บทที่ 18 เหตุเปลี่ยนแปลง (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

เจ้าสามถือกระบองเสมอคิ้วตาค้าง

ดาบหักหลินหงสุ่ยอ้าปากกว้าง มองศีรษะที่กลิ้งอยู่บนพื้น แล้วมองลู่เซิ่งที่ยืนนิ่งอยู่กับที่

ลมสารทพัดซู่ เศษผงบนพื้นถูกเป่าจนลอยฟุ้งเล็กน้อย

ทั้งสามคนล้วนเงียบงันไปชั่วขณะ

เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง อีกฝั่งดูเก่งกาจเทียมฟ้า แต่ว่าดาบที่เขาเพียงทดลองฟันออกไปก็หลบไม่พ้น

เจ้าสามตะลึงลาน สองขาตอนนี้เริ่มสั่น

หลินหงสุ่ยคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ดาบเมื่อครู่นั้นถึงกับเป็นเด็กหนุ่มบนปากไร้หนวดเช่นลู่เซิ่งใช้ออกมา

“ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐ!”

เขาพลันหัวเราะ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นแฝงความดุร้ายสายหนึ่ง

“เข้ามาเถอะ…”

ควับ!

ประกายดาบพุ่งผ่าน ครั้งนี้เป็นเจ้าสาม

เงาร่างของลู่เซิ่งตัดผ่านตรงหน้าเจ้าสาม เลือดสดๆ สาดกระจายลงมาอีกครั้ง

ศีรษะของเจ้าสามหายไปแล้วเช่นกัน กลิ้งอยู่บนพื้นหลายตลบ ไปชนใส่กองถ่านหินจึงหยุดลง

ลู่เซิ่งสะบัดเลือดบนดาบ

ในใจมีความรู้สึกรุ่มร้อนจากเลือดลมที่พลุ่งพล่าน

‘นี่คือการฆ่าคน นี่ก็คือมือดาบ! นี่ก็คือหนึ่งวาจาไม่ลงรอย ชักดาบเข้าห้ำหั่นกันตามที่เล่าขาน!’

เขากำดาบยาวแน่น ดาบยาวสีเงินที่ธรรมดา ดาบที่ยาวเท่าแขนในมือของเขาเล่มนี้ เหมือนกับสหายร่วมศึกที่ผูกพันธ์กันที่สุด

ความรู้สึกผิดปกติจางๆ ไหลออกมาจากส่วนลึกจิตใจของลู่เซิ่ง เขาพลันมีความรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในนิยายกำลังภายในหลายเรื่องที่เคยอ่านมาก่อน

ความพลุ่งพล่านซึ่งอธิบายไม่ถูกลุกไหม้ที่ก้นบึ้งจิตใจของเขา

“เข้ามา! ถ้าสังหารข้าไม่ได้ ก็จงเหมือนสวะสองตัวบนพื้น”

ลู่เซิ่งชอบความรู้สึกนี้ สองตาแดงก่ำ เลียริมฝีปากที่แห้งผาก เดินเข้าหาหลินหงสุ่ยทีละก้าว

“เด็กน้อย!”

หลินหงสุ่ยสีหน้ามีโทสะแล้ว

เขากำดาบตัดฟืนใหญ่สันหนาด้วยสองมือ สาวเท้าเดินเข้าหาลู่เซิ่ง

ควับ!

นางแอ่นสีเงินปรากฎขึ้นอย่างฉับพลัน ลู่เซิ่งฟันออกไปดาบหนึ่ง

ถึงแม้ดาบนางแอ่นถลาลมจะเป็นเพียงแค่ระดับเบื้องต้น แต่ว่าภายใต้การควบคุมวิถีดาบ อย่างชำนาญของวิชาดาบพยัคฆ์ดำ พลังจึงไม่ธรรมดา

เคร้ง!

แต่ว่าดาบนี้กลับถูกหลินหงสุ่ยยกดาบขึ้นรับไว้ได้

“ข้าจำกระบวนท่านี้ได้… นางแอ่นจิบน้ำ ดาบนางแอ่นถลาลมนี่เอง…” เขายิ้มอย่างดุร้าย “ครั้งกระโน้นข้าเกือบฟันเจ้าของเดิมของวิชาดาบชุดนี้ตายไป อย่าว่าแต่เด็กน้อยผายลมอย่างเจ้า!”

เขาออกแรง ปัดดาบยาวของลู่เซิ่งออกไป

ดาบตัดฟืนใหญ่พลันพลิกแพลง แฝงแรงอันแข็งแกร่งสุดขีดสายหนึ่ง เขี่ยเอียงๆ ขึ้นจากด้านล่าง

กระบวนท่าลมกรดในวิชาดาบลมกรดนี้เป็นท่าเริ่มต้นที่เขาใช้หลายครั้งไม่เคยผิดพลาด ทุกครั้งที่ออกกระบวนท่านี้ ถ้าอีกฝ่ายไม่หลบ ก็มิอาจไม่ถูกกดดันให้ปะทะตรงๆ กับเขา

ลู่เซิ่งเอียงร่างหลบดาบ ดาบยาวในมือใช้ท่าดาบนางแอ่นถลาลมต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง

ทั้งสองคนประมือกันอย่างรุนแรงในลานด้านหลัง

สภาวะดาบของหลินหงสุ่ยหนาหนัก ดาบใหญ่ไม่ต่างกับลูกตุ้มขนาดใหญ่ พละกำลังมากมาย พอกระทบเข้าก็รู้สึกได้ว่าแขนชา

ส่วนสภาวะดาบของลู่เซิ่งมีความเร็วสูง ทนทานมากกว่า อาศัยความเร็วของวิชาดาบนางแอ่นถลาลมปัดป่ายการโจมตีของอีกฝ่าย ขณะที่อีกฝ่ายฟันดาบเข้ามา

ความจริงทั้งสองคนล้วนมีความเร็วสูงยิ่ง สูงกว่าเจ้าสองและเจ้าสามมาก

สำหรับคนทั้งสองความเร็วดาบเช่นนี้เป็นเพียงสภาพปกติ

ลู่เซิ่งใช้ดาบถลาลมออกมาหลายสิบกระบวนท่าอย่างสมบูรณ์รอบหนึ่ง ยังคงไม่ได้เปรียบ

ส่วนทางด้านหลินหงสุ่ยคึกคักราวมังกรพยัคฆ์ พละกำลังมากจนน่าตระหนก

เคร้งๆ!

ดาบทั้งสองเล่มปะทะกันอีกครั้ง

ลู่เซิ่งไม่ระวังเท้าเหยียบใส่แผ่นไม้แผ่นหนึ่ง ร่างจึงเอียงเสียสมดุล

หลินหงสุ่ยตาเป็นประกาย ดาบตัดฟืนใหญ่พลันฟันไปด้านหน้าอย่างสุดกำลัง

“ไปตายซะ!”

เขาต้องการผ่าเด็กน้อยน่ารังเกียจผู้นี้ออกเป็นสองท่อน! อีกฝ่ายถึงกับกล้าสังหารเจ้าสองเจ้าสามต่อหน้าเขา

หากแค้นนี้ไม่ชำระ ภายหลังผู้ใดจะกล้ามาเป็นศิษย์!

ดาบตัดฟืนใหญ่แฝงการสั่นสะเทือนอันประหลาด ฟันใส่ศีรษะลู่เซิ่งจากบนลงล่างอย่างดุดัน

หัวใจของแก่นวิชาดาบลมกรด คือสามารถทำให้พลังดาบใหญ่ที่ฟันออกไปเพิ่มขึ้นผ่านทักษะการใช้แรงที่พิเศษ

นี่ทำให้หลินหงสุ่ยที่เดิมทีมีพละกำลังที่น่าทึ่งอยู่แล้ว วิถีดาบบนดาบยิ่งน่าตกตะลึงกว่าเดิม

ดาบใหญ่ฟันลงใส่ลู่เซิ่ง

โฮก!

ในตอนนี้เอง ลู่เซิ่งตั้งตัวตรง ยืนมั่นในพริบตา ดาบยาวในมือเร่งความเร็วจนสั่นสะเทือนส่งเสียงคำรามอย่างเลือนรางออกมา

กรรซ์!

เป็นเสียงพยัคฆ์คำราม!

ลู่เซิ่งสองตาแดงก่ำ พลันใช้ท่าพยัคฆ์สังหารในวิชาดาบพยัคฆ์ดำ

คมดาบแฝงพลังสั่นสะเทือนและพลังระเบิดอันมหาศาล ฟันลงบนแขนทั้งสองข้างที่กำดาบของหลินหงสุ่ยอย่างดุดัน ความเร็วของดาบนี้รวดเร็วและรุนแรงมากกว่าดาบตัดฟืน!

“บังอาจ!” ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนอย่างเดือดดาลสายหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอกช่องของตัวลาน

พริบตานั้นเงาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งมาถึง กระแทกใส่ดาบของลู่เซิ่งอย่างดุดัน

เคร้ง!

นั่นเป็นก้อนหินสีขาวอมเทาก้อนหนึ่ง

มีชายฉกรรจ์ถือดาบตัดฟืนใหญ่สันหนาคนที่สองกระโดดเข้ามาในตัวลาน

ชายฉกรรจ์คนนี้ตั้งแต่หน้าผากจรดคาง มีแผลเป็นตัดไว้สองสาย มองไปดุร้ายผิดธรรมดา

“พี่ใหญ่!”

หลินหงสุ่ยเพิ่งถูกเสียงคำรามที่วิชาดาบพยัคฆ์ดำทำให้เกิดขึ้น กระแทกเขาจนตอบสนองช้าไปหนึ่งจังหวะ เกือบถูกลู่เซิ่งฟันสองแขนขาด

ยามนี้เขารีบฉวยโอกาสเก็บดาบ เหงื่อกาฬเม็ดใหญ่ไหลออกมาบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าตกใจเกือบสำลัก

“ที่เด็กน้อยนี้ใช้เป็นวิชาดาบพยัคฆ์ดำ รับมือยาก! มีคนรุดมาแล้ว รีบจัดการมันด้วยกัน!”

หลินซงหั่วมองศพสองศพบนพื้น กล่าวเสียงเคร่งเครียด

“ดี!”

สองพี่น้องแบ่งเป็นสองทาง พุ่งเข้าหาลู่เซิ่งพร้อมกัน

ลู่เซิ่งแตกตื่นแต่ไม่หวาดกลัว ใช้กระบวนท่าบารมีพยัคฆ์ของวิชาดาบพยัคฆ์ดำ สภาวะดาบดุดัน แข็งแกร่งกว่าดาบนางแอ่นถลาลมมาก

วิชาดาบพยัคฆ์ดำที่เขาฝึกสำเร็จมีอานุภาพเหนือทั้งสองคน ทุกๆ ดาบล้ำหน้าทั้งสองคนไปก้าวหนึ่ง ฟันใส่จุดสำคัญที่ไม่อาจไม่ป้องกันของอีกฝ่าย

ชั่วเวลาสั้นๆ กระบวนท่าบารมีพยัคฆ์ถูกเขาใช้ออก ติดต่อกันสิบเจ็ดครั้ง!

ฟุ่บๆๆ!

เสียงตวาดดังติดต่อกันในตัวลาน สองพี่น้องร่วมมือกัน ถึงกับเพียงสู้สูสีกับลู่เซิ่ง

กระบวนท่าดาบของพวกเขาไม่มีโอกาสปะทะตรงๆ กับลู่เซิ่ง ทุกครั้งใช้ออกไปครึ่งหนึ่งก็ถูกกดดันให้กลับไปป้องกันตัว

การต่อสู้ที่ดุเดือดนี้กินเวลาครึ่งก้านธูป หลินซงหั่วทนไม่ไหวแล้ว ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง อาศัยช่องว่างที่น้องชายกันไว้ชั่วคราว ยื่นมือหยิบห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ แล้วโยนใส่ลู่เซิ่ง

“ตายซะ!”

ผุ่บ!

ห่อกระดาษถูกลู่เซิ่งฟันแหลกไปในหนึ่งดาบ ผงหินจำนวนมากกระจายออกมาจากด้านใน

เขาตกใจ จึงกลั้นลมหายใจและหลับตาลง

ไม่ทันคิดมาก สุดท้ายใช้กระบวนท่าพยัคฆ์คำรามออกไปอย่างบ้าคลั่ง

โฮก!

เป็นเสียงเสือคำรามดังขึ้นอีกครั้ง

เคร้งๆ!

ครั้งนี้ดาบยาวในมือของลู่เซิ่งไม่อาจหลบเลี่ยง ปะทะตรงๆ กับดาบตัดฟืนทั้งสองเล่ม

เสียงแกร่กดังขึ้น ดาบยาวหักออก หมุนวนกระเด็นจากด้านข้างไปเสียบลงบนพื้นดิน

แต่กระบวนท่าพยัคฆ์คำรามในฐานะกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของวิชาดาบพยัคฆ์ดำ พละกำลังกับความเร็วไม่อาจดูแคลน

ดาบตัดฟืนในมือพวกหลินหงสุ่ยก็ถูกกระแทกจนวิถีพลังคลายตัว

“ดูว่าครั้งนี้เจ้าจะเอาอะไรมาป้องกันตัว! ไปตายซะ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

หลินซงหั่วหัวเราะ นักดาบที่ไร้ดาบก็เหมือนแพะรอถูกเชือด ขีดความสามารถแตกต่างกันมหาศาล

เขากำลังกำดาบจะจัดการลู่เซิ่ง

ผัวะๆ!

ในตอนนี้เอง เสียงฝ่ามือกระแทกสองเสียงพลันดังขึ้น

หลินซงหั่วลืมตาค้าง มองลู่เซิ่งที่ฉวยโอกาสเข้ามาใกล้ สองฝ่ามือสภาวะดุจสายฟ้าฟาด กระแทกเข้าที่หน้าอกของหลินหงสุ่ยน้องชายติดต่อกัน

ดาบตัดฟืนใหญ่ในมือของหลินหงสุ่ยหล่นเคร้งลงกับพื้น

เขาถอยหลังอย่างไม่กล้าเชื่อสองก้าว กุมหน้าอกพูดไม่ออก

“พี่… พี่ใหญ่… รีบ… หนี!”

ฟู่ว!

หลินหงสุ่ยกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง หงายหลังล้มลง

ลู่เซิ่งอยู่ในสภาพเลือดลมพลุ่งพล่านอย่างน่าประหลาด

หลังเขาฆ่าหลินหงสุ่ยแล้ว ก็วูบไหวร่าง ใช้ท่าเท้าของฝ่ามือทำลายใจ พุ่งเข้าใส่หลินซงหั่วที่อยู่ใกล้แค่คืบ

หลินซงหั่วเหมือนตื่นจากความฝัน ตะโกนอย่างเดือดดาล คิดจะใช้ดาบขวางเขาไว้

แต่ว่าสายไปเสียแล้ว

ความตายของน้องชายทำให้เขาชะงักไป พริบตาเดียวที่เสียเวลา ก็มากพอจะทำให้ลู่เซิ่งเข้าประชิดตัว

ผัวะผัวะผัวะ!

สามฝ่ามือติดต่อกัน สองมือลู่เซิ่งกระแทกใส่หน้าอกกับท้องน้อยของหลินซงหั่วเหมือนสายฟ้าฟาด

พลังอันพิสดารของฝ่ามือทำลายใจชำแรกผิวหนังกล้ามเนื้อ ทะลุถึงอวัยวะภายใน

หลินซงหั่วหน้าแดง ถอยหลังไปหลายก้าว ทรุดนั่งลงกับพื้น

เขามองลู่เซิ่งเขม็ง อ้าปากคิดกล่าวอันใด แต่ว่าปากมีเลือดที่ไหลออกมาตลอดเวลา ทำให้เขาส่งเสียงไม่ออก

ตุบ!

หลินซวงหั่วล้มหงายไปด้านหลัง ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป

ลู่เซิ่งหัวเราะเหอะๆ สองคำ

‘สองยอดฝีมือระดับพลังปลอดโปร่งร่วมมือกัน… สมควรเป็นดาบปีศาจกับดาบหักที่ลุงจ้าวเคยไล่ล่าสมัยยังหนุ่ม คิดไม่ถึงวันนี้จะตายด้วยมือเรา’

เขามองสี่ศพบนพื้น ใจเต้นระทึก เลือดลมทั่วร่างพรั่งพรูชั่วขณะ

‘หรือว่านี่จะเป็นระดับสำนึกปลอดโปร่งของคนฝึกวรยุทธ์ที่ลุงจ้าวเคยพูดถึง และเป็นสำนึกจิตรวมเป็นหนึ่งซึ่งก่อนหน้าอาจารย์จางสวินเคยชี้แนะ’

หากบอกว่าพลังปลอดโปร่ง เป็นขอบเขตที่ควบคุมแรงทั้งหมดทั่วร่างได้

เช่นนั้นระดับสำนึกปลอดโปร่ง ก็เป็นการผสานสายตา จิตใจ เสียง ความสามารถหลากหลายในการโจมตีศัตรูจากหลายทิศทาง

ขณะเดียวกัน ในขอบเขตสำนึกปลอดโปร่ง การควบคุมพลังของตัวเองยังมากกว่าขอบเขตพลังปลอดโปร่ง

ร่างกายกล้ามเนื้อของคนไหนเลยสามารถควบคุมได้หมดอย่างง่ายดาย

ลู่เซิ่งยังจำได้ว่าที่โลกปัจจุบันเคยมีคนวิจัยมาก่อนว่า ถ้าหากรวบรวมพละกำลังทั้งหมดของกล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างไปที่จุดหนึ่ง

ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ธรรมดาทั่วไป ก็สามารถแสดงพลังที่น่ากลัวหลายตันได้

นี่คือขีดจำกัดทางทฤษฎี

แต่ว่ากระดูกข้อต่อของคนไม่อนุญาตให้ใช้แรงขนาดนี้ได้

ดังนั้นจึงเป็นเพียงทฤษฎี

ส่วนการหลอมรวมปราณ สมควรใกล้เคียงกับการใช้กล้ามเนื้อระดับนี้ให้ถึงขีดสุด

ลู่เซิ่งยังยืนอยู่ในลาน ค้นดูเสื้อผ้าและถุงข้างเอวของพวกพี่น้องหลินซวงหั่ว

เจอตั๋วเงินปึกหนึ่งจากถุงข้างเอวของพวกเขา ล้วนเป็นตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง ไม่มีจำนวนย่อย เขายัดเข้าถุงเอวตัวเองอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็ได้สมุดดำเล่มเล็กเก่าขาดเล่มหนึ่ง ไม่ทราบใช้หนังอะไรทำ สมุดเล็กๆ เล่มนี้ถูกหลินซวงหั่วพกไว้กับตัว แสดงว่าสำคัญมาก

สิ่งของไร้สาระอย่างอื่น ลู่เซิ่งไม่แตะต้อง เขายืนพักผ่อนเงียบๆ ในตัวลาน รอคนในตระกูลลู่มา

ก่อนหน้านี้ประมือกับคนบรรลุขอบเขตพลังปลอดโปร่งทั้งสองคน เขาความจริงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

หลินซวงหั่วกับหลินหงสุ่ยต่างมีพละกำลังมหาศาลมาแต่กำเนิด บวกกับวิชาดาบลมกรดก็ยิ่งเสริมแรง นี่ทำให้สภาวะดาบของคนทั้งสองหนักสุดขีด

ตอนปะทะตรงๆ ครั้งสุดท้าย

กล้ามเนื้อแขนขวาของลู่เซิ่งถูกกระแทกจนบาดเจ็บ ส้นเท้าปวดแปลบ สมควรเป็นการระเบิดที่แข็งแกร่งทำให้เอ็นเท้าได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

ยังมีบ่าทั้งสองข้างเพราะออกแรงใช้ดาบอย่างสุดกำลังในระยะเวลาอันสั้น บวกกับการปะทะครั้งสุดท้าย ตอนนี้ส่งความเจ็บปวดมา ไม่ทราบว่ากระดูกเสียหายหรือไม่

………………………………………….