ตอนที่ 18 การกล่าวเปิดพิธีอันน่าตะลึง

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

รุ่งเช้า บนจัตุรัสหยกขาวแห่งนี้ เต็มไปด้วยนักเรียนหลายหมื่นชีวิต

โดยคนส่วนใหญ่ ล้วนเป็นอัจฉริยะของแต่ละสำนักในดินแดนแคว้นจิ่วโจว แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับกิจกรรมศึกแห่งอิสรภาพที่จัดขึ้นโดยสำนักในครั้งนี้ ใบหน้าของพวกเขากลับไม่มีความผ่อนคลายมากนัก

สายตาของนักเรียนส่วนใหญ่ ต่างก็จับจ้องไปยังนักเรียนที่ขัดแย้งกันในชีวิตประจำวันเงียบๆ

นักเรียนที่มีข้อพิพาทกันยามปกติเหล่านี้ มีความเป็นไปสูงว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ในกิจกรรมนี้

เพราะเป็นโอกาสยากที่จะสามารถลงไม้ลงมือกันได้อย่างโจ๋งครึ่ม คิดว่าพวกเขาคงไม่มีทางพลาดแน่นอน…

อาจารย์ที่ปรึกษาของแต่ละห้องกำลังนับจำนวนลูกศิษย์ของห้องตัวเอง ตอนนี้อาจารย์เซียนกระบี่หลิงเซียวก็อยู่ด้วยเช่นกัน

อาจารย์ที่ปรึกษาคนนี้ยังคงมีกระบี่เหน็บเอว ชุดขาวโบกสะบัด

การแต่งกายอันสง่างามของเขา ดึงดูดสายตาของนักเรียนหญิงส่วนใหญ่ แม้แต่นักเรียนหญิงห้องข้างๆ ก็ไม่เว้น

ในห้องหนึ่ง นอกจากอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขาแล้ว ความงดงามของดาวเด่นชื่อดังประจำสำนักอย่างซวนหยวนเฉิงกับซูเฉี่ยนอวิ๋นก็ดึงดูดสายมากเหลือคณานับเช่นกัน

ราวกับพวกเขาเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ คนหนึ่งหล่อเหลาจนไร้มิตร อีกคนสวยงามจนขาดสหาย

รูปโฉมเหนือกว่าผู้คนไม่พอ แต่ยังมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรผิดมนุษย์มนาขนาดนี้ อายุยังน้อยก็บรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว ทำให้เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายทั้งอิจฉาและริษยา

อันหลินก็มาถึงจัตุรัสหยกขาวตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเช่นกัน เขาเห็นนักเรียนมืดฟ้ามัวดิน เห็นคนแปลกหน้ามากมายที่ไม่เคยเห็น

เมื่อก่อนเป็นเพราะสำนักใหญ่เกินไป เขาไม่มีความคิดอะไรเกี่ยวกับลูกศิษย์ห้าหมื่นคน ตอนนี้ทั้งห้าหมื่นคนรวมตัวกันที่นี่ เขาถึงรับรู้ได้โดยตรงว่าเหตุการณ์เช่นนั้นน่าตะลึงขนาดไหน

แค่กลิ่นอายที่นักเรียนทั้งห้าหมื่นชีวิตแผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหมือนอยู่ในทะเลที่มีคลื่นซัดโหมกระหน่ำแล้ว

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสียงไพเราะเพราะพริ้งก็ดังขึ้นมาจากใจกลางจัตุรัสหยกขาว

“ตอนนี้นับจำนวนนักเรียนเสร็จสิ้นแล้ว ลำดับต่อไปขอเรียนเชิญรองอาจารย์ใหญ่อวี้หัว กล่าวเปิดพิธีกิจกรรมศึกแห่งอิสรภาพ”

อันหลินรู้ว่ารองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวเป็นเซียนสวรรค์ระดับหวนสู่ความว่างเปล่า ได้ยินว่าเป็นผู้กุมอำนาจของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน เรียกได้ว่างานของอาจารย์ใหญ่ มีเขาเป็นตัวแทนทั้งหมด

ส่วนอาจารย์ใหญ่ของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน อันหลินอยู่ในสำนักแห่งนี้หลายเดือนแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

ได้ยินว่าอาจารย์ใหญ่มักจะวิ่งเต้นอยู่ข้างนอก นักเรียนที่โชคไม่ดี ตั้งแต่เข้าเรียนยันจบการศึกษา ไม่มีโอกาสได้พบหน้าค่าตาอาจารย์ใหญ่เลย ทำได้แค่ชื่นชมอาจารย์ใหญ่ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาผ่านรูปถ่าย…

รองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวมีคิ้วดกดำ ไว้หนวดดำสนิทเส้นหนา ดูตลกเป็นอย่างมาก

ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อเห็นรองอาจารย์ใหญ่อวี้หัว อันหลินมักจะวาดภาพเสื้อแดงแมทช์กับเอี๊ยมสีน้ำเงินขึ้นในหัวโดยอัตโนมัติ เมื่ออยู่บนตัวเขา รูปร่างลักษณะแบบนั้นเป็นมาริโอ้ที่มีความเหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์ชัดๆ!

แม้รูปลักษณ์ของรองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวจะค่อนข้างน่าขำ แต่คำกล่าวเปิดพิธีของเขา กลับสะเทือนขวัญเป็นอย่างยิ่ง

เขายืนมือไพล่หลังอยู่กลางอากาศ นั่นเป็นกระบวนท่าที่มีเพียงเซียนสวรรค์ที่ทำได้

เมื่อกลายเป็นเซียนสวรรค์ จะมีพลังสามารถสร้างมิติได้ และการยืนกลางอากาศ ก็คือประโยชน์ใช้สอยเล็กๆ อย่างหนึ่งของพลังมิติ

เสียงในการกล่าวเปิดงานของรองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวไม่ดัง แต่เสมือนว่าทุกคำพูดของเขาสามารถทะลุมิติได้ เข้าไปในโสตประสาทของนักเรียนทั้งห้าหมื่นคน และเข้าสู่จิตวิญญาณโดยตรง

วิธีแบบนี้ไม่ใช่การส่งเสียงเข้าโสตประสาทง่ายๆ แล้ว แต่เป็นการใช้พลังของพรสวรรค์แห่งการถ่ายทอด ในถ้อยคำวาจาแฝงความหมายของ ‘ธรรม’ และ ‘มรรค’

อันที่จริงเนื้อหาที่รองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวกล่าวน่าเบื่ออย่างยิ่ง หากคนทั่วไปพูดเนื้อหาเหล่านี้ คิดว่าคงจะมีนักเรียนหลับใหลกันระนาว

แต่เมื่อคำพูดออกมาจากปากรองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวแล้ว แต่ละคนกลับเหมือนสายฟ้าฟาด สะเทือนขวัญ ทำให้ปราศจากความง่วงงุน กลับกันรู้สึกว่าช่างมีเหตุผล!

ยกตัวอย่างเช่น หากคนทั่วไปพูดว่า น้ำที่เพิ่งเดือดห้ามดื่ม จะลวกปากเอาได้

หากได้ยินประโยคนี้ คงจะไม่พูดพร่ำทำเพลง เงื้อมือแล้วฟาดลงไปทันทีแน่นอน คิดในใจว่านี่มันเหลวไหลไม่ใช่หรือไง!

แต่หากรองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวเป็นคนพูดว่า น้ำที่เพิ่งเดือดห้ามดื่ม จะลวกปากเอาได้

จู่ๆ เราจะรู้แจ้งกระจ่างในใจทันทีว่า ‘อุณหภูมิของน้ำเดือดสูงกว่าอุณหภูมิในปากถึง 60 กว่าองศา หากดื่มลงไปล่ะก็ เนื้อเยื่อของลิ้น จะถูกน้ำเดือดอุณหภูมิสูงทำลายได้ จากนั้นระบบประสาทรับความรู้สึกของลิ้นจะเกิดกระแสประสาท กระแสประสาทจะถูกส่งไปที่ประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทส่วนกลางที่รับข้อมูลจะทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บจากการลวกปาก’

แล้วเราก็จะอุทานมา สมกับเป็นรองอาจารย์ใหญ่อวี้หัว!

ช่างพูดได้มีเหตุผล มีหลักการทุกประโยค!

ด้วยเหตุนี้ นักเรียนร่วมห้าหมื่นชีวิตจึงฟังรองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวกล่าวเปิดพิธีประหนึ่งลุ่มหลงมัวเมา

อันหลินที่ได้สติ ก็สรุปใจความของการกล่าวเปิดพิธีหนึ่งชั่วยามนี้

กิจกรรมศึกแห่งมิตรภาพจัดขึ้นที่สวนพันยอดในรัศมีร้อยลี้ โดยมีระยะเวลาสามวัน

ในกิจกรรมอนุญาตให้เคลื่อนไหวเพียงลำพัง ห้ามกินยา ไม่อนุญาตให้ใช้พลังของศาสตรา

มีอาจารย์ที่ทำหน้าที่คอยตรวจตราสนามรบทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดคน หากพบพฤติกรรมที่ผิดกฎของนักเรียน จะถูกตัดสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมทันที และส่งไปบำเพ็ญประโยชน์ที่ห้องกักตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือน

วัตถุประสงค์ของกิจกรรมนี้คือ เพื่อให้นักเรียนลิ้มรสความโหดร้ายของแดนบำเพ็ญเซียนล่วงหน้า ระหว่างที่ ‘ตี’ และ ‘ถูกตี’ รู้ซึ้งถึงธรรมชาติของโลกที่คลื่นซัดทราย ผู้รอดชีวิตเป็นผู้ชนะ ส่งเสริมการมุมานะสร้างความแข็งแกร่ง พยายามยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเอง

หลังอันหลินสรุปเสร็จแล้ว ก็แสดงอาการตกใจ

เขาไม่คิดเลยว่าเนื้อหาเพียงน้อยนิด รองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวจะใช้เวลาในการพูดถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ!

สิ่งที่น่ากลัวคือ ตอนนั้นเขากลับฟังด้วยความฮึกเหิมอย่างมาก!

เขาอุทานเบาๆ ว่า “ท่าทางความสามารถในการกล่าวสุนทรพจน์ของอาจารย์ใหญ่ จะสุดยอดจริงๆ…”

สวีเสี่ยวหลานที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของอันหลินก็พยักหน้ารัวๆ เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของอันหลินมาก

เมื่อรองอาจารย์ใหญ่พูดจบ เซียนกระบี่หลิงเซียวก็แจกยันต์สีทองแผ่นหนึ่งให้นักเรียนทุกคนในห้อง และกำชับให้นักเรียนทุกคนแปะยันต์แผ่นนี้ไว้บนตัว

ยันต์นั้นคือยันต์คุ้มกันประเมินผลแพ้รบที่เล่าลือกัน ก่อนสิ้นสุดกิจกรรม มีแค่ยันต์แผ่นนี้ถูกกระตุ้นเท่านั้น นักเรียนจึงจะสามารถออกจากสมรภูมิรบได้

เมื่อนักเรียนทั้งหมดแปะยันต์คุ้มกันประเมินผลแพ้รบแล้ว รองอาจารย์ใหญ่อวี้หัวก็พูดอีกครั้ง น้ำเสียงฮึกเหิมก็ดังเข้ามาในโสตประสาทของทุกคนอีกครั้ง

“ลำดับต่อไปข้าขอประกาศว่า ศึกแห่งอิสรภาพของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว! ตอนนี้ข้าจะเปิดค่ายกล เมื่อถึงตอนนั้น นักเรียนทุกคนจะถูกส่งเข้าไปในป่าพันยอด เขตต้องห้ามที่สามของสำนัก จุดลงจอดของพวกเจ้าเป็นการสุ่ม ตอนนี้ ขอให้พวกเจ้าเพลิดเพลินกับกิจกรรมอันสวยงามนี้!”

พูดจบ จู่ๆ จัตุรัสหยกขาวก็ถูกม่านแสงสีขาวปกคลุม จากนั้นค่ายกลขนาดมหึมาและซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นบนผิวดิน เริ่มเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว

อันหลินรู้สึกโลกหมุน จากนั้นสติก็ดับวูบ เป็นลมไปแล้ว

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เขาค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา

เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเป็นยอดเขาสูงทะลุชั้นเมฆ รูปร่างประหนึ่งกระบี่คม

รอบๆ ยอดเขาเป็นที่ราบดินเหลือง

ดินแดนแห่งนี้มีพืชพรรณสีเขียว ผิวดินมีเศษหินกระจัดกระจาย ให้ความรู้สึกอ้างว้างหนาวเหน็บ

อันหลินลุกขึ้นจากพื้น แหงนหน้ามองท้องฟ้า พบว่าบนนภามีฉากกั้นสีฟ้าอ่อน

คงจะเป็นเขตแดนของกิจกรรมที่อาจารย์ทั้งหลายจัดวาง นักเรียนเคลื่อนไหวได้แค่ในขอบเขตของเขตแดนเท่านั้น

ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงติ้งดังขึ้นในสมองของอันหลิน

ความรู้สึกที่คุ้นเคยแบบนี้…ระบบนี่เอง!

อันหลินเปิดระบบเทพสงครามอย่างรวดเร็ว มองหน้าจอระบบด้วยความตื่นเต้น

เอ๊ะ สิ่งที่เปล่งแสงคือแถบ ‘ภารกิจพิเศษ’ งั้นเหรอ

แถบ ‘ภารกิจพิเศษ’ จะเป็นสีเทาทุกครั้งที่อันหลินเปิด ไม่คิดว่าตอนนี้มันจะเปล่งแสงแล้ว

เขากดแถบภารกิจพิเศษอย่างสงสัย จากนั้นก็มีอักษรเป็นพรวนปรากฏขึ้น

‘ตรวจสอบพบว่าโฮสต์เข้าสู่ป่าพันยอด ขอมอบหมายภารกิจดังต่อไปนี้’

‘ในกิจกรรมครั้งนี้ โฮสต์ต้องกลายเป็นหนึ่งในคนรุ่นนี้ที่ติดอันดับเซียนของสำนัก’

‘ภารกิจสำเร็จ ให้โอกาสสุ่มอาวุธวิเศษ 1 ครั้ง’

‘ภารกิจล้มเหลว ท้องเสียติดต่อกัน 10 วัน (ระดับความรุนแรงเทียบเท่าผลข้างเคียงของจิตวิญญาณแห่งขุนเขา)’

‘ป.ล. ปฏิเสธภารกิจนี้ไม่ได้’

อันหลินมองภารกิจพิเศษตรงหน้านิ่งๆ ไม่รู้เพราะอะไร ขอบตาถึงได้ชื้นแฉะขึ้นมา

เป็นหนึ่งในคนรุ่นนี้ที่ติดอันดับเซียนของสำนักงั้นเหรอ

แย่งหนึ่งร้อยอันดับแรกกับนักพรตอัจฉริยะห้าหมื่นชีวิต ต่อให้ทุ่มสุดชีวิตเราก็ทำไม่ได้!

ท้องเสียติดต่อกันสิบวันงั้นเหรอ

มันเลวร้ายยิ่งกว่า!

อันหลินที่เคยลิ้มรสการถ่ายติดต่อกันสามวัน รู้ดีแก่ใจว่าท้องเสียน่ากลัวขนาดไหน

จะให้เขาท้องเสียติดต่อกันสิบวันงั้นเหรอ

งั้นก็ให้เขาไปตายเสียยังดีกว่า…

……………………………..