บทที่ 10

ถังหยินตกใจได้สิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่ชายหนุ่มจะเริ่มค้นหาผ่านความทรงจำของหยานหลี่อีกครั้ง ใช่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะไปเป็นขุนนางในจักรวรรดิเฮาเทียนได้ คนที่จะทำหน้าที่นี้ได้จะต้องได้รับใบอนุญาตเพื่อเปิดโอกาสที่เข้าสู่ราชสำนัก ซึ่งแคว้นเฟิงเองก็มีกฎแบบนี้อยู่เช่นเดียวกัน

เมื่อเข้าใจแล้ว ชายหนุ่มก็พยักหน้าและถาม “เจ้าเลือกที่จะเข้ากองทัพเพื่อจัดการศัตรูเพื่อให้ได้ตำแหน่งและลาภยศสินะ?”

เด็กคนนั้นตอบตามตรง “ใช่แล้วล่ะ การได้ตำแหน่งในกองทัพมันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับแบบอื่น ๆ ”

นี่คือความเป็นจริง แคว้นเฟิงมีธรรมเนียมยึดติดกับการต่อสู้ ในช่วงสงคราม ทางกองทัพจะให้รางวัลจากผู้ที่ตัดหัวข้าศึกได้มากที่สุด ยิ่งใครนำหัวกลับมาได้มากเท่าไหร่ คนผู้นั้นก็ยิ่งได้รางวัลเยอะมากขึ้นเท่านั้น

ถังหยินหัวเราะเมื่อเขามองเด็กหนุ่ม “ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ไม่เคยฝึกฝนพลังปราณมาก่อน ? ”

เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าเป็นนักปราชญ์น่ะ”

ถังหยินยักไหล่และพูดต่อ “ถ้าไม่ใช่อาวุธแล้วจะฆ่าพวกมันเพื่อเอาหัวได้ยังไงกัน ? แล้วถ้าไม่ได้หัว เจ้าจะเอาตำแหน่งมาได้ไง ? ”

เด็กหนุ่มหัวเราะ รอยยิ้มของเขาเจ้าเล่ห์มากในขณะที่เขาพูด “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ข้าต้องหาใครสักคนมาร่วมมือด้วย ตอนแรกข้าก็หาไม่เจอแต่ว่า…” ดวงตาของเขาส่องประกายเมื่อเขามองถังหยินและหัวเราะ “ตอนนี้ข้าพบแล้ว”

ถังหยินเหล่ตาของเขาชี้ไปที่จมูกตัวเอง “ไม่ได้หมายถึงข้าใช่ไหม ? ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นซ้ำ ๆ “เจ้ามีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจ ส่วนข้าก็มีความรู้ ถ้าพวกเราร่วมมือกัน จะต้องได้ตำแหน่งมาแน่ ๆ ”

ถังหยินเย้ยหยันด้วยความไม่สนใจ “ข้าไม่ขอแบกภาระไว้กับตัวหรอก” สำหรับเขานั้น เด็กหนุ่มที่ไม่เคยฝึกวิชามาก่อนแบบนี้ อย่างมากก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์ “แถมข้าไม่ได้สนใจในตำแหน่งอะไรนั่นหรอก สงครามนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”

ตอนนี้ชายหนุ่มมีความคิดเพียงอย่างเดียวในใจของเขา ซึ่งนั่นก็คือเดินทางไปยังเมืองจันทราวิญญาณที่สุดทางฝั่งตะวันตก เพื่อล้างแค้นคริสตัลกับซวนโจว

เมื่อเห็นสีหน้าเขาเย็นชา เด็กหนุ่มจึงถามอย่างระมัดระวัง “แล้วเจ้าต้องการอะไรกัน ? ”

“ข้าต้องการไปเมืองจันทราวิญญาณ!”

“เมืองจันทราวิญญาณ” เด็กหนุ่มตกใจและถามว่า “เมืองที่อยู่ทางสุดทางฝั่งตะวันตกใช่ไหม?”

“ถูกต้อง” ถังหยินตอบกลับอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าถึงต้องการไปที่นั่น ? เมืองนั่นมันพังไปหลายร้อยปีแล้วด้วย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จำชื่อเมืองนี้ได้”

“ว่าไงนะ ? ” ถังหยินรู้สึกตกใจ เมืองจันทราวิญญาณล่มสลายไปแล้วงั้นเหรอ ? เป็นไปได้ยังไงกัน ? ตอนที่หยานหลี่ปะทะกับซวนโจว มันยังเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากเลยนี่นา มันจะล่มสลายไปได้ยังไงกัน ? นี่หยานหลี่เห็นเมืองผีมางั้นเหรอ ?

เขาหัวเราะเยาะและพูดอย่างเยือกเย็น “เจ้าหลอกข้า”

“ทำไมข้าต้องหลอกเจ้าด้วย ? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเจ้าอยากพิสูจน์ ถ้างั้นเจ้าก็ไปถามคนรอบ ๆ นี้ดูสิว่ามีใครจำชื่อเมืองจันทราวิญญาณได้ไหม ? เมืองนั้นนะ มันเหลืออยู่แค่ในหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้นแหละ”

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะโกหก ถังหยินก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เขาเห็นก็คือความทรงจำของหยานหลี่ แถมตัวหยานหลี่เองก็กลายเป็นกระดูกไปแล้วด้วย มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว… ซึ่งเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดไปไกลอีก “ตอนนี้… ปีอะไร ? ”

ปฏิทินจักรวรรดิเป็นการบันทึกวันของจักรวรรดิเฮาเทียน ใช้เพื่อในการจดจำวันและเวลาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้นมันจึงได้มีชื่อเรียกว่าปฏิทินจักรวรรดิ

เด็กหนุ่มมองไปที่ถังหยินอย่างประหลาดและพูดว่า “ปีนี้ปี 805 เจ้า… ปกติดีไหมเนี่ย ? ”

ปกติก็แย่แล้ว ?!

หัวของถังหยินมึนงง เขามั่นใจเลยว่าหยานหลี่ต่อสู้กับซวนโจวเมื่อปี 305 แต่ตอนนี้มันคือปี 805 พูดอีกนัยหนึ่งก็คือมันผ่านมาแล้ว 500 ปี เขาคว้าคอของเด็กหนุ่มและถามด้วยเสียงที่ดุดัน “เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม ? ”

เด็กหนุ่มเริ่มตกใจกับสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย “จะ… จะไปหลอกเจ้าได้ไงเล่า ? ปีนี้คือปีที่ 805 แล้วนะ ! ”

ถังหยินค่อย ๆ ปล่อยมือของเขาออก ชายหนุ่มทรุดตัวลงบนพื้นด้วยขาอันอ่อนแรงราวกับลูกหนังที่ถูกปล่อยลม

เป็นเรื่องยากมากที่จะคิดว่าหยานหลี่ตายไปแล้วเมื่อ 500 ปีก่อน ในช่วงเวลานั้น มันคงเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงการล่มสลายของเมืองจันทราวิญญาณด้วยเช่นกัน

ถังหยินไม่ได้เป็นคนของโลกนี้ แถมหยานหลี่ที่รวมร่างกับเขาก็ตายไปนานแล้วด้วย ชายหนุ่มหลับตาลง การมีอยู่ของเขาบนโลกนี้คืออะไรกันแน่นะ ?

คริสตัลไม่สามารถอยู่ได้ถึง 500 ปี ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ซวนโจวจะมีชีวิตยาวนานถึง 500 ปีเช่นกัน ความเกลียดชังทั้งหมดได้หายไปตั้งแต่ 500 ปีที่แล้ว ในขณะที่ถังหยินเพิ่งจะค้นพบเป้าหมายในชีวิต ตอนนี้เขากลับไม่รู้ที่จะทำอะไรต่อไปแล้ว

“เจ้าเป็นอะไรไป ?” เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าถังหยินกำลังมีปัญหาบางอย่าง ถังหยินส่ายหัว ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มมีเป้าหมายในชีวิต แต่สิ่งที่ว่ามานั้นกลับสูญสลายไปหมดแล้ว เขาบ่นพึมพำ

“ข้าไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนอีก ข้าไม่มีที่ไปอีกแล้ว”

เด็กหนุ่มจ้องมาที่เขาแล้วพูดเสียงดัง “ยังจะต้องคิดมากอีกเหรอ ? ตอนนี้โลกที่พวกเราอยู่มันก็วุ่นวายมากพอแล้ว แน่นอนว่าพวกเราจะต้องทำในสิ่งที่โลกนี้ต้องสะเทือนสิ…” เมื่อรู้สึกว่าคำพูดของตนมันดูเกินจริงไปหน่อย เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนน้ำเสียงอีกครั้ง “แต่ก็นะ ตอนนี้ที่สำคัญคือพวกเราจะหนีกันไปยังไงต่างหาก ! ”

“หนี ? ” ถังหยินเงยหน้าขึ้น

เด็กหนุ่มยังคงพูดอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้การเดินทางข้ามแคว้นหนิงนับว่าผิดกฎหมาย ใครก็ตามที่แหกกฎจะถูกพวกทหารจัดการ จนถึงตอนนี้มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามกลับไปยังแคว้นเฟิง คาดว่าน่าจะมีทหารชาวหนิงนับ 1 แสนคนที่ไล่ล่าตามหลังพวกเรามา”

ถังหยินรู้ว่าทั้งแคว้นโมและแคว้นหนิงได้รุกรานมาถึงแคว้นเฟิงแล้ว และการต่อสู้ระหว่างแคว้นก็ไม่เคยจบสิ้นลง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมันก็ทำให้เขตเฮอตงที่เต็มไปด้วยทรัพยากรร่ำรวยขึ้นมา

ทว่าหลังจากที่แคว้นหนิงพ่ายศึกบ่อยครั้งเข้า พวกเขาจึงได้ร้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นเฟิงให้มาช่วยรบ อ๋องของแคว้นหนิงนั้นได้ให้สัญญาว่าจะมอบครึ่งหนึ่งของอาณาเขตในเฮอตงให้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่อาจตกลงกันได้ ในเวลานี้ ทั้งแคว้นเฟิงและแคว้งหนิงต่างก็อ้างสิทธิ์ในการครอบครองเขตเฮอตง และประกาศให้เขตนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นตน

เพราะเหตุนี้จึงทำให้สงครามแย่งชิงอาณาเขตเฮอตงจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความสูญเสียที่มากขึ้น และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง สุดท้ายแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังคงไม่มีแคว้นไหนที่ได้ครอบครองเขตเฮอตงเลยสักแคว้น

“สงครามนี้เริ่มต้นขึ้นเพราะเขตเฮอตงเหรอ?” แม้ว่ามันจะเป็นเวลา 500 ปี แต่ถังหยินก็ยังพอคาดเดาเรื่องราวได้

เด็กหนุ่มพยักหน้า

“ใช่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเราสู้มาหลายสนามรบทั้งกับพวกหนิง พวกยู่ พวกอัน แคว้นพวกนั้นพวกเราล้วนผ่านมาหมดแล้ว และด้วยการช่วยเหลือของพวกหนิง แคว้นของพวกมันจึงค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเราป้องกันพวกมันด้วยความยากลำบาก อีกอย่างพวกเราจะไปเอาชนะข้าศึกได้ยังไงถ้าหากว่าท่านอ๋องมัวแต่ตื่นตระหนกและไม่กล้าตัดสินใจแบบนี้ ข้าคิดว่าเราน่าจะต้องรอเวลาสักนิดหนึ่งเพื่อที่จะได้กลับไปยังเขตเฮอตงได้”

มุมปากของถังหยินกระตุก แต่ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก นับตั้งแต่ที่แคว้นเฟิงได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา สงครามก็เกิดขึ้นไม่เคยหยุด พวกขุนนางมากอำนาจต่างก็พยายามที่จะเอาชนะในศึกสงครามให้ได้ และด้วยการพ่ายแพ้ของทหารกว่า 2 แสนนาย มันก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เรื่องราวดังกล่าวจะไปปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของแคว้นเฟิง

“จริงสิ ข้าชื่อชิวเจิ้น เจ้าล่ะ ? ”

“ถังหยิน”

“แผนของเจ้าคืออะไร ? เจ้ายังคิดที่จะไปยังเมืองจันทราวิญญาณอยู่หรือเปล่า ? ”

ถังหยินส่ายหัว จุดประสงค์ในการไปยังเมืองจันทราวิญญาณตอนนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

“ข้าแนะนำว่าให้เจ้าอยู่ในกองทัพต่อไป ด้วยความสามารถที่มี เจ้าจะต้องเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็วแน่ ๆ ส่วนข้าเองก็ว่าจะหนุนหลังเจ้า เพื่อเติบโตขึ้นไปพร้อมกัน ! ” เด็กหนุ่มนามชิวเจิ้น ยิ้มออกมา แม้ว่าถังหยินจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา แต่คำพูดนี้ก็ตรงไปตรงมาก็ทำให้ชายหนุ่มดูเป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย

อีกอย่าง ต่อให้มันเกิดว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติจริง ๆ ยังไงเสียการติดตามถังหยินก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร ท้ายที่สุดแล้วเขาเองก็สามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว

ถังหยินมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทางประหลาดใจและพูดว่า “เจ้าอยากจะตามข้ามางั้นเหรอ ? ”

ชิวเจิ้นหัวเราะและพยักหน้า “จะพูดแบบนั้นก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อข้ารู้ความลับของเจ้าแล้ว เพราะงั้นเจ้าก็ต้องการให้ข้าอยู่ใกล้ ๆ ใช่ไหมล่ะ ! ” เด็กหนุ่มคิดว่าถังหยินน่าจะเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด

“แต่ถ้าข้าฆ่าเจ้า ถ้างั้นข้าก็ไม่ต้องคอยทำแบบนั้นแล้วซินะ ? ” ถังหยินถามกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย