หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่ออกจากเรือนของเหยาเฟิ่งเกอ ก็เดินตรงไปเรือนของลู่ฮูหยิน หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่น้อมทำความเคารพลู่ฮูหยิน ก็ค่อยออกจากจวนพร้อมกับซูอวี้เหิง พวกนางสองคนพาสาวใช้และบรรดาผัวจื่อติดตามไปด้วย จากนั้นทั้งสองขึ้นรถม้าคันใหญ่ รถม้าที่ใช้ม้าสองตัวในการขับเคลื่อนก็ออกจากจวนโหวและมุ่งหน้าไปจวนเจิ้นกั๋วกง
ภายในรถม้า ซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่นั่งเคียงไหล่กัน สายตาพลันเหลือบไปเห็นกำไลหยกบนข้อมือของเหยาเยี่ยนอวี่ ซูอวี้เหิงจึงอดไม่ได้ที่จะดึงแขนของนางเข้ามาใกล้ แล้วมองดูอย่างละเอียด นางคลี่ยิ้มพลางพูดขึ้น “นี่เป็นกำไลหยกของพี่สะใภ้สามนี่ ข้าจำได้ดี ในงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซียว[1]ที่ไทเฮาทรงจัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว พี่สะใภ้สามสวมกำไลหยกนี้เข้าวังหลวงพร้อมกับท่านป้า แม้แต่ท่านป้ายังบอกว่ากำไลหยกนี้ล้ำค่ายิ่งนัก มาวันนี้พี่สะใภ้สามยกให้ท่าน เห็นได้ชัดว่าพวกท่านรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก นางช่างเอ็นดูพี่จริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มพลางพูดขึ้น “เป็นจริงตามนั้น พี่สาวของข้ารักและเอ็นดูข้าตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่ที่จวน ยามที่นางมีของล้ำค่าก็จะคอยเสียสละให้ข้ากับน้องสาม” ถึงอย่างไรเสียคำพูดไพเราะจับใจไม่ต้องแลกมาด้วยเงินทอง ยิ่งพูดให้มากก็ยิ่งดี การที่พี่น้องในตระกูลรักใคร่กลมเกลียวกัน อีกทั้งบุตรีภรรยาเอกและบุตรีอนุภรรยารักใคร่ปรองดองกันถือเป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนยินดี
รถม้าเคลื่อนผ่านถนนหน้าประตูจวนโหว จากนั้นเลี้ยวเข้าไปยังใจกลางเมืองหลวง
ซูอวี้เหิงเลิกม่านในรถม้าขึ้น นางมองไปด้านนอกพลางออกคำสั่ง “จอดรถม้าตรงหน้าโรงหลอมเหล็กหวังจี้สักประเดี๋ยวหนึ่งเถอะ”
เมื่อสาวใช้ได้ยินจึงรีบบอกกับคนขับรถม้า ซูอวี้เหิงจับมือเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ พลางยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ข้าสั่งให้พวกเขาทำกริชเล่มหนึ่ง นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว น่าจะเสร็จแล้วกระมัง อีกทั้งวันนี้เราผ่านมาพอดี พวกเราแวะรับกริชกันก่อนแล้วค่อยมุ่งหน้าไปจวนเจิ้นกั๋วกงเถอะ”
ความคิดของเหยาเยี่ยนอวี่จึงคล้อยตามไปด้วย นางจึงแย้มยิ้มพลางพยักหน้า
โรงหลอมเหล็กหวังจี้เป็นโรงหลอมเหล็กที่เก่าแก่ของเมืองหลวง กล่าวกันมาว่าทักษะการตีดาบนั้นสืบทอดกันมาตั้งแต่สามร้อยปีก่อน
รถม้าจอดลงตรงหน้าโรงหลอมเหล็ก ซูอวี้เหิงจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ และลงจากรถม้าพร้อมกัน บ่าวรับใช้จำนวนมากรออยู่ด้านนอก มีเพียงแม่นมและสาวใช้คนสนิทที่เดินติดตามเข้าไป
“ไอ้หยา น้อมทำความเคารพคุณหนูทั้งสองท่านขอรับ” เถ้าแก่เห็นแม่นางทั้งสองแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นดี จึงรีบค้อมตัวคำนับแล้วต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“เถ้าแก่ หลายวันก่อนข้าสั่งให้คนมาสั่งทำกริชเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าตอนนี้เสร็จหรือยัง” ซูอวี้เหิงเดินไปที่โต๊ะรับแขก นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทีเช่นนี้เคล้าไปด้วยเสน่ห์ของความเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ สมกับเป็นสตรีที่เติบโตภายใต้การดูแลขององค์หญิงต้าจั่งจริงๆ
“เสร็จแล้วขอรับ! เมื่อวานข้าน้อยจะให้คนไปส่งสารให้คุณหนูที่ตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง เพียงแต่เมื่อมีงานมากมายต้องสะสาง จึงลืมสนิท ข้าน้อยสมควรตายเสียจริง” เถ้าแก่ก่นด่าตนเองพร้อมกับหันหลังพลางเดินเข้าไปในเรือน เพื่อหยิบกริชให้ซูอวี้เหิง
ไม่นานเถ้าแก่ก็นำกริชเล่มหนึ่งออกมา นี่เป็นกริชที่มีความยาวเจ็ดชุ่น[2] ใบมีดขาวและแวววาวดุจหิมะ ด้ามจับห่อด้วยหนังสีส้มและประดับพลอยมรกต ลายดาบงามสง่ายิ่งนัก เพียงมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นงานฝีมือที่ประณีตบรรจง
ซูอวี้เหิงสังเกตกริชเล่มนี้อย่างละเอียด นางรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง จึงหันหลังแล้วบอกแม่นมให้ชำระเงิน แม่นมหยิบตั๋วเงินออกมาจากถุงบุหงาพลางยื่นให้กับเถ้าแก่ เถ้าแก่รับตั๋วเงินพร้อมกล่าวขอบคุณ
เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก จึงเอ่ยถามขึ้น “โรงหลอมของพวกเจ้ารับตีมีดขนาดเล็กหรือไม่ ข้าอยากได้ใบมีดขนาดที่เล็กประมาณนิ้วก้อย อีกทั้งต้องมีความคมกริบและไม่เกิดสนิมอีกด้วย”
เมื่อเถ้าแก่ได้ยิน จึงเอ่ยถามเสียงเบาอย่างฉงนสงสัย “ไอ้หยา หลังจากได้ยินคุณหนูพูดแล้ว มีดเล็กขนาดนั้นยังเรียกว่ามีดได้อีกหรือขอรับ หรือจะเป็นอาวุธลับพิเศษของตระกูลชาวยุทธ์”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้ “อาวุธลับอะไรกัน? ท่านฟังเรื่องเล่ามากเกินไปแล้วกระมัง สิ่งที่ข้าพูดถึงก็คือมีด ท่านมีกระดาษหรือไม่ ข้าสามารถวาดรูปร่างหน้าตาของมันให้ท่าน หากท่านทำได้สำเร็จ ข้าต้องให้ค่าตอบแทนไม่น้อยกับท่านแน่นอน”
ความปรารถนาของนางในตลอดเวลาที่ผ่านมา คือการมีชุดมีดผ่าตัดหนึ่งชุด ชาติภพที่แล้ว นางทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ก็เพื่อให้นางกลายเป็นศัลยแพทย์ด้านหัวใจที่เก่งกาจ การได้รับเกียรติว่าเป็นศัลยแพทย์ยอดฝีมือนั้นเป็นความปรารถนาของนางมาโดยตลอด แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบิน นางจึงต้องทะลุมิติมาที่นี่โดยที่ยังไม่ทันได้ทำมันสำเร็จ
ความเป็นจริงนั้น พวกแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ล้วนไม่ใช่ของมีค่าสำหรับเหยาเยี่ยนอวี่ ณ ช่วงเวลานี้หากผู้ใดสามารถหามีดผ่าตัดนำเข้าจากประเทศเยอรมันมาให้นางได้ แล้วขอให้นางเปิดเผยสรีระให้ดู บางทีนางอาจจะผงกศีรษะด้วยความยินยอม
เถ้าแก่นำกระดาษและพู่กันออกมา เหยาเยี่ยนอวี่วาดรูปร่างหน้าตาของมีดผ่าตัดจำนวนหนึ่งชุดให้เถ้าแก่ดู จากนั้นอธิบาย “สิ่งที่ข้าวาดเป็นขนาดจริง ข้าต้องการมีดที่เล็กเท่านี้ อีกทั้งปลายมีดต้องคมอย่างมากด้วย”
ขณะที่คนทางนี้กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงข้างนอกประตู จากนั้นชายหนุ่มร่างสูงกำยำสามถึงห้าคนกำลังเดินเข้ามา
“เถ้าแก่!” ด้านหลังของพวกนางมีเสียงร้องตะโกนดังขึ้น น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง “ของของท่านแม่ทัพ พวกเจ้าทำเสร็จแล้วหรือยัง”
จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเย็นวูบด้านหลัง รู้สึกราวกับกำลังถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง ขนทั้งเรือนร่างของนางลุกชันขึ้นมา
พวกเขามีกันทั้งหมดสี่คน ชายที่อยู่ด้านหน้าสุดมีเรือนร่างสูงผอม ไหล่กว้างและเอวคอด เขาสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีเทาหม่นน้ำตาล สวมรองเท้าหุ้มข้อหนังกวางสีน้ำตาลอมเหลือง ใบหน้าน่าเกรงขามสีผิวข้าวสาลี หน้าผากกว้าง คางทรงเหลี่ยมมีตอเคราสีเขียวจางๆ โหนกคิ้วลึกชัด ตัดกับแววตาเย็นยะเยือกดุจคมดาบ ผมยาวสลวยเกล้าขึ้นโดยใช้ปิ่นไม้มะฮอกกานีตรึงไว้ ทำให้มีไรผมร่วงหล่นลงข้างหน้าผากอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มความรู้สึกเกเรขึ้นมาเล็กน้อย
บุรุษผู้นี้ก็คือทหารที่ขี่ม้าตามหลังเฉิงอ๋องซื่อจื่อ เมื่อครั้นกลับมาจากการชนะสงครามไม่ใช่หรือ!เหยาเยี่ยนอวี่พลันรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ พอนึกถึงต่างหูหยกที่ถูกซูอวี้เหิงเกี่ยวจนร่วงหล่นลงไป และนึกถึงแววตาที่มองทะลุทะลวงหัวใจคู่นั้น จึงอดถอยไปหลบด้านหลังไม่ได้ นางครุ่นคิดในใจว่าบุรุษผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน จึงไม่อาจกระตุ้นโทสะเขาได้ จำเป็นต้องอยู่ห่างเขาไว้
เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปหลบอยู่ข้างกายซูอวี้เหิง ทันใดนั้น ซูอวี้เหิงจึงได้สติกลับมา
นางที่เป็นคุณหนูเติบโตในตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง ซูอวี้เหิงถูกอบรมสั่งสอนให้มีนิสัยผดุงความยุติธรรมและตรงไปตรงมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งวันนี้นางเป็นคนพาเหยาเยี่ยนอวี่ออกมา ในสายตาของนาง เหยาเยี่ยนอวี่ถือเป็นแขกของนาง หากผู้ใดในเมืองหลวงกล้ารังแกเหยาเยี่ยนอวี่ต่อหน้านาง เท่ากับว่าพวกเขากำลังหยามเกียรติของนางและตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง
หากทนได้ก็จะทน หากทนไม่ได้ก็จะไม่ทนด้วยเหตุนี้คุณหนูซูจึงถลึงตาแล้วถามขึ้น “เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงกล้าไร้มารยาทเช่นนี้! “
ซูอวี้เหิงที่งดงามดั่งบุปผาหยกน้ำงาม กำลังจับจ้องชายหนุ่มผิวเข้มเปี่ยมพละกำลังทั้งสี่ตรงหน้านางด้วยแววตาโกรธเคือง แม้นจะแลดูน่าขบขัน ทว่าดวงหน้าเล็กๆ ของนางที่เคร่งเครียดและสีหน้าที่ดุดันนั้น กลับสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
นี่ก็ไม่อาจโทษนางที่ทำตัวหยิ่งผยองทะนงตัว นางเติบโตมากับองค์หญิงต้าจั่งตั้งแต่เล็ก แม้ไม่อาจพูดได้ว่าสนิทสนมกับบรรดาอ๋อง โหว กง ปั๋วและบรรดาซื่อจื่อหรือคุณชายในจวนต่างๆ ทว่าอย่างน้อยนางก็สามารถขานนามทุกคนออกมาโดยตรง อีกทั้งติ้งโหวและซูอวี้ผิงเองก็มีความสามารถด้านการรบ และนำทัพออกรบเป็นประจำ จึงทำให้นางรู้จักกับเหล่าขุนศึกขุนพลในเมืองหลวงมากมาย
แม้นคนตรงหน้าจะมีหน้าตาที่หล่อเหลา ท่าทางก็น่าเกรงขาม แต่ซูอวี้เหิงไม่รู้จัก นางจึงคิดว่าไม่น่าจะใช่ผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง อีกทั้งการที่บุรุษตัวโตจ้องสตรีที่อยู่แต่ในเรือนด้วยแววตาดุดันเช่นนี้ ถือว่าเป็นพฤติกรรมซึ่งไร้มารยาทอย่างยิ่ง ดังนั้นการที่คุณหนูซูจะต่อว่าเขาก็ถือเป็นเรื่องที่สมควร
อย่างไรก็ตาม พอซูอวี้เหิงแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีไม้ไผ่และพกดาบคู่ใจเล่มยาวจึงพูดด้วยความไม่พอใจ “เด็กผู้หญิงอย่างเจ้า พูดจากับท่านแม่ทัพเซ่าของพวกเราเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
“ช้าก่อน ช้าก่อน…” เถ้าแก่โรงหลอมเหล็กไม่อาจทนเห็นลูกค้าทะเลาะกันในร้านของเขาได้ จึงรีบพูดไกล่เกลี่ย “ท่านแม่ทัพเว่ยเซ่า อย่าได้โกรธเคืองเลยขอรับ คุณหนูท่านนี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล นางเป็นคุณหนูสามแห่งจวนติ้งโหว” ขณะที่พูดนั้น เถ้าแก่ก็หันไปมองซูอวี้เหิงพลางอธิบาย “คุณหนูอย่าโกรธเคืองเลยขอรับ แม่ทัพเว่ยเซ่าของพวกเราประจำการต่างแดนตลอดทั้งปี เมื่อหลายวันก่อนเพิ่งกลับมาพร้อมกับแม่ทัพผิงซี การที่ไม่รู้จักคุณหนูนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ท่านทั้งหลายได้โปรดเห็นแก่หน้าของจวนกั๋วกงเถอะ อย่าได้มีเรื่องบาดหมางกันเลยขอรับ”
[1]เทศกาลหยวนเซียว เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
[2][2] ชุ่น คือหน่วยวัดความยาวของจีน ซึ่งเท่ากับ 3.34 เซ็นติเมตร