กองกำลังเท่านี้นับว่าเพียงพอจัดการปัญหาต่าง ๆ แล้ว หากพบศัตรูที่ทรงพลังเกินไปก็สามารถขอกำลังเสริมจากทางการกรมธารน้ำใส หรือขอคนจากกองกำลังที่อยู่ไม่ไกลได้

กรมพลังต้นกำเนิดจะมอบยันต์แจ้งเตือนให้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดติดตัวไว้ หากไม่มีเรื่อง ในยามปกติก็จะสามารถพักผ่อนหย่อนใจอยู่ภายในกรมธารน้ำใสได้ แต่หากยันต์แจ้งเตือนทำงานก็จะต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ทันที

ทุกอย่างตรงตามที่ชายหนุ่มต้องการพอดี

แต่ก่อนเขาจะจากไปก็มีเรื่องเกิดขึ้นเรื่องหนึ่ง

ชายร่างกำยำสูงใหญ่คนหนึ่งพลันเดินเข้ามา หลังจากเห็นซูเฉินก็ถามขึ้น “เฉาเจิ้งจวิน คนผู้นี้ใครกัน ?”

เฉาเจิ้งจวินรีบตอบ “เป็นผู้จัดการความรู้คนใหม่ของเราขอรับ”

“ผู้จัดการความรู้คนใหม่ ? เจ้าคือซูเฉินหรือ ?” ชายคนนั้นจ้องซูเฉินนิ่ง เผยแววตาเย็นชาออกมา

มองซูเฉินแล้วเขาก็ส่งเสียงหึ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

ซูเฉินเห็นท่าทางเช่นนั้นแล้วก็งงงวย เอ่ยถามเฉาเจิ้งจวิน “คนผู้นั้นคือ ?”

เฉาเจิ้งจวินตอบเสียงเบา “ผู้นี้คือใต้เท้าหยวน หยวนเลี่ยหยาง ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณอีกคนนอกจากเจ้ากรมหลิ่วขอรับ เดิมทีควรจะเป็นคนที่มีโอกาสได้เป็นผู้จัดการความรู้คนต่อไปที่สุด”

ได้ยินดังนั้นซูเฉินก็เข้าใจเรื่องราว

ดูแล้วอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจ เป็นเพราะเขามาแย่งตำแหน่งไปนั่นเอง

เรื่องนี้ไม่น่าแปลก อย่างไรหยวนเลี่ยหยางอยู่ด่านทะลวงลมปราณ ขั้นพลังสูงกว่าเขาหนึ่งขั้น อีกทั้งยังอยู่ในกรมพลังต้นกำเนิดมานานหลายปี ทั้งความอาวุโส พื้นฐานการบ่มเพาะพลัง และประสบการณ์ ล้วนมีมากกว่าซูเฉิน แต่เขาที่เพิ่งจบมาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นกลับทำลายความพยายามทุกอย่างที่หยวนเลี่ยหยางเพียนสร้างมาในคราเดียว กลายเป็นหัวหน้าหยวนเลี่ยหยางไปเสียได้ ไม่ว่าใครก็ยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้ยาก

แม้งานในกรมพลังต้นกำเนิดจะไม่ยาก ทุกคนทำหน้าที่ของตนเองไป แต่ก็มีบ้างที่ต้องทำงานร่วมกัน ถึงตอนนั้นหยวนเลี่ยหยางต้องรับคำสั่งจากซูเฉิน คงจะเจ็บปวดปวดไม่น้อยทีเดียว

แต่แล้วอย่างไร ?

ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็นในใจ

เขาไม่ได้ต้องการตำแหน่งอะไรมากมายอยู่แล้ว หากไม่จำเป็นต้องทำงานรับใช้แคว้น 10 ปีหลังจากจบการศึกษามาแล้ว เขาก็ไม่คิดจะมาที่กรมธารน้ำใสด้วยซ้ำ ดังนั้นหยวนเลี่ยหยางจะฟังคำสั่งหรือไม่เขาไม่สนใจ

การทำงานที่กรมพลังต้นกำเนิดเป็นเพียงหน้าที่ หน้าที่ผู้จัดการความรู้ไม่น่าสนใจเท่าเรื่องที่ขุดพบโครงกระดูกที่ใต้คฤหาสน์ตระกูลซูด้วยซ้ำ…..

คิดได้ดังนั้นแล้วซูเฉินก็หัวเราะเสียงเบา “ใต้เท้าหยวนอารมณ์ร้อนไม่น้อย ดูท่าสายเลือดวานรอเวจีจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ด้วย แต่หากใต้เท้าหยวนมีเพียงสายเลือดผสมแล้วยังย่ำแย่เช่นนี้ คงต้องฝึกฝนจิตใจและอารมณ์อีกสักหน่อย”

เฉาเจิ้งจวินชะงักไป ซูเฉินรู้ได้อย่างไรว่าหยวนเลี่ยหยางมีสายเลือดวานรอเวจี ? อีกทั้งยังเป็นสายเลือดผสมด้วย ?

ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นสายเลือดผสม อีกทั้งยังได้รับมาตอนอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว ดังนั้นพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของหยวนเลี่ยหยางจึงตันแค่ที่ด่านทะลวงลมปราณเท่านั้น ไม่มีวันทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารได้

อาจเพราะเช่นนี้ หยวนเลี่ยหยางจึงละทิ้งการบ่มเพาะพลังและหันมาสนใจฐานะทางสังคมเสียมากกว่า

แต่น่าเสียดายที่ความพยายามที่ผ่านมากลับแพ้ประโยคเดียวของฉือไคฮวง อีกทั้งซูเฉินก็ได้แสดงความสามารถเมื่อครั้งภารกิจเข้าซากโบราณไปแล้ว ดังนั้นเขาย่อมไม่คิดปล่อยให้หยวนเลี่ยหยางทำตามใจตนได้

ซูเฉินพูดจบก็ก้าวเท้าออกจากกรมพลังต้นกำเนิด ด้วยเขาทำหน้าที่เสร็จแล้ว ไม่คิดอยู่ที่นี่อีกต่อไป

แต่แม้หยวนเลี่ยหยางจะจากไปแล้ว ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคอยจับตามองซูเฉินไม่วางตา จนกระทั้งถึงตอนที่ซูเฉินพูดเสียงเบา ทำให้หยวนเลี่ยหยางได้ยิน จนในใจบังเกิดความโกรธขึ้นมาเมื่อได้ยินคำของอีกฝ่าย “อารมณ์ของข้าเจ้าก็คิดจะออกความเห็นด้วยงั้นหรือ ?”

เขาพุ่งออกมาจากกรมแล้วคว้าไหล่ซูเฉินไว้

เขาคว้าเพื่อหมายจะรั้งตัวซูเฉินไว้ แต่กลับซ่อนพลังต้นกำเนิดไว้ด้วย หากชายหนุ่มปล่อยให้ไหล่ถูกคว้าไว้ได้ย่อมต้องบาดเจ็บ หรือหากใช้แขนสกัดก็อาจบาดเจ็บรุนแรงได้

ทว่าตอนที่เขากำลังถึงตัวซูเฉินนั้นเอง เงาร่างก็พลันเอียงไป เขาไม่แม้แต่จะหันมารับมือการโจมตี ทำเพียงเอียงร่างหลบเท่านั้น ส่งผลให้กรงเล็บของหยวนเลี่ยหยางพลาดเป้า

แม้จะไม่ใช่การโจมตีจริงจังนัก แต่ก็มาจากผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ หยวนเลี่ยหยางโจมตีพลาด รู้สึกเสียหน้านัก ไฟแค้นในใจยิ่งโหมแรง ส่งอีกหนึ่งกรงเล็บออกไป ครั้งนี้มีเพลิงแดงเรืองแสงออกมา เห็นได้ชัดว่าหยวนเลี่ยหยางลงมือไม่คิดไว้ไมตรีสักนิด

ครั้งนี้ซูเฉินไม่รับมือแบบเรียบง่ายอีก เขาพลันปล่อยหมัดหนึ่งกลับมา หนึ่งหมัดหนึ่งกรงเล็บเข้าปะทะ ปล่อยคลื่นพลังรุนแรงออกรอบทิศ

จากนั้นทั้งคู่ก็แยกจากกัน หยวนเลี่ยหยางไม่เคลื่อนกาย แต่ซูเฉินถูกผลักไปมากกว่า 10 จั้ง หลังทรงตัวได้ก็ยกกำปั้นปะทะฝ่ามือคำนับแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณใต้เท้าหยวนที่มาส่ง แต่ท่านอยู่ที่นี่เถอะ ซูเฉินขอลา”

หยวนเลี่ยหยางคำรามต่ำเมื่อเห็นซูเฉินถูกซัดคราเดียวก็ถอยไปไกล “หากยังรับมือกรงเล็บที่ใช้พลังเพียง 3 ใน 10 ส่วนของข้าไม่ได้ก็อย่าอวดดีนัก”

เขากำลังคิดจะไล่ตามไป ทันใดนั้นก็พบว่าตนไม่อาจขยับกายได้

เขาก้มหน้าลงแล้วพบว่าเท้าทั้งสองถูกน้ำแข็งยึดไว้กับพื้นแน่น

ซูเฉินบอกให้หยวนเลี่ยหยางอยู่ตรงนั้น แล้วก็สามารถทำให้หยวนเลี่ยหยางไม่อาจก้าวออกไปได้จริง ๆ

แม้ครู่ต่อมา สายเลือดวานรอเวจีจะถูกเปิดใช้ พลังต้นกำเนิดรุนแรงละลายน้ำแข็งออกจนหมด แต่ถึงตอนนั้นซูเฉินก็จากไปไกลแล้ว

หยวนเลี่ยหยางได้แต่เหลือบมองทางที่ชายหนุ่มเดินจากไปแล้วส่งเสียงฮึ่ม ซึ่งหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่คิดไล่ตามต่อ

ทั้งคู่ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้น ไม่จำเป็นต้องลงเต็มแรง แต่หยวนเลี่ยหยางสาบานว่าครั้งหน้าที่เจอกัน เขาจะต้องจัดการซูเฉินให้รู้ซึ้งเสียบ้าง !