บทที่ 11

“เจ้าคงไม่ทำแบบนั้นแน่” ชิวเจิ้นกล่าวด้วยความมั่นใจ

ถังหยินไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหน แต่อันที่จริงแล้วเขาเองก็เลิกคิดที่จะฆ่าอีกฝ่ายนานแล้ว หยานหลี่เคยอยู่บนโลกนี้ แต่นั่นมันก็เมื่อ 500 ปีที่แล้ว

ตอนนี้มันคือช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้างั้นเขาก็ต้องหาคนที่ฉลาด ๆ ไว้ข้างตัว และเมื่อสังเกตจากลักษณะแล้ว ชิวเจิ้นก็คือคนที่เขาต้องการมากที่สุด

แต่ถึงอย่างงั้น ถังหยินก็อดไม่ได้ที่จะขู่ “ขอเหตุผลที่ข้าไม่ควรฆ่าเจ้าหน่อย”

“ถ้าฆ่าข้า เจ้าจะขาดที่ปรึกษาผู้คอยให้คำแนะนำที่เก่ง ๆ ไป”

ชายหนุ่มเย้ยหยันและยักไหล่ “นั่นไม่จำเป็นสำหรับข้า”

ชิวเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ตอนนี้อาจจะไม่ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ เจ้าอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าสำคัญแค่ไหนต่ออนาคตของเจ้า”

“ถ้างั้นข้าจะรอดู” ถังหยินไม่ได้เก็บเอาคำของอีกฝ่ายมาคิดแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เขามีความรู้สึกว่าไอ้เวรตรงหน้านี่มันหยิ่งเกินไปเลย เขาไม่เคยเจอใครที่กล้าพูดแบบนี้มาก่อนเลย

คำพูดของชิวเจิ้นนั่น ถือได้ว่าจี้จุดเข้าอย่างจัง ในอนาคต หากชิวเจิ้นกลายเป็นผู้ช่วยของเขาจริง ๆ มันจะทำให้ชายหนุ่มก้าวกระโดดในตำแหน่งทางการเมืองอย่างแน่นอน ดีไม่ดีเขาอาจทำการพลิกทั้งจักรวรรดิได้เลยด้วยซ้ำ ต่อให้หลายปีผ่านไปมี ถังหยินอีกนับ 10 คนกำเนิดขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่สู้เท่ากับการมีชิวเจิ้นคนเดียวหรอก

“พวกเราอยู่ที่นี่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว รีบหนีกันเถอะ ! ”

ชิวเจิ้นมองไปรอบ ๆ และเมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่ามีพวกทหารจากหนิงกลุ่มใหญ่กำลังวิ่งเข้ามา เขาก็พลันชักชวนให้ถังหยินหลบหนีทันที

ถังหยินถาม “จะหนีไปที่ไหนได้ ? ”

“แน่นอนว่าไปที่ประตูหน้าด่านตงไง ! ”

ประตูหน้าด่านตงเป็นทางเชื่อมสำคัญที่อยู่ในแคว้นเฟิง มันเป็นประตูที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกซึ่งเชื่อมต่อกับเขตเฮอตงและแคว้นหนิง หากผ่านเขตหน้าด่านนี้ไป ก็จะเจอเส้นทางที่นำไปถึง ‘เมืองหลวงหยาน’ แห่งแคว้นเฟิง

ตามปกติแล้วจะมีกองทหารคอยประจำการอยู่ที่ประตูตง ทว่าในตอนนี้พวกเขานั้นถูกส่งออกไปรบกับพวกหนิง ดังนั้นประตูตงจึงน่าจะเป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุดในการข้ามไป

เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกไล่ล่าพวกหนิง ถังหยินและชิวเจิ้นจึงเลือกที่จะเดินผ่านพุ่มหญ้าไป

ถังหยินเป็นคนเงียบขรึม บุคลิกของเขาเป็นคนที่ดูเยือกเย็นและเฉยเมย มันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ชายหนุ่มเติบโตขึ้นมา หากแต่ชิวเจิ้นนั้นตรงกันข้าม เพราะเมื่อเขาเดินทางไปด้วยกัน ปากของเด็กหนุ่มก็แทบไม่เคยหุบเลย เขาถามทุกอย่างแม้ว่าถังหยินจะพยายามเมินแล้วก็ตาม

“ถังหยิน พลังของเจ้าในตอนนี้ยังนับว่าอ่อนแอ”

ถังหยินไม่ได้ส่งเสียงตอบรับ ทว่าเขาก็พยักหน้าเป็นคำตอบ ตอนที่ชายหนุ่มรวมร่างกับหยานหลี่ มันก็ไม่ได้มีการส่งมอบพลังเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ ถึงชายหนุ่มจะใช้เพลิงแห่งความมืดเพื่อดูดกลืนคนมาพอสมควร แต่มันก็ยังไม่มากพอ

ชิวเจิ้นยังคงถาม “เจ้าบรรลุถึงขั้นไหนแล้ว ? ”

ระดับขั้นของลมปราณมีด้วยกันทั้งหมด 8 ระดับ นั่นก็คือ ปราณแรกสัมผัส ปราณรับรู้ ปราณแท้จริง ปราณวิบัติ ปราณสู่พิสดาร ปราณบรรพกาล ปราณเทพเจ้า และปราณไร้ลักษณ์

ถังหยินตอบ “มันสำคัญด้วยหรือ ? ”

“สำคัญแน่นอนสิ ! ” ชิวเจิ้นพูดจริงจัง “เจ้าจะต้องเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของตัวเจ้าเองเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรที่มันสำคัญ”

ถังหยินหัวเราะ ดูเหมือนว่าชิวเจิ้นจะคิดว่าเขาเป็นทหารที่บ้าพลัง แต่ทว่าชายหนุ่มเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงบอกเด็กหนุ่มไปตรง ๆ ว่า “ข้าเกือบจะทะลวงผ่านระดับปราณรับรู้ได้แล้ว”

ชิวเจิ้นพยักหน้าด้วยรูปลักษณ์ ‘ข้าเข้าใจ’ และบ่นพึมพำ “อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ ระดับของเจ้ายังถือว่าอ่อนแอ”

คราวนี้เป็นทีของถังหยินที่สงสัยบ้างแล้ว เขาถามกลับไปว่า “เจ้ารู้ได้ยังไง ? ”

ชิวเจิ้นกล่าวต่อ “เพลิงแห่งความมืดที่เจ้าใช้ก่อนหน้า มันคือวิชา ‘จุดระเบิดแห่งความตาย’ ซึ่งถ้าข้าจำไม่ผิด มันเป็นเพียงแค่วิชาศาสตร์มืดระดับเริ่มต้นเท่านั้น”

ถังหยินประหลาดใจมาก มันน่าตกใจที่เด็กหนุ่มคนนี้สามารถบอกได้ถึงระดับวิชาของเขา ว่าแล้วชายหนุ่มก็พลันยิ้มออกมา “ข้าชักจะเชื่อแล้วล่ะว่าเจ้าเป็นชายผู้รอบรู้จริง ๆ ”

นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหยินยกย่องเด็กหนุ่มคนนี้ ทว่าชิวเจิ้นนั้นกลับดูเหมือนจะไม่ได้จริงจังกับคำชมของชายหนุ่มสักเท่าไหร่ “ข้ารู้มากกว่านั้นอีกนะ ! เพลิงแห่งความมืดน่ะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ขั้นแรกคือ ‘จุดระเบิดแห่งความตาย’ ที่สามารถเผาผลาญและดูดกลืนพลังงานครึ่งหนึ่งของทุกสิ่งบนโลก”

“ส่วนขั้นถัดมาก็คือ ‘ระเบิดวิญญาณ’ มีความสามารถเหมือนขั้นก่อนหน้า เพียงแต่ประสิทธิภาพในการดูดกลืนพลังงานนั้นกลับมากกว่าขั้นก่อนถึง 100 เท่า”

“ขั้นสุดท้ายก็คือ ‘เพลิงทำลายล้าง’ ที่สามารถเผาทุกอย่างบนโลกได้ง่ายดาย อย่างไรก็ตาม นี่ดูเหมือนจะเป็นขีดจำกัดของพลังศาสตร์มืดแล้ว ไม่มีใครเคยใช้เพลิงแห่งความมืดระดับ 3 ได้มาก่อนเลย” ระหว่างที่พูด เขาก็เห็นเข้ากับรอยยิ้มอันแสนขมขื่นของถังหยิน

เมื่อเห็นว่าคำพูดมันแทงใจดำอีกฝ่าย ชิวเจิ้นจึงรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว “เจ้าน่ะเก่งกาจอยู่แล้ว จากที่ข้ารู้มา มีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้เพลิงแห่งความมืดได้ ที่ข้าจะพูดก็คือ ตัวข้านั้นไม่เคยเห็นใครสักคนที่ใช้เพลิงแห่งความมืดเช่นเจ้ามาก่อน เพราะมันเป็นดั่งวิชาในตำนาน การที่เจ้าสามารถใช้มันได้อย่างชำนาญเช่นนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว”

ต่อให้ชิวเจิ้นไม่พูด ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าวิชาเพลิงแห่งความมืดนั้นฝึกฝนยากเพียงใด อย่าว่าแต่ตัวเขาเองเลย แม้แต่หยานหลี่ก็ไปถึงแค่ขั้นที่ 2 เท่านั้น ไม่งั้นแล้วพวกศัตรูคงตายด้วยน้ำมือ หยานลี่ไปนานแล้ว

ขณะที่พวกเขากำลังเดินไป ถังหยินก็พลันหยุดกะทันหัน เขากระโจนเข้าพงหญ้าสูง ก่อนจะดึงตัวเด็กหนุ่มเข้ามาด้วย

ชิวเจิ้นตกใจ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มมองไปที่ถังหยินด้วยความงุนงง ก่อนจะถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ”

“ชู่ว ! ”

ถังหยินยกนิ้วชี้บอกให้เด็กหนุ่มเงียบ ก่อนจะพูดเสียงเบา ๆ ออกมาว่า “มีจิตสังหารอยู่ข้างหน้า”

ต่อให้ไม่เห็นศัตรู และไม่ได้ยินเสียงผิดปกติก็ตาม หากแต่ถังหยินก็สามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายเบื้องหน้า สัญชาตญาณของชายหนุ่มเป็นเหมือนสัตว์ป่า และมันก็แม่นยำมากเสียด้วย ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในความสามารถที่เขาชอบที่สุด

ชิวเจิ้นมองไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มมองเห็นนั้น นอกเหนือจากพุ่มไม้ที่หนาแน่นแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอื่นอีก อย่างไรก็ตาม สีหน้าของถังหยินก็ดูเหมือนจะไม่ได้ล้อเล่น “ข้าไม่เห็นอะไรเลย”

“ถอยกลับมา ! ” เมื่อพูดจบ ถังหยินก็ชักดาบออกมาแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

แซ่ก แซ่ก แซ่ก !

สภาพแวดล้อมดูเหมือนจะเงียบลงในทันใด เหลือเพียงเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่เหยียบลงบนใบหญ้า

ชิวเจิ้นมองชายหนุ่มจากด้านหลังด้วยความรู้สึกตื่นเต้น หัวใจของเขาเต้นระรัวและจ้องไปด้านหน้าอย่างไม่กะพริบตา ในขณะที่ถังหยินเดินไปข้างหน้า แสงเย็น ๆ ก็ได้ยิงออกมาจากพุ่มหญ้าเข้าใส่ที่ลำคอของเขา

การโจมตีดังกล่าวนั้นมาเร็วเกินไป ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่สามารถหลบมันได้ อย่างไรก็ตามถังหยินนั้นมีสัมผัสที่ 6 ดังนั้นเขาจึงสามารถเคลื่อนไหวหลบหลีกมันได้ทันตาเห็น ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกดาบในมือของตนเองขึ้นเพื่อทำการปัดป้องการโจมตีอีกระลอกหนึ่งที่ตามมาติด ๆ

ตอนที่ชิวเจิ้นอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม เขาก็เห็นว่ามีหอกพุ่งออกมาจากในพงหญ้า ซึ่งถังหยินก็สามารถตัดมันกลางอากาศได้อย่างง่ายดาย

ภาพตรงหน้าทำเอาเด็กหนุ่มลูบคอโดยไม่รู้ตัว เขาเชื่อแล้วว่าถ้าถังหยินเลือกที่จะหันคมดาบเข้าใส่ตนละก็ เขาน่าจะต้องตายอย่างแน่นอน นับว่าเป็นทางเลือกที่ฉลาดนักที่เด็กหนุ่มเลือกติดตามคนตรงหน้า

ดาบของถังหยินตัดหอกออกจากกันได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่จะมีเสียงกรีดร้องดังออกมา ใบหญ้าปลิวไสว เงาสีดำพุ่งออกมาจากกอหญ้า แต่แทนที่จะพุ่งเข้าหาถังหยิน อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะหนีแทน

เพียงพริบตาชายหนุ่มก็ไปอยู่ที่ด้านหลังร่างนั้น เขาเอื้อมมือไปจับที่คอ ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับแขนอีกฝ่ายไพล่หลังเอาไว้แล้วกดคนผู้นั้นลงกับพื้น “นอนลงไป ! ”

ชุดเกราะและร่างของอีกฝ่ายถูกกดลงกับพื้นด้วยพละกำลังมหาศาล คนผู้นั้นล้มลง แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดยอมแพ้ คมดาบของถังหยินก็พลันแทงทะลุพื้นด้านข้าง

“อ๊ากกก” ชายร่างใหญ่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเป็นครั้งแรก และเมื่อเขาเห็นใบหน้าของถังหยิน ดวงตาของชายร่างใหญ่ก็พลันเบิกกว้างและอุทาน “เจ้าเองงั้นเหรอ ? ”

ถังหยินย่อตัวลงอย่างระแวง เขาจำชายคนนี้ไม่ได้ หากแต่คนผู้นี้นั้นใส่ชุดเกราะของพวกเฟิง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดฆ่าอีกฝ่ายในทันที

ยังไม่ทันที่ถังหยินจะได้พูด เสียงแผดร้องก็พลันออกมาจากพงหญ้าโดยรอบ ก่อนที่ทหารของแคว้นเฟิงราว 6-7 จะรีบวิ่งออกจากที่ซ่อนตัว

“คนของเราเอง ! ”

“ ใจเย็นไว้ก่อนทุกคน นี่เป็นพวกเดียวกัน ! ”

ชายร่างใหญ่รีบร้องบอกทุกคน

ในเวลานี้ทุกคนสามารถเห็นถังหยินได้อย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงวางอาวุธและเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม “เจ้ายังไม่ตายอีกงั้นเหรอ ? ”

“เขารอดมาได้จริง ๆ ด้วย ! ”

“พวกเราคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว เจ้านี่มันโชคดีจริง ๆ ! ”

ถังหยินตกใจ ที่แท้แล้วคนพวกนี้ก็คือคนที่เขาช่วยให้ฝ่าวงล้อมมานั่นเอง เป็นพวกเขานี่เอง ! เมื่อรู้ว่ามันเป็นความเข้าใจผิด ถังหยินจึงถอนดาบออกมาช้า ๆ และโบกมือไปทางชิวเจิ้น

ชายผู้ที่ล้มลงบนพื้นยืนขึ้น ใบหน้าของเขาแดง ก่อนจะโยนหอกอีกครึ่งทิ้งไป และหัวเราะออกมาด้วยท่าทีอับอาย “ฮ่ะ ฮ่ะ พี่ชายขอโทษทีนะ ข้านึกว่าเป็นพวกหนิงจะตามมาฆ่าพวกเรา เพราะงั้นก็เลย…”

ถังหยินตัดบทพูดของอีกฝ่าย เขาถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงได้เลือกที่จะซ่อนแทนที่จะวิ่งหนี ? ”