เธอหยิบแหวนเก็บวัตถุและก้อนหินขึ้นมาแล้วรับสัมผัสแยกกันคราหนึ่ง แต่ก็ยังไม่พบอะไรพิเศษอยู่ดี หลังจากนั้นเธอก็วางก้อนหินสีดำลง ก่อนจะขูดนิ้วมือขวาของตนเองแล้วหยดเลือดลงบนแหวนเก็บวัตถุ เธอมองดูหยดเลือดของตัวเองค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปภายในแหวนอย่างช้าๆ คล้ายกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่กลับมีความสัมพันธ์ชั้นหนึ่งขึ้นมาระหว่างเธอกับแหวน เธอเพิ่งนึกสงสัยอยู่ว่าภายในแหวนวงนี้จะเป็นเช่นไร ก็รู้สึกว่าสติรับรู้ของเธอคล้ายจะถูกดึงดูดเข้าไปภายในมิติสักแห่งหนึ่ง
“นี่คือด้านในแหวนเก็บวัตถุหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูมิติที่ดูคล้ายกับห้อง ห้องแล้วห้องเล่าอย่างสนใจใคร่รู้ พลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “หลังจากนี้พอมีสิ่งนี้อยู่ เวลาออกไปไหนก็พกพาข้าวของไปด้วยได้ทุกอย่าง สะดวกสบายขึ้นมากเลยนะเนี่ย!”
สติรับรู้ของเธอเคลื่อนผ่านไปหลายต่อหลายห้อง ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ภายในนั้นอย่างคร่าวๆ จนเข้าใจแล้ว เธอเพิ่งจะดึงสติรับรู้ของตนกลับมาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในห้วงสมองของตน
“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดคุณชายเช่นข้าก็ได้ฟื้นขึ้นมาเสียที!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลันทำให้ตกใจจนตัวลอย จากนั้นเธอก็สงบสติอารมณ์แล้วถามขึ้นว่า “ใครน่ะ”
“อุ๊ย” หลังจากอีกฝ่ายเปล่งเสียงตกใจออกมาพยางค์หนึ่งแล้วก็เงียบไป ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็กรีดร้องอย่างตกใจออกมา “เจ้าถึงกับจำข้าไม่ได้แล้วหรือนี่!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบห้อง แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด แล้วสิ่งนั้นมาจากที่ไหนกันเล่า
“ฮือๆ เจ้าลืมคุณชายไปเสียแล้ว” เสียงนั้นร้องโอดครวญกล่าวโทษ
“เจ้าเป็นใครกัน”
“ข้าคือเจ้าคำรามน้อยอย่างไรเล่า! เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ” น้ำเสียงเศร้าโศกลอยมา แต่กลับทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์หัวสมองขาวโพลน
“เจ้าวานรน้อยหรือ แค่กๆ เจ้าเป็นลิงอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เจ้านั่นแหละที่เป็นลิง! ชื่อนี้เจ้าก็เป็นคนตั้งให้ข้าเองนะ!” เจ้าคำรามน้อยพูดไปร้องไห้ไป
ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็ออกมาจากภายในร่างของเธอก่อนจะลอยมาตรงหน้า
“ที่แท้ก็ไม่ใช่ลิง แต่เป็นกระต่ายต่างหาก!” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์เห็นลักษณะของมันชัดเจนแล้วจึงพูดขึ้น
“กระต่ายหรือ ข้าจะเป็นกระต่ายไปได้อย่างไรกันเล่า! ข้าคือสัตว์อสูรเทพโบราณจอมคำรามต่างหากเล่า!” เจ้าคำรามน้อยร้องคำรามเสียงดังลั่นใส่ซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตนเองพลางพูดว่า “คำรามหรือ เจ้าคำรามน้อยอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าจำข้าขึ้นมาได้บ้างแล้วใช่หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยถามอย่างตื่นเต้น
“เปล่าหรอก”
“เช่นนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงได้ชื่อว่าเจ้าคำรามน้อย” เจ้าคำรามน้อยพูด
“เมื่อครู่เจ้ามิได้พูดเองหรอกหรือว่าเจ้าชื่อเจ้าคำรามน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยอย่างเหยียดหยามคราหนึ่ง เชาวน์ปัญญาของเจ้าสัตว์ตัวนี้ก็ยังเทียบกับมนุษย์มิได้อยู่ดี!
“อ๊ะ ข้าพูดไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
เฮ้อ…
ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูดกับเจ้ากระต่ายน้อยที่ออกมาจากภายในร่างกายตนตัวนี้แล้ว เธอเอ่ยถามว่า “เจ้าเข้ามาอยู่ในร่างข้าได้อย่างไรกัน แล้วก่อนหน้านี้ที่เจ้าบอกว่าเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว แปลว่าอะไรกันหรือ”
“ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรอกหรือว่าข้าหลับลึกอยู่น่ะ!” เจ้าคำรามน้อยพูด “เจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าก็เลยได้รับบาดเจ็บไปด้วย จึงได้หลับลึกเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าพอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเจ้าก็จำข้ามิได้เสียแล้ว ฮือๆ”
เจ้าคำรามน้อยพูดแล้วก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจขึ้นมา หยาดน้ำตาของมันหยดลงบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ ทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมา
“หยาดน้ำตาของเจ้าช่างมหัศจรรย์นัก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ผู้อื่นเขาเป็นถึงสัตว์มงคล ย่อมต้องทำให้เจ้ารู้สึกสบายอยู่แล้วสิ” เจ้าคำรามน้อยพูด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยแล้วเอ่ยว่า “ที่ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าได้รับบาดเจ็บนั้นเรื่องราวมันเป็นเช่นไรกันหรือ ยังมีอีก ข้าจะไปทำพันธสัญญากับเจ้าได้อย่างไรกัน แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยพบเห็นเจ้ามาก่อนเลยนะ!”
“ฮือๆ เย่ว์เย่ว์ เจ้านี่ช่างน่าชิงชังเกินไปแล้วนะ ข้าจะไม่ชอบเจ้าแล้ว เจ้าลืมเลือนเจ้าคำรามน้อยที่แสนน่ารักไปได้อย่างไรกัน ยังดีที่ก่อนหน้านี้ข้าทำพันธสัญญาวิญญาณกับองค์กรของเจ้า มิฉะนั้นข้าก็คงหาเจ้าไม่พบแล้ว! ฮือๆ แต่ว่าเย่ว์เย่ว์ลืมเจ้าคำรามน้อยไปได้อย่างไร” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างน้อยใจ
เมื่อเห็นท่าทีของเจ้าคำรามน้อย ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกทุกข์ใจ คล้ายกับได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเขา
เธอดึงเจ้าคำรามน้อยเข้ามากอดแล้วลูบเส้นขนของมันเบาๆ พลางพูดว่า “ขอโทษนะ ข้าจำไม่ได้แล้วจริงๆ แต่ข้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าอยู่นะ เจ้าเจ็บปวดใจ ในใจข้าก็เป็นทุกข์เช่นกัน”
เจ้าคำรามน้อยยื่นเท้าหน้าสั้นๆ อันน้อยนิดออกมาเช็ดบนหน้าของตนพลางเอ่ยว่า “หรือเป็นวิญญาณของเจ้าที่ได้รับความเสียหาย จนทำให้เจ้าจำเรื่องราวในชาติก่อนมิได้แล้วกระมัง ข้าไปดูสักหน่อยดีกว่า”
เจ้าคำรามน้อยพูดจบแล้วก็หายลับไปจากอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์ ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่การปรากฏตัวขึ้นในคราวนี้มันกลับอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด มันมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ความทรงจำของเจ้าไม่เหลืออยู่แล้วจริงๆ เสียด้วย มิน่าเล่าเจ้าจึงจำข้ามิได้เลย”
“ความทรงจำหรือ ความทรงจำอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มตัวเจ้าคำรามน้อยมาตรงหน้าตนแล้วถามขึ้น
“ข้าพูดกับเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ต้องให้เจ้าเป็นคนไปตามหาความทรงจำเหล่านั้นกลับมาเอง” เจ้าคำรามน้อยพูด
“หลายวันมานี้ข้าเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าความทรงจำของข้าดูคล้ายจะหายไปส่วนหนึ่ง มีบางทีที่รู้สึกว่าในใจว่างเปล่า คล้ายกับว่าสิ่งสำคัญมากๆ บางอย่างถูกข้าลืมเลือนไปเสียแล้ว แต่ถ้าหากสำคัญมากจริงๆ เพราะเหตุใดข้าจึงไม่มีความตราตรึงใจอันใดเหลืออยู่บ้างสักนิดเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเจ้าคำรามน้อย สองมือกุมศีรษะตัวเองเอาไว้พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เย่ว์เย่ว์ เจ้าไม่ต้องรีบร้อนนักหรอก เจ้าทำเช่นนี้ก็ตามหาความทรงจำของเจ้ากลับมามิได้หรอกนะ” เจ้าคำรามน้อยพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยพลางถามว่า “เจ้าคำรามน้อย เจ้ามีวิธีหรือไม่”
ขาหน้าอันจิ๋วของเจ้าคำรามน้อยยกขึ้นเกาหัวแกรกๆ ในที่สุดก็พูดว่า “สิ่งที่ข้าคิดได้ก็แค่ว่ามันมีสาเหตุมาจากการที่วิญญาณของเจ้าถูกทำลาย เจ้าจึงจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมิได้ รอจนวิญญาณของเจ้าค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาแล้วก็คงจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้เองนั่นแหละ”
“แต่วิญญาณจะฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า”
“กินสิ่งที่มีประโยชน์ต่อวิญญาณสักหน่อย แล้วหลังจากนั้นก็บำเพ็ญ พอเจ้าเลื่อนระดับไปจนถึงขั้นหนึ่งก็จะฟื้นฟูวิญญาณของเจ้าได้แล้วล่ะ” เจ้าคำรามน้อยพูด
ทันใดนั้นมันก็มองเห็นก้อนหินภายในหีบ จากนั้นก็ร้องอ๊ากขึ้นมาเสียงหนึ่งแล้วชี้ไปที่ก้อนหินพลางพูดว่า “นั่น นั่นคือมณีวิญญาณหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นปฏิกิริยาอันรุนแรงของเจ้าคำรามน้อยจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้จักของสิ่งนี้ด้วยหรือ”
“ข้าต้องรู้จักแน่นอนอยู่แล้วสิ!” เจ้าคำรามน้อยลอยไปถึงตรงหน้ามณีวิญญาณด้วยสองตาเปล่งประกาย มันยื่นเท้าน้อยๆ สองข้างมาลูบคลำ น้ำลายแทบจะหกออกมาอยู่รอมร่อ
“บิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตบอกว่านี่คือวัตถุเทพที่สืบทอดต่อกันมาแต่โบราณ แต่จะต้องเป็นคนที่ถูกลิขิตเอาไว้เท่านั้นจึงจะทำให้มันยอมรับเจ้านายได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เจ้าคำรามน้อยหอบมณีวิญญาณเอาไว้พร้อมกับพยักหน้าไม่หยุดแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามณีชิ้นนี้มีประโยชน์อย่างไร เย่ว์เย่ว์ เจ้ารีบทดสอบดูเร็วเข้าสิว่าเจ้าจะทำให้มันยอมรับเป็นเจ้านายได้หรือไม่! ได้ยินว่านี่เป็นสุดยอดวัตถุเทพเลยทีเดียวนะ ถ้าหากได้มันมาครองจะต้องไม่เลวเป็นแน่”
“จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยด้วยสีหน้าแฝงคำถาม
“ก็ใช่น่ะสิ มาๆๆ เจ้ามาทดสอบดูเร็วเข้า!” เจ้าคำรามน้อยวิ่งถือมณีวิญญาณมาถึงตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยเร่งเร้า
“เออ…” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีตื่นเต้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็รับมณีวิญญาณมาก่อนจะเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าลองดูหน่อยก็ได้”
“อืมๆ” เจ้าคำรามน้อยเหินบินมาอยู่บนบ่าของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “เยว่เยว่ เจ้าเร็วหน่อยสิ”
แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้เลยว่าจะทำการยอมรับเป็นเจ้านายอย่างไร ในขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะต้องทำพิธีอะไรหรือไม่อยู่นั้นเอง เจ้าคำรามน้อยก็เข้ามาฉีกบาดแผลบนนิ้วมือก่อนหน้านี้ให้เปิดออก เพราะว่ามีเลือดไม่มาก จึงวางนิ้วมือของเธอลงบนมณีวิญญาณโดยตรง
ในตอนแรกมณีวิญญาณมิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด โลหิตเหล่านั้นก็มิได้ซึมลงไปเลย ในขณะที่เธอคิดจะยอมแพ้อยู่แล้วนั้นเอง โลหิตถูกดูดซับเข้าไปอย่างฉับพลัน ในตอนที่เธอคิดว่าทำสำเร็จแล้วคิดจะดึงมือของตนกลับมาจึงพบว่าตนเองมิอาจขยับตัวได้เสียแล้ว
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ซือหม่าโยวเย่ว์ยังรู้สึกว่านิ้วมือของตนคล้ายกับถูกขบกัดคำหนึ่ง ความเจ็บปวดจับขั้วหัวใจถาโถมเข้ามา จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าเลือดของตนหลั่งไหลออกมาจากนิ้วมือไม่หยุดหย่อน เพียงไม่นานเธอก็รู้สึกว่าวิงเวียนศีรษะขึ้นมาเนื่องจากเสียเลือดมากเกินไป จากนั้นภาพตรงหน้าก็ดำมืด และร่างก็ล้มลงบนเตียง
ก่อนที่จะสูญสิ้นสติรับรู้ เธอได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างเป็นกังวลของเจ้าคำรามน้อย เจ้าคนหลอกลวง ข้าถูกเจ้าเล่นงานเข้าแล้วสินะ!
……………………