บทที่ 22 หยกแขวน

คิดได้ดังนั้น จางซิ่วเอ๋อก็ตัดสินใจว่าจะตามใจตัวเองแล้วไปดูซะหน่อย

ตอนนี้บนเขาก็ไม่มีใคร ทุกคนล้วนกลับไปกินข้าวกันหมดแล้ว มีแต่เด็กตระกูลจางอาภัพไม่มีข้าวเที่ยงกินเท่านั้น แล้วยังต้องทำงานอีก

จางซิ่วเอ๋อรำพึงว่าตัวเองแค่ไปดูครู่เดียวเท่านั้น ถ้าคน ๆ นั้นตายแล้วจะรีบกลับมา

ถ้าคน ๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น แปลว่าเขาไปแล้ว หรือไปตายอยู่ตรงอื่น ซึ่งนั่นก็ยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเอง

จางซิ่วเอ๋อชำเลืองมองซานหยา “ซานหยา ข้าจะไปหาดูว่ามีไข่ไก่ป่าไหม เจ้าตัดหญ้าไปก่อนนะ”

จางซานหยาไม่ได้สงสัยอะไร จึงรับคำ “ไปเถอะพี่ใหญ่” พลันนึกไปถึงไข่ไก่ย่างที่ตัวเองเคยกินแล้วก็รู้สึกน้ำลายไหล แต่เมื่อเช้านางกินไปไม่น้อย ต่อให้ตอนนี้นึกถึงของอร่อยแล้วอยากกินอยู่บ้าง ก็ไม่ได้รู้สึกหิวมากนัก

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อเดินไปยังกองหินที่ตัวเองวางคนชุดดำไว้อย่างฉับไว

ก้านไม้ที่นางตั้งไว้ยังอยู่ แต่คนหายไปแล้ว

จางซิ่วเอ๋อเห็นดังนั้นก็อดโล่งใจไม่ได้ โชคดีที่คน ๆ นี้ไม่อยู่แล้ว ถ้าเขาตายอยู่ที่นี่จริง ๆ แล้วทางการรู้เข้าขึ้นมาจะยุ่งเอา แต่ก็ไม่รู้ว่ายุคนี้มีนักสืบเก่ง ๆ หรือเปล่าที่หาเบาะแสที่เชื่อมโยงมาถึงตัวเองได้

ต่อให้ถึงตอนนั้นพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง แต่ไปเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมแบบนี้ ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีนัก

จางซิ่วเอ๋อแหวกก้านไม้ออก ตั้งใจจะทำลายตรงนี้ให้หมด จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าที่นี่เคยมีคนซ่อนตัว

จางซิ่วเอ๋อเพิ่งจะยกก้านไม้ออกก็เห็นเหมือนมีบางสิ่งวางอยู่ในซอกระหว่างหินสองก้อน

นางยื่นมือไปจับและหยิบออกมา

พอส่องกับแดดดู ก็เห็นว่าเป็นหยกขาวเนื้อดีมาก

เนื้อหยกขาวมีด้ายถักร้อยเอาไว้ บนด้ายถักมีเม็ดสีเขียวขจีร้อยไว้หลายเม็ด ดูก็รู้ว่าราคาไม่เบา

ต่อให้เป็นตอนอยู่ยุคปัจจุบัน จางซิ่วเอ๋อก็ไม่เคยได้จับของดีขนาดนี้ เคยเห็นตามตู้ขายเครื่องประดับเพชรพลอยอยู่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น

แต่เห็นได้ชัดว่าหยกขาวชิ้นนี้คุณภาพดีกว่าหยกทุกชิ้นที่นางเคยเห็นมาก่อนหน้านี้

พอวางไว้ในมือก็รู้สึกได้ถึงความเย็น ราวกับมีไอเย็นแผ่ออกมา

หยกอุ่นถึงจะแพง แต่ก็เห็นได้ทั่วไป ชิ้นนี้ต่างจากหยกทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ถ้าจะต้องบรรยายก็เป็นหยกเย็นอย่างแน่นอน

ของประหลาดแบบนี้จางซิ่วเอ๋อไม่เคยเห็นมาก่อน

แต่แล้วจู่ ๆ นางก็มือสั่น กลัวว่าตัวเองจะทำหยกนี่ตกแตกเสียก่อน

นางจึงกำหยกขาวชิ้นนี้ไว้แน่นทันที

ของดีขนาดนี้ ไม่มีทางจะเป็นของคนในหมู่บ้านชิงสือเป็นแน่ ต่อให้ใครมีของดีก็ไม่มีทางพกขึ้นเขา แล้วยังมาอยู่ที่นี่อีก เห็นได้ชัดว่าเป็นของชายชุดดำ

แต่ทำไมหยกนี่ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?

ชายชุดดำลืมไว้เหรอ? หรือว่าชายชุดดำตั้งใจทิ้งไว้ให้ตัวเอง?

ตอนชายชุดดำจากไป เหมือนเขาจะตั้งใจปิดตรงนี้ไว้ ต่อให้มีคนเดินผ่านก็จะไม่พบหยกชิ้นนี้ นอกจากตัวเอง และถึงจะค้นแถบนี้ดูอย่างละเอียดก็ตาม…..

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าเป็นไปได้สูงมาก

แต่นางก็ไม่มั่นใจนัก กลัวว่าจะเป็นการเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

นางคิดไปคิดมา แล้วก็ตกสู่ความสับสนอย่างหนักหน่วง นางจะทำอย่างไรดี?

จางซิ่วเอ๋อยืนอยู่ตรงนี้อยู่พักใหญ่ และครู่หนึ่งก็พลันได้สติ ตัวนางจะทำอะไรได้?

ไม่ว่าของชิ้นนี้จะให้ถูกทิ้งไว้ตัวเอง หรือชายชุดดำทิ้งไว้เพื่อตอบแทนที่ตัวนางเองช่วยชีวิต นางก็ทิ้งของชิ้นนี้ไว้ที่นี่ไม่ได้

ทิ้งของแบบนี้ไว้ที่นี่ ถ้าใครมาเห็นเข้าเอาไปแล้วก็เอาไปเลย นางไม่คิดว่าทุกคนจะใจดีเก็บของชิ้นนี้ไว้ รอให้ชายชุดดำมาหาหรอก

คิดได้ดังนี้ จางซิ่วเอ๋อก็เก็บหยกไว้กับตัว

ชีวิตนางในตอนนี้ค่อนข้างอัตคัด เอาหยกแขวนแบบนี้ไปจำนำก็เพียงพอจะให้นางมีชีวิตสุขสบายที่ยุคโบราณแล้ว แต่จางซิ่วเอ๋อไม่อยากทำแบบนั้น

ไม่ใช่ว่านางมีคุณธรรมสูงส่งนักหรอก ที่คิดจะคืนให้เจ้าของเดิม

ต่อให้นางรู้ว่าคน ๆ นั้นทิ้งของชิ้นนี้ให้เป็นการขอบคุณ ก็ไม่เอาไปจำนำง่าย ๆ หรอก

ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าชายชุดดำเป็นใคร แต่เห็นได้ชัดว่าตอนชายชุดดำปรากฏตัวที่นี่ไม่ใช่เพราะสัตว์ป่า แผลดาบบนตัวพิสูจน์ได้ว่าชายชุดดำถูกไล่ฆ่า ถึงได้มีสภาพเช่นนี้

แล้วมันหมายความว่าอะไร

หมายความว่าต่อให้ตัวชายชุดดำเองไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่ก็มีคู่แค้นที่เลวร้ายสุด ๆ

จางซิ่วเอ๋อไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว

บอกตามตรง นางยอมไม่เคยเห็นหยกแขวนชิ้นนี้ยังจะสบายใจซะกว่า

นางมองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใครดูว่าเมื่อกี้นางทำอะไร จึงเดินจากมาอย่างรวดเร็ว

บ้านผีสิงที่นางอาศัยอยู่ในตอนนี้อยู่ในป่าใต้ตีนเขานี่ หญ้าและผักป่าที่ตัดมาตอนเช้า จางซิ่วเอ๋อเอามาไว้ในบ้านผีสิงทั้งหมด

จางชุนเถาล้างผักจนสะอาดแล้ว แป้งข้าวโพดก็บดจนละเอียด ดูท่าพร้อมลงหม้อแล้ว

จางซิ่วเอ๋อรีบบอก “เจ้าไปเล่นกับซานหยาเถอะ ที่เหลือข้าทำเอง”

จางชุนเถาเอ่ย “พี่ยุ่งมาทั้งวันแล้ว พี่คงเหนื่อยแย่ ข้าทำกับข้าวเองน่า”

จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าทำกับข้าวเอง ทำอร่อยกว่าเจ้าแน่”

จางซิ่วเอ๋อกวาดตามองเนื้อสุกที่จางชุนเถาเอาออกมา มีเพียงชิ้นเล็ก ๆ ไม่กี่ชิ้น ดูออกว่าจางชุนเถาเสียดายไม่กล้าใส่เยอะ

เนื้อที่แทะออกจากกระดูกนั่นได้เกือบครึ่งกะละมังเลยนะ อากาศก็เริ่มร้อนแล้ว นอกจากเจ้านี่แล้วที่บ้านก็ยังมีเนื้ออีก 2 ชั่ง ถ้าไม่รีบกินพอถึงเวลาต้องเสียแน่

แต่ก็แน่แหละ จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าในหมู่บ้านตามป่าตามเขาแบบนี้ ต่อให้เนื้อเสียก็ไม่ยอมทิ้งหรอก

แต่นางไม่อยากกินเนื้อที่เสียแล้ว ช้าเร็วก็ต้องกิน ทำไมไม่กินที่สดใหม่ล่ะ?

จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมา จึงหยิบเอาเนื้อเกือบครึ่งกะละมังออกมา นางตั้งใจจะผัดเยอะหน่อย ถ้ากินไม่หมด กลางคืนไปอุ่นแล้วค่อยกินต่อก็ได้ ประหยัดแรงไปเยอะ

เปรี๊ยะ…

พอราดน้ำมันลงกระทะ มันก็ส่งเสียงดังทันที

ตอนจางซิ่วเอ๋อทำความสะอาดสวนก็เจอต้นหอมด้วย นางจึงสับละเอียดและโยนเข้าไปในกระทะ

จากนั้นก็เอาเนื้อลงกระทะ รอจนเนื้อส่งกลิ่นหอม ค่อยเอาผักป่าลงกระทะ

ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็ตลบอบอวลไปทั้งสวนบ้าน

นางตักกับข้าวในกระทะออก ใส่น้ำลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็วางแผ่นแป้งที่ทำจากแป้งข้าวโพดลงไป

บอกตามตรง ช่วงนี้จางซิ่วเอ๋อคิดถึงข้าวกับแป้งขาวจริง ๆ

สมัยที่อยู่ยุคปัจจุบัน กินข้าวกินแป้งจนเบื่อ บางทียังนึกอยากกินพวกธัญพืช แต่พอมาถึงยุคโบราณ กลับตรงกันข้ามทั้งสิ้น