บทที่ 16 เหตุเปลี่ยนแปลง

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

‘ยังไหวอยู่ ยังดีช่วงนี้เน้นการหล่อเลี้ยงหยิน ระดับสองนี้เป็นขอบเขตสูงสุดของวิชากระเรียนหยก คนทั่วไปต้องใช้เวลาห้าปี เราหดระยะเวลาห้าปีมาสั้นขนาดนี้ ย่อมรับภาระหนักกว่าตอนเริ่มต้นเมื่อก่อนหน้า’

เขาสัมผัสสภาพร่างกายอย่างละเอียด

ถึงจะอ่อนแอ แต่ดีกว่าก่อนหน้ามาก

ดูเหมือนการดูแลในช่วงนี้ของเขาจะมีผลจริงๆ

ฟู่ว…

พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาคำหนึ่ง

ลู่เซิ่งรู้สึกว่าปราณภายในกลุ่มหนึ่งระหว่างทรวงอกเปลี่ยนจากกระแสปลายสายหนึ่งขนาดเท่าตะเกียบเพิ่มเป็นเก้าสาย

กระแสปราณเก้าสายมารวมกัน หยาบกว่าก่อนหน้าไม่น้อย

วิชากระเรียนหยกบรรลุระดับสอง แสดงให้เห็นว่าต่างจากความรู้สึกก่อนหน้า

ลู่เซิ่งขณะหายใจ รู้สึกมีพลังสมาธิสิบส่วน ปฏิกิริยาก็เร็วกว่ายามปกติไม่น้อย

‘ตามบันทึกของวิชากระเรียนหยกระดับสอง สมควรมีผลยืดอายุขัย สามารถหยุดเลือดได้อย่างรวดเร็ว’

‘วันพรุ่งนี้จะทดลองผลของกำลังภายในดู ติดต่อตวนมู่หว่าน ดูว่าจะได้วิชากำลังภายในใหม่มาจากมือนางหรือไม่’

ในเมื่อวิชากระเรียนหยกเป็นของแท้ เช่นนั้นวิชากำลังภายในที่เหลือชนิดอื่นก็อาจเป็นของจริงเช่นกัน เขาคิดดูว่าเมื่อฝึกฝนวิชากำลังภายในหลายวิชาพร้อมกัน จะมีการตอบสนองอย่างไร

ตามเหตุผล วิชากำลังภายในขอแค่มิใช่ประเภทที่มีคุณสมบัติขัดแย้งกัน ต่างเป็นสิ่งที่หลอมรวมได้

คิดถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งนอนพักผ่อนอีกครั้ง

เพียงแต่เพิ่งเอนตัวลง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านนอกลานบ้าน เหมือนกับมีคนกำลังออกไป

ฟังจากจังหวะ เหมือนเป็นเสียงเดินของลู่ชิงชิงมาก

ลู่เซิ่งส่ายหน้า ไม่ไปสนใจ ช่วงนี้ลู่ชิงชิงไปเตร็ดเตร่กลางดึกทุกๆ สองสามวัน

ไม่ทราบว่าตรวจเจอเงื่อนงำอันใด

ตอนเริ่มแรกเขายังติดตามอย่างระมัดระวัง แต่พบว่าวิชาตัวเบาของเขาเทียบกับลู่ชิงชิงไม่ติด ไม่ทันไรก็คลาดกัน ภายหลังจึงไม่เปลืองลมปราณแล้ว

เช้าวันที่สอง ลู่เซิ่งนำตั๋วเงินที่เตรียมไว้แล้ว ไปยังโรงเตี๊ยมหมื่นโชคที่ตวนมู่หว่านพักอยู่

“อะไรนะ คืนห้องแล้วหรือ”

ลู่เซิ่งมองเจ้าของโรงเตี๊ยมพลางขมวดคิ้วถาม

“ตั้งแต่เมื่อใด”

“ราวๆ ครึ่งเดือนก่อน คุณหนูตวนมู่ได้รับคำเชิญจากคุณชายหลายคน ออกเมืองไปท่องเที่ยวที่วัดบัวแดง ภายหลังส่งคนมาบอกว่าคืนห้องแล้ว”

เจ้าของโรงเตี๊ยมสนใจตวนมู่หว่านมากเช่นกัน

ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็งดงาม บวกกับคุณชายที่มาติดพันก็มีมาก ตัวนางใช้จ่ายเงินมือเติบ ความประทับใจที่มอบให้เขาย่อมล้ำลึก

“วัดบัวแดง…”

ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว

เขารู้สึกว่าตวนมู่หว่านไม่สมควรอยู่ที่วัดบัวแดง

การคืนห้องอย่างกระทันหันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น

“ช่างเถอะ”

เขาโบกพัดเดินออกจากโรงเตี๊ยม คนคุ้มกันสองคนเฝ้ารออยู่นอกประตู

“คุณชาย เป็นอย่างไร เจอคุณหนูตวนมู่หรือไม่” เสี่ยวซงผิงคนคุ้มกันที่ปกติใกล้ชิดกับลู่เซิ่งยิ่ง เขาเป็นคนที่ทำความสะอาดสถานที่ให้ตอนลู่เซิ่งฝึกวรยุทธ์ บางครั้งยังได้ฝึกคู่กัน ทักษะวรยุทธ์ใช้ได้

“ไม่เจอ นางไปแล้ว” ลู่เซิ่งส่ายหน้า

“งั้นตอนนี้พวกเราจะไปไหน”

“ไปไหนรึ กลับคฤหาสน์”

ลู่เซิ่งไม่มีวิธีหาคัมภีร์ลับแล้ว ไม่พอใจอยู่บ้าง

ทั้งสามคนขึ้นรถม้า รุดกลับบ้านตระลู่ รอจนถึงหน้าคฤหาสน์ กลับเห็นรถม้าสีเหลืองคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูใหญ่

ด้านข้างรถม้าเขียนตัวอักษรไว้ใหญ่โต

‘ตระกูลจาง’

ลู่เซิ่งมีสีหน้าสั่นไหว คนตระกูลจางถูกสังหารมานาน ในที่สุดก็มาแล้ว

เขาไม่เกรงกลัว ให้พวกเสี่ยวซงจากไป ตนเดินเข้าประตูใหญ่คนเดียว

มองไปจากประตูใหญ่ เห็นบนโถงใหญ่ ลู่เฉวียนอันมีอาจารย์สอนวรยุทธ์คนหนึ่งเป็นเพื่อน กำลังต้อนรับคนที่มาจากตระกูลจางผู้นั้น

ตระกูลจางมาแล้วหนึ่งคน

คิ้วเข้มตาเล็ก เป็นบุรุษอายุราวๆ สามสิบปี

“…บุตรข้าไหนเลยทำเรื่องแบบนี้ ตระกูลจางต้องมองผิดแน่!” ลู่เฉวียนอันนั่งบนที่นั่งประธาน สีหน้าสงบนิ่ง

“ตอนนั้นมีคนไม่น้อยเห็นกับตา! นี่ยังมีผิดพลาดได้หรือ!”

บุรุษผู้นั้นโกรธจนอกแทบไหม้

“ข้าไม่สนใจว่าพวกท่านตระกูลจางจะร้ายกาจขนาดไหนในเมืองม่วงโชติ ที่นี่เมืองเก้าประสาน ไม่ใช่เมืองม่วงโชติของพวกท่าน!

“ถึงตระกูลจางของท่านจะร้ายกาจ แต่ตระกูลลู่ของข้าก็มิใช่พวกยอมใครเช่นกัน! หากยังปรักปรำบุตรของข้าอีก อย่าโทษข้าลู่เฉวียนอันไม่เกรงใจ!”

ลู่เฉวียนอันตวาดเสียงเย็น

บุรุษผู้นั้นโมโหจนตัวสั่น

ใช้นิ้วชี้ไปที่ลู่เฉวียนอันพูดอะไรไม่ออกอีก

“ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐ! ตระกูลลู่กล้าหาญนัก ข้าจะไปถ่ายทอดบอกให้ประมุขตระกูลซงซีรู้โดยไม่ให้ขาดตกบกพร่องสักคำเดียว! ขอลา!”

เขาหมุนตัวสาวเท้าเดินไปยังประตูใหญ่

ลู่เซิ่งเจอเขากลางทาง คนผู้นี้ไม่รู้จักลู่เซิ่ง ยังคงเดินไปด้านนอกด้วยความหงุดหงิด

ลู่เซิ่งไม่เหนือความคาดหมาย ปัจจุบันต้าซ่งอ่อนแอ แต่ละดินแดนแบ่งแยก อย่าว่าแต่ที่นี่เป็นแดนเหนือที่ห่างไกล เจ้าเมืองกับขุมกำลังในท้องถิ่นเป็นเหมือนราชา

ที่ดินแดนจงหยวน ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลลู่ส่วนใหญ่ต่างก็หน้าไหว้หลังหลอก ก่อเรื่องราวไม่น้อย

ตระกูลจางนี้นึกว่าตัวเองอยู่ที่เมืองเก้าโชติ ถึงกับพาคนมากล่าวโทษแล้ว

คนผู้นั้นเดินเฉียดผ่านด้านข้างลู่เซิ่ง ขึ้นรถม้าจากไปอย่างโมโห

ลู่เซิ่งเดินเข้าโถงใหญ่ เห็นบิดาลู่เฉวียนอันนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้างุนงง

“ท่านพ่อ เรื่องราวจัดการเรียบร้อยแล้ว”

เขากล่าวเสียงเบา บอกใบ้ให้ผู้คุ้มกันรอบๆ จากไป เขาจะคุยกับบิดาตามลำพัง

ลู่เฉวียนอันถอนหายใจ พอเห็นลู่เซิ่ง ใบหน้าก็อดปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้

“เสี่ยวเซิ่ง น้องสาวเจ้า เจ้าต้องดูแลให้มาก อย่าให้นางไปเพ่นพ่านในเมือง”

“ข้าดูแลนางไม่ไหว” ลู่เซิ่งส่ายหน้ายิ้มหนักใจ “ท่านพ่อ ของที่เบื้องบนต้องการให้เราหา หาเจอแล้วหรือยัง ตกลงเป็นหาของหรือหาคนกันแน่”

“อาจเป็นของ และอาจเป็นคน บอกไม่ได้!”

ลู่เฉวียนอันส่ายหน้า เบาเสียงลง

“ตอนนี้สิ่งที่ข้าหลวงปวดหัวก็คือคดีตระกูลสวี กับคดีโดดบ่อของหมู่บ้านตระกูลหวังด้านนอกเมือง โดยเฉพาะคดีโดดบ่อ มือปราบมากมายต่างหาเบาะแสไม่เจอ น้องสาวของเจ้าคนเดียวจะทำอะไรได้ อีกประเดี๋ยวให้นางอยู่บ้านดีๆ”

“นางไปตรวจสอบคดีหมู่บ้านตระกูลหวังแล้วหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง

“เจ้าไม่รู้หรือ มือปราบของที่ทำการยังเคยเห็นเจ้าเด็กโง่ชิงชิงที่หมู่บ้านตระกูลจาง นางมักจับผู้ร้ายตามประกาศจับหรือไม่ก็โจรน่าสงสัยส่งไปที่ทำการทุกๆสาม คนในที่ทำการจะรู้จักนางทุกคนแล้ว”

ลู่เฉวียนอันกล่าวอย่างจนปัญญา

“เช่นนี้เอง…” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว “ช่วงนี้ข้ายุ่งกับการรวบรวมวรยุทธ์ จึงไม่ได้ดูแลนาง”

“รวบรวมวรยุทธ์…เจ้าจ่ายเงินไปเกือบห้าพันตำลึงแล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไร” ลู่เฉวียนอันถือโอกาสถาม

“รวบรวมได้หลายวิชาแล้ว คัมภีร์ที่ได้ข้าล้วนจัดระเบียบ สร้างตึกเก็บคัมภีร์แห่งหนึ่งไว้ในบ้าน แบบนี้สะดวกให้ตระกูลลู่ของพวกเราบ่มเพาะมือดีขึ้นในภายหลัง”

ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างจริงจัง

“ความคิดของเจ้าข้าพอจะคาดเดาออกคร่าวๆ ตอนนี้อยู่ในกลียุค พวกเราลำพังอาศัยคนหลายสิบคนในบ้านยังไม่พอ” ยังต้องบ่มเพาะยอดฝีมือของตระกูลลู่เรามากกว่านี้ นี่เป็นสาเหตุที่ข้าสนับสนุนเต็มที่หลังจากได้ยินว่าเจ้าจะรวบรวมวรยุทธ์”

ลู่เฉวียนอันกล่าวขึงขัง

“ข้ารับใช้ผู้คุ้มกันทั้งหมดแปดสิบหกคนในตระกูลสามารถโยกย้ายได้ตลอดเวลา แต่เป็นเพราะต้องคุ้มกันคฤหาสน์ ดังนั้นที่เรียกไปด้านนอกได้อย่างแท้จริงมีแค่ราวๆ สี่สิบคน”

ลู่เซิ่งคำนวณ

“สี่สิบคนนี้ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของหมู่บ้านสิบสามแห่ง ร้านขายของสิบหกแห่งของตระกูลลู่ที่อยู่ด้านนอก เดิมก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว”

“ข้าย่อมรู้ เพียงแต่…คนที่เชื่อถือได้หายากมาก…” ลู่เฉวียนอันถอนใจ

“รับเลี้ยงเด็กกำพร้าเล่า นอกเมืองในเมืองล้วนมีเด็กข้างถนนไม่น้อยกระมัง” ลู่เซิ่งเสนอ

“เรื่องนี่…สุดท้ายต้องพิจารณาความคิดของตระกูลอื่นๆ ด้วย…”

ลู่เฉวียนอันเอ่ยอย่างลังเล

“คนของเราเดิมมีไม่พออยู่แล้ว ไฉนต้องกริ่งเกรงตระกูลอื่นอีก พัฒนาในที่ลับไม่ได้หรือ” ลู่เซิ่งแยกแยะ

“เรื่องนี้เป็นหัวข้อเปราะบาง ดึงขนเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง เกิดถูกตระกูลอื่นพบเข้า จะต้องกล่าวโทษว่าพวกเราตระกูลลู่มีแผนการร้าย ดึงดูดสายตาเกินไป”

ลู่เฉวียนอันส่ายหน้าเล็กน้อย

ลู่เซิ่งเกลี้ยกล่อมอีกสองประโยค ก็ยังไม่สำเร็จ

ในใจทราบดีว่า ลู่เฉวียนอันไม่ได้ใจร้อนเหมือนตอนยังหนุ่มอีกแล้ว ตอนนั้นเขาไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ไร้ความกังวลเบื้องหลัง ดังนั้นกระทำเรื่องราวใดจึงแน่วแน่กล้ารับผิดชอบ สร้างทรัพย์สมบัติมหาศาลของตระกูลลู่ขึ้นมา

แต่ตอนนี้…เขาห่วงหน้าพะวงหลัง ลังเลตัดสินใจไม่ได้

ลู่เซิ่งมองออกว่า ลู่เฉวียนอันสนับสนุนเขารวบรวมวรยุทธ์ เพราะมีความคิดให้ขยับขยาย

แต่พอจะเริ่มทำจริงๆ เขาก็โลเลสองจิตสองใจอีกแล้ว

พูดอีกหลายประโยค เขาก็ไม่เกลี้ยกล่อมอีก เพียงพูดถึงเรื่องสุขภาพของคนในตระกูลเท่านั้น

ต่อมาก็บอกลา

ลู่เฉวียนอันยืนอยู่ที่โถงใหญ่คนเดียว หัวคิ้วขมวดมุ่น ยังคงลังเลอยู่

ลู่เซิ่งไม่คิดจะพึ่งพาบิดาผู้นี้อีกต่อไป

กลียุคแบบนี้ถ้าหากพลังของตัวเองไม่เพียงพอ จะช้าจะเร็วก็กลายเป็นเนื้อติดมันก้อนหนึ่งในสายตาคนอื่น

เขาออกจากโถงใหญ่ ไปฝึกวรยุทธ์ที่ลานฝึกต่อ

หลังจากเขาฝึกวิชากระเรียนหยกบรรลุจุดสูงสุดของระดับสอง แต่ละวันเขาเต็มไปด้วยกำลังวังชา ต่อให้ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเกินไป

บางครั้งที่ง่วงก็จะนั่งลงพักผ่อนแค่ชั่วครู่ จากนั้นก็กลับมาคึกคักดั่งพยัคฆ์มังกร เคลื่อนไหวได้หลายชั่วยาม

ในลานฝึก เขาฝึกดาบจนถึงพลบค่ำ

ค่อยไปอาบน้ำด้วยร่างโชกเหงื่อ แล้วรุดไปกินอาหารเย็น

บนโต๊ะกินข้าว ลู่เฉวียนอัน มารดารอง ลู่เซิ่งนั่งโต๊ะหนึ่ง ญาติที่เหลือต่างแยกย้ายนั่งบนโต๊ะใหญ่อีกโต๊ะ

นี่เป็นกฎ

ลู่เฉวียนอันเป็นประมุขตระกูล ลู่เซิ่งเป็นประมุขตระกูลในอนาคต มารดารองแม้แต่ลู่เฉวียนอันที่เงียบขรึมกับลู่เซิ่งต่างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางยิ่ง นางคอยดูแลเหล่าสาวรับใช้ที่หลังลานยามปกติ

สามคนนี้เป็นคนสามคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในตระกูลลู่

ต่อจากนั้นจึงเป็นคนอื่นๆ ได้แก่มารดาสาม มารดาสี่ มารดาห้า ลู่ชิงชิง ลู่อิ๋งอิ๋ง ลู่เฉินซิน

แม้ตระกูลลู่จะถือเป็นเศรษฐีใหม่รุ่นหนึ่ง แต่ก็ยังเลียนแบบกฎของตระกูลใหญ่ๆ หลายที่

เช่นกินไม่พูด หลับไม่คุย เป็นหนึ่งข้อในนี้

คนบนโต๊ะใหญ่ทั้งสองโต๊ะ ยามกินอาหาร มีแค่เสียงตะเกียบกระทบกันเป็นบางครั้ง ที่เหลือไม่มีเสียงใดๆ เลย

“เสี่ยวเซิ่ง”

ลู่เฉวียนอันที่พูดคุยบนโต๊ะอาหารน้อยยิ่งพลันเอ่ยปาก

เขาพอเอ่ยปาก คนทั้งตระกูลค่อยๆ หยุดนิ่ง ฟังเขาพูด นี่เป็นธรรมเนียมเช่นกัน ถึงอย่างไรนอกจากเรื่องสำคัญพิเศษแล้ว ปกติเขาไม่พูดบนโต๊ะอาหาร

“ท่านพ่อ เป็นไรแล้ว”

ลู่เซิ่งวางตะเกียบลง มองไปยังลู่เฉวียนอัน

“เจ้าบอกว่าเมืองเก้าประสานรวบรวมวรยุทธ์ไม่ได้แล้ว ต้องการไปเมืองเลียบคีรีหรือไม่”

ลู่เฉวียนอันกล่าวขึงขัง

“เมืองเลียบคีรีหรือ”

ลู่เซิ่งงงงวย เขาคิดไม่ถึงว่าบิดาถึงกับต้องการให้เขาออกจากเมืองเก้าประสาน

“ถูกต้อง” ลู่เฉวียนอันพยักหน้า “ที่นั่นมีสหายเก่าของข้าคนหนึ่ง หลายวันก่อนเขาบอกในจดหมายว่า เมืองเลียบคีรีมียอดฝีมือจากจงหยวนมาเปิดสำนักถ่ายทอดวิชา ถ้าเจ้ามีความปรารถนา สามารถไปที่นั่นสักครั้ง ไม่แน่ว่าจะสามารถนำวรยุทธ์ที่ร้ายกาจของแท้จากจงหยวนกลับมาสักสองสามวิชา”

………………………………………….