ตอนที่ 23 ไปเป็นเพื่อน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 23 ไปเป็นเพื่อน

พวกชาวบ้านที่กำลังดูเรื่องสนุกพากันกระซิบกระซาบเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ และพูดถึงอิทธิฤทธิ์ที่หาที่สุดไม่ได้ของหญิงชราเซียนเว่ยด้วยความเคารพยำเกรง

ในตอนนั้นเอง เมื่อมีคนเห็นเจียงป่าวชิงที่บนใบหน้ากับลำคอมีรอยบวมรอยฟกช้ำเต็มไปหมด พวกเขาเหล่านั้นก็ตกตะลึง จากนั้นก็ชี้มาทางนางและพากันซุบซิบนินทา

เจียงป่าวชิงผลักประตูไม้เข้าไปในลานบ้าน ทว่านางไม่คิดว่าจะเผชิญหน้ากับพวกหลีโผจื่อและโจซื่อที่ออกมาส่งเซียนเว่ยเสียก่อน

หลีโผจื่อเห็นเจียงป่าวชิงก็รู้สึกเกลียดในใจ นางส่งเสียงไม่พอใจและไม่ยอมสนใจเจียงป่าวชิงแม้แต่น้อยเลย

แม้ว่าเมื่อวานโจซื่อจะอยากตีเจียงป่าวชิงด้วยไม้พายเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก นางก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเอาไว้ก่อน คิดได้ดังนั้น นางจึงทักทายเจียงป่าวชิงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ป่าวชิงกลับมาแล้วหรือ ? ดูเจ้าสิ ไม่ระวังจนทำให้หน้าตากลายเป็นแบบนี้ไปได้  ไป  รีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องเสียสิ”

ถ้าหากนางเป็นเด็กผู้หญิงวัยสิบสองสิบสามขวบที่มีประสบการณ์เพียงน้อยนิด ไม่แน่นางก็อาจจะถูกความพยายามเพียงผิวเผินที่ดูเหมือนจริงใจของโจซื่อครอบงำก็ได้

แต่ในร่างกายของเจียงป่าวชิงเป็นผู้ใหญ่ วิธีนี้ใช้กับนางไม่ได้ผลหรอก!

เจียงป่าวชิงพยักหน้าให้โจซื่อกับหลีโผจื่ออย่างเกรงใจ จากนั้นก็หิ้วตะกร้ากลับไปที่ห้องของตัวเอง

เซียนเว่ยมองเจียงป่าวชิงเล็กน้อย จากนั้นนางก็ถามหลีโผจื่อ “หืม ?… หลานสาวที่เจ้ารับมาเลี้ยงคนนั้นไม่ปัญญาอ่อนแล้วรึ ?”

หลีโผจื่อเป็นประเภทรำคาญทุกคนที่พูดถึงเจียงป่าวชิง แต่คนที่ถามเรื่องนี้คือท่านแม่เฒ่าเซียนเว่ย เมื่อสักครู่นางก็เพิ่งเห็นพลังที่น่าเกรงขามของเซียนเว่ยในการช่วยชีวิตเจียงโหย่วฉาย จึงยังคงมีความเคารพต่อเซียนเว่ย และไม่กล้าไม่ตอบคำถามของเซียนเว่ย สุดท้ายนางจึงทำได้เพียงตอบอย่างคลุมเครือเท่านั้น “ใช่ ๆ นางตกน้ำครั้งหนึ่งแล้วหายเลย…”

เซียนเว่ยพยักหน้าแสดงความเข้าใจ จากนั้นนางก็แสร้งหลับตาลงและทำเป็นยกนิ้วขึ้นมาคำนวณอยู่สักพักใหญ่

หลีโผจื่อกับโจซื่อรู้สึกตกใจต่อท่าทางของเซียนเว่ย ทั้งสองคนตกตะลึงอยู่กับที่ และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ

ผ่านไปสักพัก เซียนเว่ยก็ลืมตาขึ้นอย่างเคร่งขรึม ท่าทีของนางเหมือนมีความลับอะไรบางอย่างแต่ไม่สามารถเปิดเผยความลับได้ นางส่ายหน้า ถอนหายใจเล็กน้อย สุดท้ายก็เดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

ถึงแม้ว่าเซียนเว่ยจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจของหลีโผจื่อและโจซื่อกลับหวาดกลัวยิ่งกว่าการที่นางพูดอะไรเสียอีก พวกนางกลั้นหายใจในลำคอและรู้สึกทรมานอย่างหนัก

พวกนางสองคนมองหน้ากัน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ที่ห้องใหญ่ในตอนนี้ เจียงโหย่วฉายเริ่มอาละวาดปาข้าวของอีกครั้ง เจียงอีหนิวผู้เป็นพ่อไม่สามารถพูดเกลี้ยกล่อมเจียงโหย่วฉายได้เลย หลีโผจื่อกับโจซื่อจึงไม่สนใจอะไรอีกแล้ว  พวกนางรีบกลับไปที่ห้องใหญ่ทันที

และก็ได้เกิดความวุ่นวายที่ห้องใหญ่อีกครั้ง

โจซื่อกับหลีโผจื่อพากันรับปากคำขอต่าง ๆ ของเจียงโหย่วฉาย ถึงจะสามารถเกลี้ยกล่อมจนทำให้เขายิ้มได้ จากนั้นเขาก็หลับไปอย่างสบายใจ

หลานชายคนนี้ทรมานมาทั้งคืน และทุกคนก็เหนื่อยล้าไปตาม ๆ กัน

ท่านปู่เจียงรินเหล้าท้องถิ่นที่ตัวเองหมักไว้ในบ้าน จากนั้นเขาก็ดื่มมันอย่างเต็มที่ เมื่อดื่มเสร็จก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ และออกไปทำงานในไร่กับเจียงอีหนิวทันที

เพราะเขารับที่ดินของเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงมาเป็นของตัวเอง จึงทำให้เขามีที่ดินมากกว่าคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน เขาก็ทำด้วยความเต็มใจล้วน ๆ

หลีโผจื่อสลัดรองเท้าทิ้ง นางขึ้นไปบนเตียงอิฐ จากนั้นก็จับเจียงโหย่วฉายมากอดไว้และหลับไปทันที

โจซื่อนั้น นางมองลูกชายคนเล็กที่กำลังนอนหลับสนิทอย่างอาลัยอาวรณ์ นางทุบเอวตัวเองเล็กน้อยด้วยความเมื่อยล้า และคิดว่าจะกลับไปนอนที่ห้องบ้าง  เมื่อกลับมาที่ห้อง โจซื่อก็พบว่าเจียงต้ายาลูกสาวคนโตกำลังนั่งอยู่ในห้องด้วยสีหน้าวิตกกังวล และไม่รู้ว่านางเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด

เมื่อเจียงต้ายาเห็นโจซื่อกลับมา นางก็เดินเข้าไปหาโจซื่อทันที นางนั่งทุบเอวให้โจซื่อบนเตียงอิฐ และสีหน้าของนางก็ค่อนข้างกระวนกระวายระคนวิตกกังวลเล็กน้อย “ท่านแม่ พี่ฉายไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ?”

สีหน้าที่เหนื่อยล้าของโจซื่อปรากฏรอยยิ้มออกมาให้เห็น “ใช่ โชคดีที่เรามีท่านแม่เฒ่าเซียนเว่ย”

เจียงต้ายาไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะนางกลัวว่าตัวเองจะเผยพิรุธออกมา นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ท่านแม่เจ้าขา… เรื่องของข้ากับพี่เฉิงหยวน…”

มือของโจซื่อที่กำลังถอดเสื้อคลุมชะงักไปทันที “ทำไม ?! เจ้ายังไม่ตัดใจอีกงั้นหรือ ? คนดีที่เจ้าหามา มันเอาเรื่องเด็กในท้องมาข่มขู่บ้านเรา ช่างหน้าไม่อายเสียจริง! คนในบ้านจะหาเงินห้าตำลึงมาให้เจ้านำไปเป็นสินสมรสได้จากที่ไหน! หรือว่าเจ้าสามารถขายเจียงป่าวชิงได้อีกครั้งล่ะ ?!” พูดถึงตรงนี้ โจซื่อก็ยิ่งรู้สึกเคียดแค้น

เจียงต้ายาจะกล้าบอกโจซื่อได้อย่างไรว่าเมื่อคืนนางคิดจะวางยาเพื่อทำให้เจียงป่าวชิงมีอะไรกับชายคนหนึ่ง จากนั้นนางก็จะทำทีเป็นไปจับได้เสมือนว่าเจียงป่าวชิงเล่นชู้สู่ชาย แล้วรอดูว่าเจียงป่าวชิงที่ได้รับความเสียหายเรื่องนี้จะยังเลือกอะไรได้อีกบ้าง ต่อให้ขายนางไปในซ่องโสเภณี ก็ต้องหาเงินห้าตำลึงมาให้ได้  แต่ใครจะไปคิดว่าแผนการจะไม่สำเร็จ ทั้งยังเกิดเหตุผิดพลาดจนทำให้พี่ฉายต้องเจ็บตัวอีกต่างหาก

แบบนี้… เจียงต้ายายังจะกล้าพูดถึงเรื่องที่จะจับตัวเจียงป่าวชิงไปแลกเป็นเงินอยู่อีกได้อย่างไรกัน ?!

เจียงต้ายาประคองเอวและคุกเข่าลงไปตรงหน้าโจซื่อ จากนั้นนางก็ร้องไห้ขอร้องอ้อนวอน “ท่านแม่ ข้าขอร้องล่ะ เด็กในท้องของข้าคือหลานชายของท่านแม่นะเจ้าคะ  ท่านแม่ช่วยหาคนไปส่งข้อความถึงพี่เฉิงหยวน  บอกเขาว่าบ้านเราไม่มีเงินจริง ๆ และให้เขาคิดหาทางแต่งข้าเข้าไปก่อน… ท้องของข้าในตอนนี้รอไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ ถ้าถึงตอนนั้น… ถึงตอนนั้นตระกูลเจียงของเราก็จะกลายเป็นที่หัวเราะของคนอื่น  ไม่รู้ว่าเอ้อยาจะเป็นอย่างไร แล้วต่อไปพี่ฉายก็จะหาเมียที่ดีไม่ได้ด้วยนะเจ้าคะท่านแม่”

เมื่อพูดถึงตรงนี้โจซื่อก็โมโหมากจนนางต้องตบลงไปบนไหล่ของเจียงต้ายาเพื่อระบายออกมา “เจ้าก็รู้!  รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำเรื่องไม่รู้จักคิดแบบนั้นได้ลงคอ  เจ้าทำให้ตระกูลเจียงของเราขายขี้หน้าไปกันหมดแล้ว!”

เจียงต้ายารู้สึกเจ็บ แต่นางไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา นางได้แต่ลืมตามองแม่ตัวเองทั้งน้ำตานองหน้าแบบนั้น

โจซื่อชะงักไปทันที นางขมวดคิ้วและคิดว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นก้อนเนื้อก้อนแรกที่คลอดมาจากตัวนางเอง จากนั้นนางก็ถอนหายใจเล็กน้อย “เจ้าพอแล้ว พรุ่งนี้ตอนบ่ายข้าจะไปเอง จะลองไปพูดกับแม่ของเขาเกี่ยวกับเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองคน”

เจียงต้ายารู้สึกดีใจเกินคาด นางเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ทำการทุบหลังกับทุบขาให้ท่านแม่ของนางอย่างเอาใจ

โจซื่อรู้สึกเหนื่อยล้ามาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เพราะเรื่องของลูกชายคนเล็ก นางเหนื่อยทั้งกายและใจจึงทำเพียงโบกมือเพื่อสิ้นสุดเรื่องทั้งหมด “พอแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องมาเอาใจข้าแล้วด้วย กลับไปพักผ่อนเถอะ… ตอนออกไปก็หลีกเลี่ยงคนหน่อยแล้วกัน และอย่าให้ใครเห็นเจ้าล่ะ”

เจียงต้ายาขานรับด้วยความดีใจ จากนั้นนางก็พูดว่า “ท่านแม่พักผ่อนเยอะ ๆ นะเจ้าคะ” อย่างใส่ใจ แล้วถึงค่อยเดินออกไป

โจซื่อนอนถึงตอนเที่ยงวัน นางตื่นมานึ่งขนมปังสองสามก้อน จากนั้นก็ให้เจียงเอ้อยาเอาไปให้ท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิวในทุ่งนา

นางเดินไปที่ห้องดินเหนียวของเจียงป่าวชิง ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตูห้อง นางก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็เดินกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้งและหยิบขนมปังนึ่งขึ้นมาจากเตาหนึ่งก้อน

โจซื่อมองขนมปังนึ่งในมือเล็กน้อย นางรู้สึกเสียดายจึงทำการแบ่งครึ่งและนำอีกครึ่งหนึ่งกลับไปวางบนเตาตามเดิม

นางถือขนมปังนึ่งครึ่งก้อนกลับมาที่หน้าประตูห้องของเจียงป่าวชิงอีกครั้ง จากนั้นก็เรียกด้วยน้ำเสียงที่ปรุงแต่งให้ดูเอ็นดู “ป่าวชิง เจ้าตื่นหรือยัง ?”

แต่เจียงป่าวชิงไม่ได้นอนกลางวัน นางผลักประตูออกมามองโจซื่อกับขนมปังนึ่งครึ่งก้อนในมือนาง จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก “ท่านอามีอะไรหรือเจ้าคะ ?”

โจซื่อส่งขนมปังนึ่งครึ่งก้อนนั้นให้เจียงป่าวชิงอย่างเอ็นดู “ข้านึกขึ้นได้ว่าเด็กอย่างเจ้าไม่ได้กินของดีมานานแล้ว และเห็นว่ากำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ข้าก็เลยเอาของอร่อยมาให้เจ้ากิน”

เจียงป่าวชิงมองสิ่งที่เรียกว่าของอร่อยที่อยู่ในมือโจซื่อเล็กน้อย จากนั้นก็เลิกคิ้ว

แม่ลูกคู่นี้ดูน่าสนใจดีจริง ๆ  เมื่อคืนเจียงเอ้อยาเอาต้มซี่โครงที่ใส่สิ่งแปลกปลอมมาให้ด้วยเจตนาที่ไม่ดี มาตอนเที่ยงของวันนี้คนเป็นแม่ก็เอาขนมปังนึ่งมาให้ราวกับอยากจะช่วยเหลือเสียเต็มประดา

แต่ละคนเห็นเจียงป่าวชิงเป็นอะไรกัน ?

เลี้ยงหมูยังไม่ขนาดนี้เลย

แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน แต่เมื่อเชื่อมความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมกับความรู้สึกของตัวเองเข้าด้วยกัน ก็ถือว่าเจียงป่าวชิงมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับนิสัยของคนในตระกูลเจียง

พูดง่าย ๆ คือครอบครัวนี้เป็นพวกทำบางสิ่งเพื่อผลประโยชน์เท่านั้นเอง

เมื่อคืนต้มซี่โครงที่เพิ่มวัตถุดิบแปลกปลอมถ้วยนั้น เจียงต้ายาคิดจะทำอะไรนั้น เจียงป่าวชิงรู้อยู่แก่ใจ ไม่ใช่ว่าอยากทำลายความบริสุทธิ์ของนาง  และจับนางไปขายเพื่อแลกเป็นเงินหรืออย่างไร ?

เหอะ!

เจียงป่าวชิงไม่รับขนมปังนึ่งครึ่งก้อนนั้น นางทำเพียงพูดออกไปตรง ๆ “ท่านอามีเรื่องอะไร บอกข้ามาตามตรงดีกว่าเจ้าค่ะ”

สีหน้าของโจซื่อไม่สู้ดีนัก แต่นางยังคงฝืนยิ้มต่อไป “เด็กอย่างเจ้านี่นะ… เฮ้อ… เรื่องพี่ใหญ่ของเจ้า  เจ้าก็รู้หนิ ตอนบ่ายข้าว่าจะไปหมู่บ้านข้าง ๆ เพื่อไปหาบ้านตระกูลหม่าสักหน่อย จะไปถามให้รู้เรื่องว่าวิธีการมันเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเขาจะเอาอย่างไรกันแน่  แต่จู่ ๆ ก็ฉุกคิดได้ว่าตั้งแต่ที่เจ้าหายจากอาการป่วย เจ้าก็เฉลียวฉลาดและคล่องแคล่วมาก ข้าจึงอยากให้เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”

‘อ้อ… ที่แท้ก็เรื่องนี้เองหรอกหรือ ?’ เจียงป่าวชิงคิดในใจ