บทที่ 8

 

 

คำสั่งของเจ้าตระกูลคือให้ฟีเรนเทียได้เข้าร่วมคลาสเรียน

 

แต่การทำตามคำสั่งโดยที่ยังไม่ได้ลงมือตรวจสอบด้วยตัวเองนั้น มันทำให้เครย์ลีบันรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

 

เด็กอายุเจ็ดขวบกลับอ่านหนังสือแบบนั้นได้น่ะหรือ

 

หรือแม้แต่ชายชราผู้เลือดเย็นคนนั้น ต่อหน้าหลานสาวก็ยังกลายเป็นเพียงแค่มารดาตัวเม่นที่ไม่ว่าลูกของมันจะมีหนามแหลมทิ่มแทงตัวเองอย่างไร มันก็ยังคงรักและเอาใจลูกตัวเองอยู่เสมอ

 

เครย์ลีบันเคาะประตูห้องที่แคลอฮันกับฟีเรนเทียใช้งานอยู่พลางครุ่นคิด

 

เขารับคำทักทายของแคลอฮันที่กำลังตกอกตกใจ พอเข้าไปข้างในก็พบว่าฟีเรนเทียกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมหนึ่งของห้องรับรอง

 

เด็กคนนั้นกำลังอ่านหนังสือปกเขียวเรื่อง <ผู้คนทางใต้> คล้ายกับตั้งใจจะให้เขาเห็น

 

‘เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะอ่านหนังสือได้จริงๆ’

 

เครย์ลีบันไม่เชื่อคำพูดของรูลลักตั้งแต่แรกแล้วเขาไม่คิดที่จะเสี่ยงเพิ่มเด็กอายุเจ็ดขวบที่ไม่รู้อะไรเลยเข้ามาอีกคน เพื่อมาทำลายบรรยากาศคลาสเรียนที่เขาทุ่มเทหรอกนะ

 

วันนี้เขาตั้งใจจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าฟีเรนเทียก็แค่อ่านหนังสือเล่มนั้นเหมือนหนังสือภาพ จะได้กลับไปเกลี้ยกล่อมท่านเจ้าตระกูลให้เปลี่ยนใจ

 

“เทีย มานี่สิ”

 

ฟีเรนเทียปิดหนังสือลง ก่อนจะเดินเข้ามาหาตามเสียงเรียกของแคลอฮัน

 

นางเป็นเด็กที่มีผมสีน้ำตาลสุขภาพดีถูกมัดรวบไว้ด้วยโบแก้มสีแดงเรื่ออ้วนยุ้ยเล็กน้อยตามเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเด็กน้อย

 

แค่เทียบกับภาพลักษณ์แล้ว ฟีเรนเทียยังดูเด็กมากเกินไปโดยเฉพาะภาพยามนั่งลงบนตักของบิดาแบบนั้น

 

แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง

 

มีบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเครย์ลีบันที่แข็งกระด้างกลับสั่นไหวขึ้นมา มันคือความฉลาดเฉลียวที่เต็มเปี่ยมอยู่ข้างในนัยน์ตาสีเขียวสว่างใสที่ถอดแบบมาจากแคลอฮันผู้เป็นบิดา จะมีเด็กอายุเจ็ดขวบสักกี่คนเชียว ที่กล้ายิ้มแย้มไม่หลบตาของผู้ใหญ่แปลกหน้าที่จงใจจ้องหน้าตัวเองแบบนี้

 

“…สุดท้ายก็”

 

สมควรแล้วที่ท่านเจ้าตระกูลจะมองเด็กคนนี้แล้วบอกว่ามีสายเลือดเข้มข้นของท่าน

 

มั่นใจได้อย่างหนึ่งเลยว่า ฟีเรนเทียมีนิสัยคล้ายกับรูลลักผู้เป็นปู่มากกว่าบิดา

 

แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นแค่เด็ก

 

ต่อให้บอกว่า พอจะมองเห็นได้ว่าในอนาคตจะเป็นคนใจกว้างและแกร่งกล้าแต่เรื่องนั้นมันก็ยังเป็นคนละเรื่องกับการสันนิษฐานว่ามีสมองอัจฉริยะขนาดอ่านหนังสือวิชาการได้ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ

 

ทว่าความคิดเช่นนั้นของเครย์ลีบันก็ค่อยๆ แตกเป็นเสี่ยงตั้งแต่เริ่มสนทนากับฟีเรนเทีย

 

“เพิ่งจะอ่านไปได้แค่นิดเดียวแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนมหัศจรรย์ที่รวมตัวกันอาศัยอยู่ในป่าลึกทางใต้ของอาณาจักรค่ะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาเหล่านั้น”

 

เด็กคนนี้ ช่างน่าตกใจจริงๆ ที่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาของหนังสือได้อย่างแม่นยำแต่เรื่องพวกนี้อาจจะไปได้ยินมาจากใครก็เป็นได้

 

เครย์ลีบันคิดเช่นนั้นในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะไม่แสดงความตื่นตระหนกออกไป

 

“ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือใครครับ”

 

“ตรงหน้าปกก็เขียนไว้ว่า ‘โรพิลลี่’ นี่คะ?”

 

“เนื้อหาหน้าแรกพูดถึงอะไรครับ”

 

“คนที่ชื่อโรพิลลี่เล่าว่าไปได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับผู้คนทางใต้มาได้ยังไงค่ะ”

 

“อืม…”

 

แต่ถึงแม้จะถามคำถามต่อไปเรื่อยๆ ฟีเรนเทียก็ยังคงตอบได้อย่างคล่องแคล่ว ทำเอาเขาพูดอะไรต่อไม่ออก

 

หรือว่าเด็กคนนี้จะอ่านจนเข้าใจทุกอย่างจริงๆ

 

ทว่าความตื่นตกใจของเครย์ลีบันยังไม่จบลงแค่นั้น

 

“โรพิลลี่ไม่ใช่ ‘เขา’ แต่เป็น ‘นาง’ ต่างหากล่ะคะ”

 

“ครับ?”

 

“ดูจากคำนำด้านหน้าก็มีพูดเอาไว้นี่ค่ะชื่อเต็มคืออาวาเน่โรพิลลี่เป็นนักวิชาการหญิงค่ะ”

 

นี่เขากำลังถูกฟีเรนเทียที่ยังเล็กมากชี้แนะประเด็นที่ผิดหรือเนี่ย

 

หนังสือ <ผู้คนทางใต้> เป็นหนังสือที่เขาเคยอ่านเมื่อนานมาแล้วก็จริง แต่มันคือความผิดพลาดที่เขาไม่เคยรู้เลยว่านักเขียนหรือผู้บรรยายอย่างโรพิลลี่เป็นผู้หญิงมันคือผลลัพธ์ของความสะเพร่าที่คิดแค่ว่าคนที่จะเขียนหนังสือวิชาการชื่อดังเช่นนี้ได้ ย่อมต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน

 

เครย์ลีบันหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เมื่อตระหนักได้ว่าเขาทำพลาดต่อหน้าฟีเรนเทียที่มองเขาด้วยนัยน์ตากลมโตใสแจ๋วอยู่

 

“ไหนว่าอ่านจบแล้วไงคงจะแค่อ่านคร่าวๆ สินะ”

 

สุดท้ายก็ต้องถูกเด็กตัวเล็กๆ ล้อเลียนใส่จนได้

 

แต่แล้วในตอนที่คิดว่าภาพยามกระตุกยิ้มมุมปากนั่นช่างดูคุ้นเคยมากเหลือเกิน เครย์ลีบันก็ขมวดคิ้วแน่น

 

เด็กคนนี้ เหมือนกับท่านเจ้าตระกูลมากจริงๆ

 

นี่มันถอดแบบมายันใบหน้าที่ยิ้มแย้มทั้งๆ ที่เก็บซ่อนความในใจเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยนเลยไม่ใช่เหรอไง

 

“ตั้งแต่วันเสาร์หน้ามาเข้าคลาสเรียนด้วยนะครับ”

 

หลังจากนั้นเครย์ลีบันที่เดินออกมาจากห้องของแคลอฮันก็หลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

“ทั้งๆ ที่คิดอยู่ว่าควรจะเปลี่ยนงาน เพราะไอ้ตำแหน่งสอนหนังสือนี่มันต่ำเกินไป แต่ลองสอนต่ออีกหน่อยดูดีมั้ยนะ”

 

ถ้าหากเป็นเด็กคนนั้น การเรียนการสอนอาจจะมีรสชาติมากขึ้นหน่อยก็ได้

 

ในที่สุดแรงบันดาลใจที่หดหายไปเสียนานก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เขารีบกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง เพื่อเตรียมเนื้อหาการสอนคลาสถัดไป

 

 

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราออกไปปิกนิกที่สวนข้างหน้านี่กันดีมั้ย ไม่ได้ปิกนิกกันนานแล้วนะ?”

 

ท่านพ่อที่ใช้เวลายามบ่ายไปอย่างเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็เสนอความคิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

 

“ห่อเค้กกับคุกกี้แสนอร่อยที่เทียชอบไปเยอะๆ แล้วออกไปอาบแดดกันหน่อยดีกว่า อา ก่อนหน้านั้นแวะไปหาดอกเตอร์โอมัลลี่สักครู่ด้วยก็น่าจะดีนะ”

 

อาฮะ

 

จุดประสงค์ที่แท้จริงของท่านพ่อ มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้ว

 

คงจะคิดว่าเธอไม่อยากไปโรงแพทย์ ถึงได้ตั้งใจจะเอาปิกนิกที่เต็มไปด้วยของอร่อยมาหลอกล่อกันสินะ

 

ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ตามที่ดอกเตอร์โอมัลลี่เคยบอกเอาไว้แล้วนี่เอง

 

ฟีเรนเทียคิดว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกินในขณะที่พยักหน้าตกลง ท่านพ่อยิ้มกว้าง รีบเคลื่อนไหวก่อนที่เธอจะเปลี่ยนใจ พอเห็นตะกร้าปิกนิกที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่วางแผนเอาไว้แล้วล่วงหน้า ท่านพ่อของเธอช่างน่ารักจริงๆ เลยเชียว