กึกๆ

สวีเสี่ยวหลานขยับกลอนประตูของอันหลิน เคาะอยู่นานทว่ากลับไร้เสียงตอบรับ

ในห้องยังคงเงียบงัน ทำให้นางเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว

หรืออันหลินจะไม่อยู่บ้าน

สวีเสี่ยวหลานเกิดความคิดอยากจะใช้กำลังพังประตู เข้าไปดูให้ชัด

ขณะนั้นเอง ประตูก็เปิดออก จากนั้นนางก็ถูกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้สะดุ้งโหยง

“อันหลิน ทำไมเจ้าอยู่ในสภาพนี้!”

อันหลินตรงหน้าประตู ใบหน้าซีดเซียว รอยดำคล้ำชัดเจนปรากฏขึ้นรอบดวงตาคู่นั้น

กล้ามเนื้อทั้งร่างของเขาเหี่ยวย่น เพราะสูญเสียน้ำมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นคือมีรอยยิ้มมีเลศนัยประดับบนใบหน้า!

ตอนนี้ในใจสวีเสี่ยวหลาน คิดเพียงอย่างเดียวว่า

เสร็จกัน อันหลินต้องท้องเสียจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ…

คิดถึงตรงนี้ ในใจนางก็เปี่ยมด้วยความละอายใจ มองอันหลินด้วยความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง

ขณะนั้นเอง จู่ๆ อันหลินก็พูดขึ้นอย่างเฉื่อยชาว่า “ช่วงนี้ข้าคิดค้นวิชาที่สามารถดูดซึมพลังชีวิตของฟ้าดินด้วยการนั่งยองๆ ได้ เจ้าอยากลองดูหน่อยไหม”

สวีเสี่ยวหลาน “…”

สวีเสี่ยวหลานถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นล้วงเม็ดยากลมมน เปล่งแสงสีแดงออกมา

ยาชนิดนี้มีชื่อว่ายาเลือดลมชั้นยอด หากผู้บำเพ็ญเพียรรับประทาน สามารถบำรุงเลือดลมได้อย่างเต็มเปี่ยมในพริบตา

แม้ยาเลือดลมชั้นยอดจะมีราคาค่อนข้างสูง แต่เห็นท่าทางของอันหลินแล้ว สวีเสี่ยวหลานทนมองต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ

นางไม่พูดพร่ำทำเพลงง้างปากอันหลินทันที จากนั้นก็โยนยาเม็ดนี้เข้าไปในปากของเขา

อันหลินที่กลืนยาเลือดลมลงไปแล้ว ร่างกายที่ขาดน้ำได้รับการบำรุงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาไม่ซีดเผือดอีก แต่มีเลือดฝาดขึ้นมา กลายเป็นแดงระเรื่อเล็กน้อย

ดวงตาไร้แววของอันหลิน ก็กลับมาสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นบัดนั้นเอง จากนั้นก็ส่งยิ้มที่ดูค่อนข้างฝืนให้สวีเสี่ยวหลาน พูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบใจนะ”

เมื่อเห็นอันหลินกลับสู่สภาวะปกติแล้ว สวีเสี่ยวหลานก็โล่งอก พยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วสาวเท้าเข้าไปในห้อง

ทั้งสองต่างก็เลี่ยงหัวข้อที่ว่า ทำไมอันหลินจึงอยู่ในสภาพเช่นก่อนหน้านี้โดยปริยาย…

ต่างก็รู้ดีแก่ใจว่ามาจากสาเหตุอะไร

สวีเสี่ยวหลานเพราะรู้สึกผิด จึงไม่อยากกล่าวถึง

ส่วนอันหลินเป็นเพราะไร้เรี่ยวแรงจะซักไซ้ไล่เรียง อย่างไรเสียเขาก็ต้องกินจิตวิญญาณแห่งขุนเขาอยู่ดี มีผลข้างเคียงเขาก็ยอมรับว่าเขาเคราะห์ร้ายเอง

ทั้งสองคนนั่งลง สวีเสี่ยวหลานถ่ายทอดเนื้อหาที่เรียนในระยะนี้ให้กับเขา พร้อมกับบอกเนื้อหาที่เขาจำต้องทบทวนอย่างมีน้ำอดน้ำทน

ซ้ำยังนำสมุดค่ายกลที่บันทึกในคาบเรียนของนางออกมา อธิบายจุดที่ยากของเนื้อหาเป็นพิเศษอีกด้วย

อันหลินตัดสินใจแล้วว่า จะเปลี่ยนแปลงอันดับรั้งท้ายห้องหนึ่งของเขา จึงตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก

อันที่จริงเมื่อผ่านการพยายามเรียนรู้มาหลายเดือน เขาก็ค่อยๆ คุ้นชินกับชีวิตในสำนักบำเพ็ญเซียนบนแผ่นดินลอยฟ้าแห่งนี้แล้ว

อย่างน้อยก็ไม่ได้ปราศจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร เหมือนตอนที่เพิ่งเข้าสำนักแล้ว

อย่างเช่นการวางค่ายกล วิธีหลอมศาสตราง่ายๆ เทคนิคเบื้องต้นของการบำเพ็ญเซียน ตอนนี้เขาก็พอจะเข้าใจบ้างแล้ว

“เฮ้อ พรุ่งนี้ข้าใช้เวลาเรียนชดเชยในห้องเรียนให้มากสักหน่อยแล้วกัน”

เมื่ออันหลินพบว่าตัวเองตามเนื้อหาไม่ทันมากมายปานนั้น ก็เริ่มโอดครวญขึ้นมา

สวีเสี่ยวหลานได้ยินก็ยกยิ้ม พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “พรุ่งนี้เจ้าเข้าห้องเรียนไม่ได้นะ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเปิดพิธีกิจกรรมศึกแห่งอิสรภาพของสำนักที่มีปีละหน”

“ศึกแห่งอิสรภาพ” อันหลินทำหน้างุนงง

“หลายวันมานี้เจ้าไม่ได้เข้าเรียน จึงไม่รู้จักกิจกรรมนี้” สวีเสี่ยวหลานอธิบาย “ศึกแห่งอิสรภาพเป็นงานใหญ่ที่สำนักเราจะจัดทุกปี บังคับให้นักเรียนทุกคนเข้าร่วม เมื่อถึงตอนนั้น ลูกศิษย์ห้าหมื่นคนทั่วสำนักจะมารวมตัวกัน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมนี้”

อันหลินได้ยินก็ตาลุกวาว เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนแห่งนี้สร้างอยู่บนแผ่นดินลอยเมฆ แค่พื้นที่ ก็กว้างใหญ่กว่าเกาะขุมทรัพย์บนโลกมนุษย์แล้ว

ด้วยระดับชั้นที่ไม่เหมือนกัน เนื้อหาที่นักเรียนศึกษา จึงมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้พื้นที่ของการศึกษา ก็กระจายอยู่ในสถานที่แตกต่างกันออกไป

และเพราะเหตุนี้เอง อันหลินกับศิษย์พี่ทั้งหลาย จะมีโอกาสพบเจอกันน้อยยิ่งนัก กิจกรรมที่ทำให้ลูกศิษย์ทั้งห้ารุ่นรวมตัวกันได้ คิดๆ ดูแล้ววันนั้นต้องครึกครื้นมากแน่ๆ

กิจกรรมใหญ่แบบนี้ของสำนัก ทำให้เขาใจจดใจจ่อ ขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดความสงสัยในกิจกรรมขึ้นมา

“จะว่าไป รายละเอียดของกิจกรรมนี้คืออะไรหรือ” อันหลินเอ่ยถาม

“กิจกรรมนี้น่าตื่นเต้นมากเลยนะ” ขณะที่สวีเสี่ยวหลานกำลังพูดก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้วเหมือนกัน “สถานที่จัดกิจกรรมอยู่ในป่าพันยอดของสำนัก ลูกศิษย์ทั้งหมดห้าหมื่นคนจะเปิดศึกตะลุมบอนกันที่นั่น ต่อเนื่องถึงสามวัน ภายในเวลาที่กำหนด หากเจ้าไม่ชอบหน้าใคร สามารถเข้าไปจัดการเขาได้โดยตรง ขณะเดียวกัน เจ้าก็ต้องยอมรับคำท้าใครก็ได้ กิจกรรมเป็นรูปแบบเดี่ยว ไม่อนุญาตให้จับกลุ่ม ไม่อนุญาตให้ยอมจำนน แพ้ศึกเป็นหนทางเดียวที่จะได้ออกจากกิจกรรมระหว่างการต่อสู้มีอาจารย์เซียนพสุธาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยคน ปล่อยพลังจิตสังเกตสถานการณ์ทั่วทั้งสนามรบ ฉะนั้นเจ้าไม่มีโอกาสโกงแน่นอน”

“โอ้แม่เจ้า!” อันหลินฟังถึงตรงนี้ ขาทั้งสองขาที่เริ่มรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้ว บัดนี้กลับอ่อนปวกเปียกขึ้นมาอีกครั้ง

กิจกรรมนี้เท่ากับให้ห้าหมื่นคนเปิดศึกพร้อมกัน แถมยังยอมจำนนไม่ได้ด้วยงั้นเหรอ

ไม่ง่ายเลยที่จะได้ชุมนุมกับศิษย์พี่ทั้งหญิงชายที่เคารพรัก การเจอกันครั้งนี้ เพียงเพื่อลิ้มลองหมัดของศิษย์พี่ทั้งหลายอย่างงั้นเหรอ

เมื่อเห็นสีหน้าสิ้นหวังของอันหลิน สวีเสี่ยวหลานก็ปลอบใจว่า “ไม่ต้องห่วง กิจกรรมนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิด อาจารย์ร้อยชีวิตจะจับตามองสถานการณ์ตลอดทั้งกิจกรรม และลูกศิษย์ทุกคน จะได้รับยันต์คุ้มกันประเมินผลแพ้รบ เมื่อนักเรียนแพ้รบ ยันต์คุ้มกันจะถูกกระตุ้น ก่อตัวเป็นม่านคุ้มกัน ขัดขวางทุกการโจมตี ข้าได้ยินว่ากิจกรรมในแต่ละปี นักเรียนที่ตายมีไม่ถึงสิบคน! ผลจากการแพ้ศึกของนักเรียน ส่วนใหญ่จะบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ก็พิการเท่านั้น…”

อันหลิน “…”

นี่หรือคือ ‘ไม่น่ากลัวขนาดนั้น’ ที่เจ้าว่าน่ะ!

อันหลินเงยหน้ามองฟ้า…

ผ่านไปนานกว่าเขาจะถามคำถามที่กังวลที่สุด “ในเมื่อมียันต์คุ้มกันแล้ว ทำไมถึงมีคนตายได้ล่ะ”

สวีเสี่ยวหลานกล่าวว่า “มีเหตุผลหลายประการทีเดียว เหตุผลแรกคือ เพราะยามที่ศิษย์ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณประมือกับศิษย์ที่มีระดับต่ำกว่า อย่างไม่บันยะบันยัง บางครั้งกระตุ้นยันต์คุ้มกันไม่ทัน นักเรียนคนนั้นเลยตาย สาเหตุที่สอง ตายเพราะคลื่นลูกหลง…สาเหตุที่สาม พลัดตกลงไปจากยอดเขาสาเหตุที่สี่ ตายเพราะเผลอกินของมีพิษเข้าไป…”

อันหลินยิ่งฟังก็ยิ่งผวา ศึกแห่งอิสรภาพน่ากลัวเกินไปแล้ว!

ความเกรียงไกร ประชาธิปไตย อารยธรรมและความกลมเกลียวที่ว่าล่ะ

ความเย็นเยือกปกคลุมทั่วร่าง ความคาดหวังที่มีในตอนแรก บัดนี้อันตรธานหายไปหมดแล้ว

“ในศึกแห่งอิสรภาพทุกครั้ง เป็นช่วงเวลาที่ล้างอันดับเซียนของสำนัก อาจารย์จะเรียงอันดับใหม่ ตามพฤติกรรมในกิจกรรมของลูกศิษย์ ขอแค่ติดอันดับเซียนของสำนัก ก็จะได้รับรางวัลล้ำค่านานาชนิด ฉะนั้นพวกเราพยายามเข้าเถอะ!”

สวีเสี่ยวหลานยิ้มกริ่ม ลักยิ้มจางๆ สองอันปรากฏบนใบหน้า ขับให้รอยยิ้มดูสดใส

เมื่อเทียบกับความฮึกเหิมเต็มเปี่ยมของสวีเสี่ยวหลาน อันหลินทำได้แค่ยิ้มแหยๆ พยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม พยายามเข้า”

ในหมู่นักเรียนห้าหมื่นคน หนึ่งร้อยอันดับแรกเท่านั้นที่จะได้อยู่ในอันดับเซียนของสำนัก คนพวกนั้นล้วนเป็นนักสู้ในหมู่อัจฉริยะ อันหลินไม่กล้าคาดหวังกับของแบบนั้นหรอก

คนที่ด้อยที่สุดในอันดับเซียนครั้งนี้ รู้สึกว่าระดับพลังยุทธ์จะเป็นกายแห่งมรรคขั้นสิบ

อันดับแรกๆ เป็นสุดยอดมนุษย์ที่อยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณถึงยี่สิบสองคน ระดับพลังยุทธ์ของพวกเขาเมื่อไปสรวงสวรรค์ สามารถแต่งตั้งเป็นเซียน รับตำแหน่งขั้นนายพลได้

คนพวกนี้ต่อสู้กับนักเรียนระดับกายแห่งมรรค เหมือนเป็นเพียงการละเล่น อาจจะไม่ระวังตัว เผลอตบนักเรียนคนหนึ่งตายก็เป็นได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อันหลินก็ตั้งปณิธานขึ้นในใจทันที

ศึกแห่งอิสรภาพ เน้นการเข้าร่วม อยู่รอดเป็นพอ!

…………………………