ตอนที่ 20 พบเจอกัน ณ โรงหลอมเหล็ก

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“คำพูดเช่นนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย บ่าวได้ยินมาว่าตอนที่คุณหนูเหยาเข้าจวนมา สินเดิมที่พกมาด้วยนั้นมีราวๆ สิบกว่าคัน? เฮ้อ! พูดถึงคุณหนูเหยาผู้นี้ก็น่าสงสารเหลือเกิน วันนี้นางมาอยู่ที่จวนพวกเราเพื่อสิ่งใดกัน”

เฟิงฮูหยินน้อยแสยะยิ้มหยัน “เดิมทีนางจะมาแทนที่พี่สาวของนาง แม้กระทั่งสินเดิมเจ้าสาวยังเตรียมมาแล้ว แค่รอให้ถึงปีหน้า เมื่อผ่านช่วงเวลาไว้อาลัยของแคว้นไปก็จะได้เป็นภรรยาเอกอย่างเป็นทางการ ทว่าอาการพี่สาวของนางกลับดีขึ้นเช่นนี้ ฐานะของนางเลยน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก”

“แต่คนก็เข้ามาอยู่ในจวนแล้ว คงไม่มีเหตุผลใดที่จะถูกส่งตัวออกนอกจวน หรือจะให้ออกเรือนเป็นอนุภรรยา?”

“นี่ก็ต้องขึ้นอยู่กับข้าหลวงเหยาแล้วว่าจะคิดอย่างไร นางเป็นถึงบุตรีของขุนนางระดับสอง เกรงว่าคงไม่อยากไปเป็นอนุภรรยาของใครหรอกกระมัง?” ระหว่างที่พูด เฟิงฮูหยินน้อยก็เดินเข้าเรือนของตนไป

ในเรือนฉีเสียง ซุนฮูหยินน้อยสั่งให้หมัวมัวที่คอยติดตามนางอยู่ตลอดส่งผ้าต่วนสองพับมา หนึ่งพับเป็นผ้าต่วนสีเขียวต้นหอมที่ปักลายทองหางหงส์ และอีกพับเป็นสีชมพูดอกเหมยปักลายดอกเหมยสีเงิน เป็นผ้าที่มีสีสันสดใสงดงามและถือเป็นผ้าชั้นดีที่สุด

เพียงแต่ท่านน้าชายทางสายเลือดของเหยาเฟิ่งเกอที่มีนามว่าหวางเคอจง เป็นนักทอผ้าแห่งเจียงหนิง ผ้าไหมผ้าแพรที่ดีที่สุดในทั่วยุทธภพนี้ต่างต้องผ่านมือของเขาก่อน นอกจากจะเอาผ้าต่วนแบบปักมาใช้งานแล้ว ผ้าพับที่เห็นทั่วไปในท้องตลาด ในตระกูลเหยาแทบมีหมดทุกแบบ เหยาเฟิ่งเกอจึงไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่หายากแต่อย่างไร

ทว่าเหยาเฟิ่งเกอไม่อาจไม่ให้เกียรติซุนฮูหยินน้อย นางได้แต่กล่าวขอบคุณด้วยความเกรงใจ แล้วรับผ้าพับพวกนี้ไว้ จากนั้นจึงตบรางวัลอย่างงามให้กับบรรดาบ่าวที่มาส่งผ้า ทั้งยังสั่งให้หลี่หมัวมัวส่งคนกลับออกไปด้วยตัวเอง

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ค่อยชื่นชอบผ้าสีสันสดใสฉูดฉาด จึงเอ่ยขึ้น “ผ้าต่วนสองพับนี้คงไม่เหมาะสมหากจะเอามาตัดเป็นเสื้อผ้าของข้า พี่สาวเก็บไว้ให้ผู้อื่นเถอะ”

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มพลางพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่โปรดปรานผ้าที่มีสีสันดึงดูดสายตาเช่นนี้ ประเดี๋ยวข้าจะเลือกผ้าพับอื่นๆ แล้วข้าจะสั่งให้ช่างตัดเสื้อมาวัดตัวให้เจ้า”

“รบกวนพี่สาวแล้วเจ้าค่ะ พี่สาวเพิ่งจะหายจากการป่วยหนัก ร่างกายยังอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง เรื่องพวกนี้ข้าไม่กล้ารบกวนพี่สาวหรอกเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอจึงว่ากล่าวตำหนิ “ท่านพ่อและท่านแม่ไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าและข้าต่างก็ต้องช่วยกันประคับประคองชีวิตของกันและกัน เหตุใดถึงต้องพูดจาเกรงใจเช่นนี้ด้วยเล่า เจ้าสบายดีข้าก็สบายตาม หากข้าหายป่วย ข้าก็จะไม่มีทางยอมให้เจ้าลำบาก แค่ผ้าต่วนไม่กี่พับ และเสื้อผ้าไม่กี่ชุด นับเป็นสิ่งที่เลอค่าอะไรมากมายได้อย่างไรกัน ทว่าน้องสาวใกล้จะได้ไปจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว มาตัดเสื้อผ้าตอนนี้ก็คงไม่ทันการ” ขณะที่พูดก็หันไปสั่งการซานหู “เจ้าไปเอาเสื้อผ้าที่ตัดตอนช่วงฤดูวสันต์พวกนั้นมาให้น้องสาวข้าลองสวมใส่ดู เรือนร่างของน้องสาวในตอนนี้คล้ายคลึงกับรูปร่างก่อนที่ข้าจะป่วยพอดี คิดว่าน่าจะสวมใส่ได้พอดีตัว”

ซานหูจึงขานรับแล้วเดินออกไป ไม่นานนางก็หอบห่อผ้าจำนวนมากเข้ามา

เหยาเฟิ่งเกอเป็นหัวแก้วหัวแหวนในตระกูลตั้งแต่เล็กจนโต ของใช้ของนาง หากว่าไม่เกินเลยจริงๆ มารดาของนางหวางซื่อก็จะคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนาง ตอนที่จะออกเรือน ก็ได้เตรียมสินเดิมเจ้าสาวให้นางไว้มากมาย หลังจากที่ออกเรือน จวนข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองจะไม่ส่งสิ่งของเลอค่ามาให้ที่นี่ได้อย่างไรกัน

เสื้อผ้าทุกชุดที่ซานหูเอาออกมานั้นมีความพิถีพิถันอย่างมาก ไม่ว่าจะมองจากเนื้อผ้าที่ใช้ รูปแบบของเสื้อผ้า วิธีการเย็บปัก หรือแม้กระทั่งฝีมือการฝังไข่มุกหรืออัญมณี ล้วนทำขึ้นอย่างประณีต สีของเสื้อผ้าแม้จะไม่หวือหวาแต่กลับสง่างาม ดูเรียบหรูแบบไม่อลังการเกินไป

เหยาเยี่ยนอวี่เห็นดังนั้นจึงรีบแย้มยิ้มแล้วปฎิเสธ “หากเอาเสื้อผ้าชุดนี้มาให้ข้าสวมใส่คงจะน่าเสียดายยิ่งนัก พี่สาวเก็บไว้เถอะ รอให้ท่านหายป่วย เรือนร่างของท่านก็จะค่อยๆ กลับมามีน้ำมีนวลเหมือนเดิมเอง”

“เจ้าสวมใส่ก็เหมือนข้าสวมใส่ คำพูดมากมายที่ข้าบอกเจ้าเมื่อครู่นี้ จะให้ข้าพูดไปเพื่ออะไร ประเดี๋ยวเจ้าไปจวนเจิ้นกั๋วกงกับคุณหนูสาม เจ้าชื่นชอบชุดใดก็สวมใส่ชุดนั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ พอไปถึงจวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่จำต้องระมัดระวังตัวเกินไป คุณหนูรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยพบเจอมาหลายครั้ง นางเป็นสตรีที่รู้จักกาลเทศะ ถ่อมตนและใจกว้าง ไม่เหมือนดั่งสตรีชนชั้นสูงคนอื่นๆ เจ้าน่าจะสามารถเข้ากับนางได้เป็นอย่างดี”

คำพูดเหล่านี้ เหยาเฟิ่งเกอเป็นคนเอ่ยขึ้น เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงตอบตกลง

ไม่นาน หลี่หมัวมัวก็กลับเข้ามาพร้อมพูดว่า “ที่พักของคุณชายรองจัดอยู่ในเรือนทิงเฟิงทางฝั่งทิศตะวันตกของห้องอักษรตรงเรือนหน้า ของใช้และผ้าห่มข้างในเป็นของใหม่ทั้งหมด เมื่อครู่พ่อบ้านในจวนมาเอ่ยถามว่า นายหญิงต้องการอะไรเป็นพิเศษอีกหรือไม่ พวกเขาจะไปจัดเตรียมให้เจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น “เรือนทิงเฟิงอยู่ห่างจากเรือนฉีเสียงมากเกินไป เรือนหลั่นเย่ว์ที่อยู่ตรงทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจวนก็ว่างอยู่ไม่ใช่หรือ สั่งคนให้ไปทำความสะอาดและจัดเตรียมให้พี่ชายรองเข้าพัก ตอนกลางวันพี่ชายรองต้องออกไปทำธุระ ดังนั้นในตอนกลางคืน ยามที่เขากลับมาพวกเราที่เป็นพี่น้องกันจะได้สะดวกพูดคุยกันหน่อย”

หลี่หมัวมัวขานรับพลางออกไปสั่งการ เหยาเยี่ยนอวี่จึงถือโอกาสนี้ลุกขึ้น “พี่สาวเหน็ดเหนื่อยมาค่อนวันแล้ว ถึงเวลาที่ต้องนอนพักกลางวันแล้วเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มพลางพูด “เจ้าไปเถอะ ตอนค่ำข้าจะเชิญพี่ชายรองมากินมื้อค่ำด้วย เจ้าก็มาร่วมโต๊ะด้วยกัน พวกเราจะได้พูดคุยเล่นตามประสาพี่น้อง”

เหยาเยี่ยนอวี่ขานรับแล้วกลับเรือนตนเอง ชุ่ยเวยหอบห่อผ้ากองใหญ่กลับมา พอเดินเข้าประตูไปก็วางห่อผ้าลงบนตั่งไม้ ในนั้นมีเสื้อผ้าสี่ชุด ทุกชุดก็ได้เอามาทาบกับเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่แล้ว จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ วันมะรืนไปร่วมงานจวนเจิ้นกั๋วกง ท่านจะสวมใส่เสื้อผ้าชุดใดดีเจ้าคะ? ชุดสีหยกลายหิน? ชุดสีม่วงอ่อนลายปักษา? หรือว่าจะเป็นชุดสีเหลืองอ่อนลายเหยี่ยวเล็กชุดนี้ก็งามดี…”

เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัวอย่างไร้ความอดทน จึงชี้ไปยังชุดกระโปรงหรูสีเขียวอ่อนนั่น “ใส่ชุดนั้นเถอะ ข้าถูกเสียงวุ่นวายของเจ้ารบกวนจนรู้สึกปวดหัว เจ้าอยู่เงียบๆ หน่อยไม่ได้หรือไร แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด เจ้าถึงกับต้องดีอกดีใจขนาดนี้ ข้ายากไร้เช่นนั้นเลยหรือ”

ชุ่ยเวยหัวเราะแล้วรีบนำเสื้อผ้าไปเก็บ จากนั้นอธิบายขึ้น “เปล่านะเจ้าคะ! คุณหนูอย่าได้โมโหเลย บ่าวก็แค่รู้สึกว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ถูกตัดเย็บประดิดประดอยมาเป็นอย่างดี ดูจากวิธีการเย็บปักนั้นไม่แพ้เสื้อผ้าพระราชทานจากในราชวังเลย ดังนั้นบ่าวจึงรู้สึกตื้นตันใจเจ้าค่ะ”

ในวันที่เก้าเดือนแปด เป็นวันที่บุตรีคนรองผู้ที่ให้กำเนิดโดยภรรยาเอกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงนามหันหมิงชั่น ได้เชิญชวนเหล่าคุณหนูจากตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวงมาเข้าร่วมงานประลองหมากล้อม หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จ ซูอวี้เหิงจึงได้สั่งให้คนมาเชิญตัวเหยาเยี่ยนอวี่ไป นี่เป็นครั้งแรกที่เหยาเยี่ยนอวี่จะไปร่วมงานสังสรรค์นับตั้งแต่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหลวง นางเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม ชีวิตภายภาคหน้าก็ยังต้องดำเนินต่อไป การที่ได้ไปพบเจอและคุ้นเคยกับคุณหนูตระกูลใหญ่พวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร

นางเกล้าผมขึ้นครึ่งหนึ่งพลางปล่อยเส้นผมครึ่งล่างที่เหลือให้พาดบนไหล่ จากนั้นก็ปักด้วยปิ่นหยกขาวและบุษบาชมพูอ่อน และสวมใส่ตุ้มหูไข่มุกลูกเล็กและลูกใหญ่ผสมผสานกันไป ตัดด้วยชุดกระโปรงหรูสีเขียวอ่อนลายห่าน อีกทั้งดวงหน้ายังแต่งแต้มประทินโฉมอ่อนๆ เข็มกลัดที่ติดอยู่ตรงบริเวณหน้าอกของนาง ซึ่งเป็นเข็มกลัดพลอยมรกตรูปดอกทานตะวัน เป็นสิ่งประดับที่งดงามที่สุดบนเรือนร่างของนาง

เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่ตรงหน้ากระจกแล้วมองชุ่ยเวยและชุ่ยผิงที่กำลังแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเสร็จ จากนั้นก็ยกยิ้มจางๆ พลางพูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว “แค่ออกนอกจวน เหตุใดถึงต้องแต่งตัวให้ยุ่งยากเช่นนี้”

“คุณหนูอย่าได้พูดเช่นนี้ พวกเราต้องไปจวนเจิ้นกั๋วกง หากท่านไม่แต่งตัวให้ดูงดงามหน่อย อย่าว่าแต่คุณหนูใหญ่ของพวกบ่าวจะไม่โปรดปราน วันข้างหน้า หากนายท่านและนายหญิงรู้เรื่องเข้า พวกบ่าวก็คงจะถูกลงโทษถึงปางตายเจ้าค่ะ”

คำพูดพวกนี้ก็ถือว่าเป็นความจริง ที่ผ่านมาตระกูลเหยาเป็นตระกูลที่เห็นแก่รูปลักษณ์หน้าตา ครั้งนี้ที่นางไปเยือนจวนเจิ้นกั๋วกง ไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนหน้าตาของฮูหยินน้อยสามแห่งจวนติ้งโหว อีกทั้งยังต้องเป็นตัวแทนหน้าตาของจวนตระกูลเหยาที่เป็นข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองอีกด้วย

หลังจากที่แต่งตัวเสร็จก็ไปหาเหยาเฟิ่งเกอก่อน เหยาเฟิ่งเกอเองก็ได้ดึงตัวนางไปมองตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วสั่งซานหู “ไปเอากำไลหยกของข้ามาที”

ซานหูขานรับ แล้วหันหลังพลางเดินออกไป ไม่นานจึงได้ยกหีบไม้สลักลายบุษบาเข้ามา จากนั้นเหยาเฟิ่งเกอก็เปิดออก ข้างในเป็นกำไลข้อมือหยกหนึ่งคู่ ผิวของหยกดูใสและเรียบเนียนยิ่งนัก แค่มองก็รู้แล้วว่ากำไลคู่นี้เป็นของหายาก หากเอาไปประมูลราคาในยุคปัจจุบัน เกรงว่าใช้เงินหลายแสนก็คงจะหาซื้อไม่ได้

เหยาเฟิ่งเกอเอาลูกประคำที่ทำจากไม้ประดู่ที่เหยาเยี่ยนอวี่สวมใส่ไว้ออก พลางยิ้มอ่อนแล้วพูดขึ้น “เหตุใดเจ้ายังอายุน้อย ถึงได้สวมใส่เครื่องประดับเช่นนี้ เจ้าไม่ได้สวดมนต์กินมังสวิรัติเสียหน่อย”

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่กล้าพูดว่านั่นคือของที่ระลึกเพียงชิ้นเดียวที่มารดาให้ตนไว้ ก่อนที่นางจะสิ้นใจ จึงปล่อยให้เหยาเฟิ่งเกอสวมใส่กำไลหยกคู่นั้นไว้ในมือซ้ายของตนเอง พอกำไลหยกทั้งสองอันกระทบกัน ทำให้เกิดเสียงหินกระทบที่ไพเราะจับใจ ฟังแล้วเสนาะหูยิ่งนัก