บทที่ 17 เหตุเปลี่ยนแปลง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่เซิ่งวางชามข้าวลง ไตร่ตรองดูครู่หนึ่ง

เขามีความรู้สึกว่าบิดาลู่เฉวียนอันคล้ายกำลังกังวลอันใด ดังนั้นจึงคิดให้เขาไปยังสถานที่ที่ห่างไกลออกไปเล็กน้อย เช่นนี้จะได้ปลอดภัย

เพียงแต่ถ้าตวนมู่หว่านไม่โผล่มาตลอดไปจริงๆ เมืองเก้าประสานก็ไม่มีพื้นที่ให้เขาพัฒนาได้อีกต่อไป สู้ไปยังเมืองเลียบคีรีที่เจริญกว่าเมืองเก้าประสานไม่แน่ว่าจะพัฒนาฝีมือได้

“ก็ดี อย่างนั้นข้าจะรีบไปรีบกลับ ถ้าหากได้ร่ำเรียนวิชาจากยอดฝีมือที่นั่นจริงๆ จะให้คนส่งจดหมายกลับมา”

ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วตอบรับ

เมืองเลียบคีรีอยู่ห่างจากเมืองเก้าประสานไกลยิ่ง และยังไกลกว่าเมืองม่วงโชติอีกด้วย

เร่งม้าลงแส้ก็ต้องใช้เวลาสองวันหนึ่งคืนจึงจะถึง อย่าว่าแต่เดินทางด้วยรถม้า

ลู่เซิ่งตอบรับ

หลายวันให้หลัง ในทุกวันล้วนแอบซุ่มฝึกวรยุทธ์อยู่ในบ้าน หล่อเลี้ยงจิตใจสั่งสมความชำนาญ

ลู่ชิงชิงออกไปด้านนอกทุกวันอย่างเคยตัว มักได้ยินว่านางจับคนกลับมาอีกแล้ว

ลู่เซิ่งดูแลนางไม่ไหว ในคฤหาสน์เองก็ไม่มีคนดูแลนางได้ มารดารองตำหนินางไปหลายประโยคแต่ก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่ปล่อยให้นางไป

หลังจากลู่เซิ่งฝึกฝนอยู่หลายวัน ก็เตรียมเริ่มยกระดับความสามารถที่ได้มาในภายหลัง

ในความสามารถเหล่านั้น ภายใต้เงื่อนไขที่เขามีพื้นฐานของวิชาดาบพยัคฆ์ดำกับวิชากระเรียนหยก ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนครอบครองฝ่ามือทำลายใจ ทั้งยังปรับเปลี่ยนมันถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จระดับที่สามได้อย่างง่ายดายยิ่ง

ความสามารถที่เหลือไม่ต้องไปแตะต้องชั่วคราว วางแผนว่ารอเลือดลมฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ก่อน แล้วจึงค่อยปรับเปลี่ยน

ยังมีแปดสิบเอ็ดดาบนางแอ่นถลาลม เขาได้แต่ค่อยๆ ฝึก ดำเนินการเปรียบเทียบด้วยตัวเอง

วนเวียนอยู่เช่นนี้ พอใกล้จะถึงตอนที่เขาต้องออกเดินทาง ในเมืองก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีกครั้ง

เหล่านายพรานที่อยู่ใกล้เมือง หายสาบสูญไปอย่างประหลาดในวันเทศกาลหมื่นขจี

หลายวันก่อนหน้านั้น ยังมีคนเห็นพวกเขานำของป่าอย่างเช่นขนจิ้งจอกเข้ามาขายในเมือง

ภายหลังกลับหายไปโดยไร้ร่องรอย

พวกเขาล้วนหายไปในเมืองเก้าประสาน รอจนคนในบ้านรายงานที่ว่าการ เรื่องนี้จึงค่อยเป็นที่รับรู้

ที่สำคัญคือ นายพรานรายหนึ่งในนี้ พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็นมือปราบคนหนึ่งที่มีหน้าที่ในที่ว่าการ คดีนี้จึงมิได้ถูกละทิ้งส่งเดช

ไม่ตรวจสอบก็ไม่รู้ พอตรวจสอบ พลันพบจุดที่มีเลศนัย

นายพรานเหล่านั้นตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางต่างเดินบนถนนเส้นทางหนึ่ง สุดท้ายหายตัวไปบนถนนใกล้ๆ เหลาสุรามัจฉาทอง

มีคนเคยเห็นพวกเขาบนถนน

ดังนั้นพวกมือปราบจึงไปตรวจสอบที่ถนนใกล้ๆ เหลาสุรามัจฉาทองเส้นนั้น

แต่ว่าที่นั่นเพิ่งเกิดไฟไม้ จึงว่างเปล่ามีคนน้อย นายพรานเหล่านี้ไปขายของป่า ไฉนจึงไปยังสถานที่นั้น

ตอนที่ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย เสี่ยวเฉี่ยวก็รีบวิ่งเข้ามา บอกเขาว่าลู่ชิงชิงที่ไปถนนใกล้ๆ เหลาสุรามัจฉาทองในตอนกลางดึกคนเดียว

พอถึงตอนเช้ายังไม่เห็นคนกลับมา

ลู่เซิ่งใจเต้นระทึก รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว

“ชิงชิงไปที่นั่นตอนไหน” เขารีบถาม

“ไม่แน่ใจ แต่ว่า แต่ว่าสมควรเป็นตอนยามโฉ่วกลางดึก ปกติแล้วคุณหนูรองล้วนกลับมาก่อนฟ้าสาง ครั้งนี้ไม่กลับมา เสี่ยวหงหญิงรับใช้ของนางบอกข้าว่า คุณหนูให้นางรออยู่ในห้องเพื่อเตรียมน้ำร้อนไว้ให้นางอาบ

“สุดท้ายนางรออยู่นานก็ไม่เห็นคุณหนูกลับมา จึงร้อนใจแล้ว! ” เสี่ยวเฉี่ยวตอบอย่างร้อนรน

ลู่เซิ่งกำลังพักผ่อนหย่อนใจในสวนดอกไม้ เป็นการผ่อนคลายก่อนการฝึกดาบ

ไม่คิดว่าอยู่ๆ จะเกิดเรื่องแบบนี้

“เจ้ารีบไปแจ้งลุงจ้าวกับประมุขตระกูล ข้าจะไปดูก่อน!”

“เสี่ยวปาพาคนไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อนแล้ว เป็นเขาที่ส่งข่าวว่าคุณหนูหายไปกลับมา!”

เสี่ยวเฉี่ยวพูดอย่างร้อนใจ

“เสี่ยวปา…” ลู่เซิ่งหยีสองตา เขาจำผู้คุ้มกันในคฤหาสน์ผู้นั้นได้ “ข้าทราบแล้ว”

เขาสวมเสื้อนอกตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว นำดาบยาวมาตรฐานของตระกูลไปด้วย จูงม้าตัวหนึ่งออกมาจากคอกม้า แล้วรีบรุดไปยังเหลาสุรามัจฉาทอง

ทั่วทั้งคฤหาสน์ต่างปั่นป่วน ลู่เฉวียนอันถ่ายทอดคำสั่ง ให้ลุงจ้าวนำคนรุดไปเหลาสุรามัจฉาทอง นอกจากนี้ยังให้คนไปแจ้งมือปราบในที่ทำการข้าหลวงด้วย

คนจำนวนมากออกปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว

ต้องยืนยันให้ได้ก่อนว่า ลู่ชิงชิงหายตัวไปจริงๆ หรือไม่ มิใช่หายไปชั่วคราว

“ฮ่าห์!

ลู่เซิ่งขี่ม้าควบตะบึงบนถนนที่เย็นเยียบด้วยความเร็วสูง เวลายังเช้าอยู่มาก บนถนนไม่มีคน เขาจึงเดินทางได้สะดวก

ควบขับม้าในตลาด ถ้าเป็นยามปกติ ต่อให้เป็นเขา ก็หลีกเลี่ยงชาวบ้านด่าไม่พ้น

ทว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ

เสี่ยวปาส่งข่าวกลับมา บอกว่าลู่ชิงชิงหายตัวไป นี่เป็นแค่ตัวกระตุ้นที่ทำให้ลู่เซิ่งเคร่งเครียดเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกคับขันอย่างแท้จริง เป็นเรื่องประหลาดที่ก่อนหน้านี้เขาได้เจอบนถนนใกล้เหลาสุรามัจฉาทองเส้นนั้น

ม้าหวงเปียว[1]ไปถึงปากประตูเหลาสุรามัจฉาทองอย่างรวดเร็ว

เหลาสุราปิดประตูอย่างแน่นหนา ตอนนี้ฟ้าเพิ่งขมุกขมัว ยังไม่สว่างโดยสิ้นเชิง

บนถนนด้านข้างของเหลาสุรายังเป็นสีดำเกรียมเละเทะ

เป็นเพราะไฟไม่เผาผลาญโดยสมบูรณ์ ตึกไม้หลายหลังเพียงพังลงครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งรวมกับซากอาคารที่กองอยู่บนพื้น ดูอ้างว้างผิดปกติ

ลู่เซิ่งพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินเข้าสู่ถนนสีดำเส้นนี้

เพล้ง…

รองเท้าหนังเหยียบลงบนพื้น ไม่รู้ย่ำโดนเศษอันใด ส่งเสียงกังวาน

ลู่เซิ่งยื่นมือมากำด้ามดาบ เขามีประสบการณ์ในการต่อสู้มาแล้วสองครั้ง จิตใจจึงสงบมั่นคงไม่น้อย

ประกายตาทั้งสองข้างสาดไปสี่ทิศ ตรวจสอบรอบๆ ไม่หยุด

ไม่ทันไรเขาก็พบเงื่อนงำ

ในถนนสีดำที่ถูกเผาจนเกรียมเส้นนี้ บนเสาไม้ที่ปากประตูของบ้านหลังหนึ่งมีรอยกระบี่ลึกอยู่

บนพื้นมีรอยเท้าสับสน ยังเห็นพื้นดำสดใหม่ในรอยเท้าได้

ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปลูบรอยกระบี่บนเสา ในเสาไม้ที่ผื้นผิวดำเกรียมยังเป็นสีเหลืองจางๆ ไม่ได้ถูกเผาทะลุ

รอยกระบี่สายนี้พอดีฟันเข้าไปในไม้สีเหลืองจากด้านในออกมาพอดี

‘สมควรเข้าใกล้ แล้ว’

เขาค่อยๆ ชักดาบออกมา เดินเข้าไปในบ้านไม้ที่อยู่ตรงหน้า

หลังคาบ้านถูกเผาจนทะลุ พอเดินเข้าประตูไป ด้านในเละเทะสับสน เครื่องเรือนที่ถูกเผาเกรียม ผืนผ้าที่โดนเผาจนม้วน ยังมีสิ่งของที่หลอมละลายจนไม่ทราบว่าเป็นของเล่นอะไร

เข้าบ้านมาได้ไม่กี่ก้าว ลู่เซิ่งพบร่องรอยที่สอง

โต๊ะที่โดนเผาในบ้าน ล้มอยู่บนพื้น ขอบมีรอยกระบี่ลึกสองสาย ยังมีเศษโลหะเป็นจุดๆ

‘พละกำลังเยอะจริงๆ’

ลู่เซิ่งหยิบเศษโลหะขึ้นมา เดาว่านี่สมควรเป็นเศษโลหะของกระบี่ยาวที่ลู่ชิงชิงน้องรองพกติดตัว

เขาก้มมองรอยเท้าบนพื้น เพิ่มความเร็วเดินไปยังลานหลังบ้าน

ออกจากห้องน้อย เข้าสู่ลานหลังบ้านของบ้านหลังนี้

ในช่องว่างบนกำแพงหลังลาน ชายฉกรรจ์ตาเดียวคนหนึ่งสวมเกราะหนังสีน้ำตาล ผมเผ้ายุ่งเหยิง ถือดาบหลังใหญ่กำลังแนบตัวบนกำแพงเมือง พลางสบถด่าทออยู่

“ผู้ใด!”

ลู่เซิ่งเพิ่งเข้าสู่ลานด้านหลัง คนผู้นี้ก็รู้สึกตัวทันที จ้องมองลู่เซิ่งด้วยสายตาดุร้าย

“ผู้ใด ข้าต่างหากอยากถามท่านว่าเป็นผู้ใด”

ลู่เซิ่งพิจารณาอีกฝ่ายเล็กน้อย

ชายฉกรรจ์ผู้นี้สูงประมาณหนึ่งหมี่แปดสิบเก้า หรือราวๆ แปดเชียะ

กล้ามเนื้อทั่วร่างพองขึ้นทุกที่เหมือนหนูตัวน้อย ในมือถือดาบตัดฟืนใหญ่สันหนาส่องประกายแสงสีเงิน ยังเหลือรอยเลือดติดอยู่ บนตัวมีสภาวะดุร้ายราวสัตว์ป่า

“ข้าหรือ” ชายฉกรรจ์หัวเราะเหอะๆ โยนกระดาษในมือทิ้ง

“ดูเหมือนเจ้าจะเป็นคนในครอบครัวของสาวน้อยนางนั้นแล้ว สาวน้อยนั่นถึงกับกล้าสังหารศิษย์ของข้าไปสองคน ข้ากับพี่ใหญ่จึงลงมือจับนาง น่าเสียดายเจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง สาวน้อยนางนั้น พี่ใหญ่ของข้าส่งนางกลับขึ้นเขาไปก่อนแล้งจึงจะค่อยๆ เสพสุข”

“สาวน้อยหรือ”

สายตาลู่เซิ่งค่อยๆ อึมครึมขึ้น

“เห็นสภาพของท่าน สมควรมิใช่คนไร้ชื่อเสียงกระมัง ในเมืองเก้าประสานแห่งนี้คงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลลู่มาก่อน มิสู้ท่านบอกจำนวนมา ทุกคนมีวาจาค่อยๆ ปรึกษากัน”

“ผายลม ปรึกษาอะไรกัน! ตระกูลลู่มีเจ้ามาคนเดียวหรือ”

ชายฉกรรจ์ยิ้มเย็นชามองลู่เซิ่ง

“คนล้วนอยู่ด้านหลัง” ลู่เซิ่งไม่มีอะไรต้องปิดบัง อีกฝ่ายเป็นคนมีประสบการณ์ กล่าววาจาเหลวไหลออกมาคงไม่มีประโยชน์

มิสู้พูดความจริง

“มีแค่ตัวเจ้าคนเดียวถึงกับไล่ตามมา มีความกล้านัก!”

ชายฉกรรจ์หัวเราะเหอะๆ

“เจ้าสอง เจ้าสาม จับมันเอาไว้ อีกเดี๋ยวให้ตระกูลลู่ใช้เงินมาประกันตัวทีเดียว”

เสียงเขาเพิ่งขาดลง ในช่องว่างอีกด้านของลานด้านหลังมีชายฉกรรจ์สองคนกระโดดเข้ามา ต่างเป็นชายร่างบึกบึนสวมเกราะหนังสีเกาลัด คนหนึ่งถือขวานด้ามยาว คนหนึ่งถือกระบองเสมอคิ้ว

“เด็กน้อยเพียงคนเดียว ข้าคนเดียวก็จัดการได้แล้ว ท่านพ่อ ท่านเรียกพวกเราสองคนออกมาพร้อมกันทำไม” คนหนึ่งบ่น

“ใครจับมันได้ก่อนนับเป็นความชอบของผู้นั้น!”

ชายคนนั้นหัวเราะ

ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนได้ยินต่างหัวเราะตาม สายตามองลู่เซิ่งโดยไร้เจตนาดี

“แหะแหะแหะ น้องชายหน้าตาหล่อเหลาเอากลับไปเสพสุขคู่กับเด็กสาวคนนั้น กลับไม่เลว”

ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่าเจ้าสอง มองลู่เซิ่งด้วยสายตาลามก

“ผายลม เสพสุขอันใดกัน ต้องให้บิดาก่อน!”

เจ้าสามถ่มน้ำลายใส่กลางฝ่ามืออย่างย่ามใจ

“ตัดขาทั้งสองข้างของมันก่อน อย่าให้เลือดออกมากเกินไป หากพิการแล้วจะส่งผลต่อจิตใจของมัน คนล่าสุดถูกเจ้าใช้ขวานฟันมือขวาขาดไป เลือดพุ่งไปทั่ว จนคนหมดแรงแล้ว!”

“เรื่องของข้า! เจ้าเองก็ไม่ใช่ใช่ฟาดกระบองใส่หลังของคนผู้นั้นหรอกหรือ ถึงรอบของข้าคนก็เกือบหมดลมหายใจแล้ว!”

เจ้าสองตีฝีปาก

ทั้งสองคนนี้เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน เกิดมาก็มีรูปร่างกำยำแล้ว ภายหลังกราบเป็นศิษย์ตระกูลหลินแห่งเขาลมทมิฬเมืองเก้าประสาน ฝึกวิชาดาบปีศาจและดาบหักเมืองเก้าประสาน

ดาบหักหลินหงสุ่ยคือชายฉกรรจ์ที่ถือดาบตัดฟืนใหญ่สันหนา

ดาบปีศาจหลินซวงหั่วกับดาบหักหลินหงสุ่ย สิบกว่าปีก่อนหน้านี้เคยก่ออาชญากรรมฆ่าคนในเมืองเก้าประสาน ตอนนั้นคนทั้งสองสังหารขบวนพ่อค้าสองขบวนในคืนเดียว ชิงแก้วแหวนเงินทองไม่น้อยหลบหนีไป

แต่ละคนมีวิชาเฉพาะตัว ใช้ดาบตัดฟืนที่น้ำหนักมากสองเล่ม กับการใช้กระบวนท่าวิชาดาบที่มีอานุภาพ เร็วราวกับลมกรดสองชุด

พี่ใหญ่ดาบปีศาจหลินซวงหั่ว เคยสร้างผลงานการต่อสู้ที่โหดเหี้ยมผ่าคนคนหนึ่งเป็นสองท่อนในหนึ่งดาบระหว่างการไล่ล่าของเหล่ามือปราบ

ลู่เซิ่งเพิ่งจะประมือกับคนซึ่งๆหน้าเป็นครั้งแรก ทั้งยังลงมือกับคนสามคนในครั้งเดียวกัน

เขายกดาบยาวขึ้น มองไปที่เจ้าสองและเจ้าสามที่ค่อยๆ เดินเข้ามา

‘ฟันหนึ่งดาบออกไปก่อน พวกมันมีคนมาก สู้ไม่ไหวค่อยหาทางหนี’

เขากังวลใจเล็กน้อย อย่างไรตอนนี้ตนมีพลังอันใดก็ยังไม่แน่ใจ ไร้ตำแหน่งเปรียบเทียบ

ด้วยความคิดเช่นนี้

ลู่เซิ่งจึงไม่ได้ใช้วิชาดาบ็พยัคฆ์ดำ และไม่ใช้ฝ่ามือทำลายใจ

แต่ว่าจะใช้แปดสิบสี่ดาบนางแอ่นถลาลมที่ปกติตนฝึกฝน เพราะไม่ต้องการถูกคนมองเบาะแสออกตั้งแต่เริ่มต่อสู้

เขาถือดาบกึ่งแน่นกึ่งหลวม สายตามองไปยังเจ้าสอง

“มาเถอะ!” เจ้าสองฉีกยิ้ม ควงขวานยักษ์ ชี้ไปที่ศีรษะของตัวเองพลางกล่าว

“เด็กน้อย เข้าท่าเข้าทางอยู่บ้าง ฟันตรงนี้สิ! ตรงนี้!”

“ท่านปู่ของเจ้าจะยืนอยู่กับที่ให้เจ้าฟัน…”

ควับ!

พริบตานั้นมีสายฟ้าสีเงินสายหนึ่งแวบผ่าน

ดาบยาวในมือของลู่เซิ่งกลายเป็นนกนางแอ่นที่ปราดเปรียว ข้ามระยะห่างหลายหมี่อย่างฉับพลัน ฟันขวางผ่านไปบนร่างเจ้าสอง

ฉูด!

หนึ่งศีรษะพลันลอยขึ้นมา

เลือดสาดกระจายเต็มพื้น

ในตัวลานพลันเงียบงัน

………………………………………….

[1] ม้าหวงเปียว ม้าพันธุ์หนึ่ง มีขนสีเหลืองเกาลัด