บนถนนสายนั้น เธอจับมือท่านพ่อเดินมุ่งหน้าตรงไปยังโรงแพทย์ของดอกเตอร์โอมัลลี่

 

ข้างในห้องรักษาคนไข้ที่ถูกเปิดออกเสียงดังครืด นอกจากดอกเตอร์โอมัลลี่แล้วยังมีคนอื่นอยู่อีกหนึ่งคน

 

“อ๊ะ?”

 

หญิงสาวผมบลอนด์ที่กำลังพยักหน้ารับคำชี้แนะจากดอกเตอร์มีอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ได้

 

“มาแล้วหรือครับ”

 

ถึงแม้ดอกเตอร์โอมัลลี่จะเอ่ยทักทายกับเธอ แต่นัยน์ตาของเธอก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ผู้หญิงคนนั้นโดยไม่ละสายตา

 

พอท่านพ่อที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นสายตาของเธอเอ่ยถามออกไปว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบเสียงแหลม ท่าทางจะตกใจพอควร

 

“ละ…ลูกศิษย์ของดอกเตอร์โอมัลลี่ เอสทีร่าค่ะ”

 

ดูไม่น่าทึ่มขนาดนั้นแท้ๆ

 

สงสัยคงจะกำลังตื่นตระหนกที่บุตรชายของเจ้าตระกูลเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนละมั้ง

 

“เอาละ งั้นมาดูข้อมือกันหน่อยนะครับ?”

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่ยิ้มพลางเดินเข้ามาหาเธอ

 

แต่เธอพลิกตัวเข้าซุกอ้อมกอดของท่านพ่อ หลบมือของดอกเตอร์ที่ยื่นมาหา

 

“เทีย?”

 

“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าจู่ๆ จะถูกคุณหนูกีดกันเสียแล้วละครับเนี่ย”

 

ท่านพ่อเองก็ดูจะตกใจกับการกระทำที่ไม่สมกับเป็นเธอเลยอยู่เหมือนกัน

 

“เทียของพ่อทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ กลัวเหรอ”

 

เธอส่ายหน้าหวือ ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“พี่สาวคนนั้น…”

 

“หืม? พูดอีกครั้งซิ เทีย”

 

“ให้พี่สาวคนนั้นทำให้นะคะ”

 

คำพูดของเธอทำให้ทั้งสามคนต่างก็ตกใจกันถ้วนหน้า

 

คนที่ทำลายความเงียบกระอักกระอ่วนที่ไหลเวียนทั่วห้องอยู่ครู่หนึ่งก็คือดอกเตอร์โอมัลลี่ตามคาด

 

“ดูเหมือนคุณหนูจะถูกใจเอสทีร่านี่เอง ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ให้เอสทีร่าช่วยทำแผลให้ก็แล้วกันครับ”

 

“แต่ว่า…”

 

“เอสทีร่าเป็นเด็กที่เก่งมากในบรรดาลูกศิษย์ของข้า เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ข้าเองก็จะคอยดูอยู่ข้างๆ แบบนั้นคงไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ คุณหนูฟีเรนเทีย”

 

เธอพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเอสทีร่า แล้วยื่นข้อมือข้างที่บาดเจ็บออกไป

 

“อาถะ…ถ้าอย่างนั้นสักครู่”

 

เอสทีร่าคลายผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบข้อมือของเธอออกอย่างระมัดระวัง ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังคงขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความตื่นตระหนก

 

ดูท่าทางอีกฝ่ายคงจะตื่นเต้นมากจริงๆ ปลายนิ้วถึงได้สั่นระริกแบบนี้

 

ฟีเรนเทียรู้สึกผิดที่ทำให้หญิงสาวตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอเลยเป็นฝ่ายชวนคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

 

“พี่สาวชื่อเอสทีร่าหรือคะ”

 

“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ”

 

“ข้าชื่อฟีเรนเทีย ส่วนพ่อของข้าชื่อแคลอฮันค่ะ”

 

“ระ…เหรอคะ”

 

ในเมื่อเป็นคนที่ทำงานในลอมบาร์เดีย ก็ย่อมต้องรู้จักชื่อของพวกเราแน่นอนอยู่แล้ว แต่การแนะนำตัวเองอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

 

เพื่อให้เอสทีร่าสามารถจดจำพวกเราได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

 

“พี่สาวเรียนอะไรจากดอกเตอร์เหรอคะ”

 

“ข้ากำลังศึกษาเรื่องพืชสมุนไพรค่ะ”

 

“เห ถ้าอย่างนั้นพี่สาวเองก็ตั้งใจจะเป็นคุณหมอเหรอคะ”

 

“ค่ะ ถึงจะยังห่างไกลนักก็เถอะ”

 

คงเป็นเพราะเธอเอาแต่พูดเจื้อยแจ้ว ความเครียดของเอสทีร่าถึงได้ดูคลายตัวลงไปบ้างระดับหนึ่ง

 

“อาการบวมทุเลาลงมากแล้ว น่าจะเปลี่ยนตัวยาได้แล้วละค่ะ ท่านอาจารย์”

 

“อืม นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นก็ไปเอาสารสกัดหญ้าซาคอสมาเถอะ”

 

คำพูดของดอกเตอร์โอมัลลี่ทำเอาเธอขมวดคิ้วแน่น

 

เธอทราบดีอยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องใช้ยาดีจึงไม่กังวลอะไรนัก แต่เธอเป็นห่วงเรื่องรสชาติของมันเนี่ยสิ

 

ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหนล่ะ

 

ของเหลวสีเขียวอมเหลืองที่เอสทีร่าหยิบมา มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคงจะขมน่าดู

 

“กินนี่สิ เทีย”

 

ท่านพ่อยื่นคุกกี้ที่พกมาด้วยในตะกร้าปิกนิกราวกับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว

 

เธอยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับคุกกี้ขนาดใหญ่สามชิ้นมาถือไว้ในทันที

 

อึก

 

ฝืนกลืนยารสขมปี๋จนทำให้สั่นสะท้านไปทั่วร่างลงไปในอึดใจเดียว ก่อนที่จะยัดคุกกี้ใส่ปากตามไปอย่างรวดเร็ว

 

และคุกกี้ที่เหลืออีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเธอยื่นให้กับดอกเตอร์โอมัลลี่

 

“โอ้ๆ ขอบคุณครับ คุณหนู!”

 

ดอกเตอร์อุทานด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ยัดคุกกี้ทั้งชิ้นใส่เข้าปาก

 

ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งชิ้น

 

“พี่สาว กินสิ”

 

นัยน์ตาของเอสทีร่าเบิกกว้างเมื่อเห็นคุกกี้ที่เธอยื่นไปให้ตรงหน้า

 

“ขะ…ข้า…”

 

“ช่วยทำแผลให้ข้านี่คะ อร่อยนะ”

 

เอสทีร่าที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็รับคุกกี้ไปถือไว้ด้วยสองมือ

 

“เอาละ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเลยดีมั้ย”

 

ท่านพ่ออุ้มเธอขึ้นพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง

 

“ไปก่อนนะคะ”

 

เธอบอกลาดอกเตอร์โอมัลลี่ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของท่านพ่อ มองออกไปไกลก็เห็นเอสทีร่าที่ก้มหน้านิ่งมองดูคุกกี้ที่เธอให้

 

“พี่สาว บ๊ายบาย!”

 

พอเธอส่งเสียงตะโกน นางก็สะดุ้งตกใจโค้งศีรษะมาทางเธอ ส่วนเธอก็ยังคงโบกมือให้ไม่หยุด

 

ครั้งหน้าจะลองตื๊อขอให้ช่วยพามาหาเอสทีร่าดีมั้ยนะ เพราะยังไงก็ต้องเจอหน้ากันบ่อยๆ เพื่อที่จะได้สนิทสนมกันให้ได้มากขึ้นอยู่ดี

 

 

“ฮืม ฮื้มมมม”

 

ฟีเรนเทียพาดแขนไว้บนขอบหน้าต่าง รับสายลมเย็นสบาย ฮัมเพลงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

 

“วันนี้ดูอารมณ์ดีจังเลยนะ ตื่นเต้นที่พรุ่งนี้จะได้เข้าเรียนวันแรกหรือ”

 

ก็นะ เรื่องนั้นก็มีส่วนนิดหน่อยค่ะ

 

พอเธอมองท่านพ่อพลางส่งยิ้มให้ ท่านก็ยิ้มตามเธอไปด้วย

 

หลังจากนั้นไม่นานก็หันกลับไปทำงานที่ตัวเองทำค้างไว้ ขยับมือขีดเขียนอะไรบางอย่าง

 

เธอเองก็หันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง

 

ท้องฟ้าแจ่มใสเสียจนราวกับว่าฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องจนถึงเมื่อวานเป็นเรื่องโกหก รู้สึกได้ว่าแม้แต่อากาศเองก็สะอาดขึ้นมาอีกระดับ

 

ฟีเรนเทียสูดลมหายใจเข้าลึกตามใจอยาก ราวกับสายลมที่พัดผ่านเข้ามาถูกเธอดื่มเข้าปอดไปจนหมดสิ้น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก เธอก็เห็นรถม้าติดธงกลุ่มการค้าคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาในคฤหาสน์

 

เธอกระตุกยิ้มพึมพำเสียงแผ่ว

 

“มาแล้วสินะ”