บทที่ 12

ชายร่างใหญ่ก้มศีรษะลง เขาพูดด้วยรอยยิ้มคร่ำครวญ “พวกข้าวิ่งต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”

ถังหยินมองคนพวกนั้นที่อยู่ในสภาพอ่อนแอ ดวงตาดำคล้ำ ทั่วตัวพวกเขาอาบไปด้วยเลือดและเต็มไปด้วยบาดแผล เกราะของพวกเขาแตกหักจนไม่สามารถใช้การได้ เรียกได้ว่าพวกเร่ร่อนอดนอนมานานแรมปียังจะดูดีกว่าทหารพวกนี้เสียอีก

เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนทางด้าน ชิวเจิ้นนั้นก็เดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ทุกคนก็อยู่ฝั่งเดียวกัน ตอนแรกทำเอาข้าตกใจหมดเลย” เขากลอกตาแล้วพูดต่อว่า “แล้วพวกเจ้าอยากจะอยู่หรือตาย ? ”

พวกทหารทั้งหมดพากันตกตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

ชิวเจิ้นพูดต่อ “ถ้าพวกเจ้าอยากตาย งั้นก็จงอยู่ที่นี่เพื่อรอให้พวกหนิงฝูงใหญ่มาหาก็แล้วกัน ! ”

โดยไม่รอให้เด็กหนุ่มพูดจนจบ ดวงตาของถังหยินพลันมองไปยังชิวเจิ้น แค่ไอ้หนุ่มนี่คนเดียวก็มากเกินพอแล้ว นี่ยังคิดจะสร้างเรื่องอะไรให้อีก !

แม้ว่าชิวเจิ้นจะไม่รู้จักถังหยินดีเท่าไหร่ แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเย็นชามากขนาดไหน ดังนั้นเขาจึงดึงชายหนุ่มเข้ามากระซิบ “สหายถัง การมีคนมากมายไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งปลอดภัย อย่างน้อยก็มีมือเท้าไว้ให้ใช้งาน แต่ถ้าเจ้าทอดทิ้งพวกเขา มีหวังคนพวกนี้ตายกันหมดแน่น”

เพราะเขาต้องการจะตีสนิทกับถังหยิน ดังนั้นจึงได้เรียกอีกฝ่ายว่าสหายถัง

ถังหยินไม่ใช่คนดี เขานั้นไม่เคยคิดใส่ใจในเรื่องความดีงามแบบชิวเจิ้น หากแต่คำพูดของเด็กหนุ่มก็ทำให้เขาคิดหนัก ถังหยินมองไปยังพวกทหารเฟิงที่มองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร ถ้าเป็นเมื่อก่อนถังหยินก็คงไม่สนใจคนพวกนี้หรอก ทว่าหลังจากที่รวมร่างกับหยานหลี่ นิสัยของหยานหลี่ก็ทำให้ชายหนุ่มอ่อนโยนมากขึ้นเมื่อเทียบกับชายผู้เยือกเย็นในอดีต

“จะทำอะไรก็ทำเถอะ ! ” ถังหยินพูดทิ้งท้ายและเดินหน้าต่อไป

ชิวเจิ้นหันมาหัวเราะให้กับทุกคน “สหายถังบอกว่าจะพาพวกเจ้าทุกคนหนีไปด้วยกัน ถ้างั้นแล้วก็ตามข้ามาได้เลย ! ” แท้ที่จริงแล้วชิวเจิ้นก็ไม่ใช่คนที่ใจดีสักเท่าไหร่ เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าคนพวกนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง แต่อย่างน้อยเขาก็เชื่อว่าการมีคนอยู่รวมกันย่อมดีกว่า

นิสัยของถังหยินทำให้ผู้คนเข้าหาเขาได้ยาก ดังนั้นจึงหน้าที่ของชิวเจิ้นที่จะผูกมิตรกับคนพวกนี้

“ข้าชื่อชิวเจิ้น” เด็กหนุ่มแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะอธิบายเกี่ยวกับชายหนุ่ม “เขาชื่อถังหยิน ซึ่งพวกเจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าเขาแกร่งแค่ไหน ? พวกหนิงที่ตามล่าพวกเจ้าน่ะตายกันเป็นเบือเพราะเขาคนเดียวเลยนะ ! ”

“ห๊า ? นี่เขา… เขาฆ่าศัตรูมากมายด้วยตัวคนเดียวงั้นเหรอ ? ” พวกทหารมองแผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เชื่อ ไม่ว่าจะมองยังไงถังหยินก็เป็นคนธรรมดาชัด ๆ ไม่มีจิตสังหารอะไรเลย แถมเขายังใส่ชุดธรรมดาอีกด้วย

“แน่นอน ! ข้าเห็นมันด้วยตาของข้าเอง”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ตัดหัวศัตรูออกมากัน ? ” ทหารนายหนึ่งถามด้วยใบหน้างงงวย

เพราะถังหยินไม่ได้ให้โอกาสเขาเลย ! ลองคิดดูสิว่ามันจะเยี่ยมแค่ไหนหากเขาเด็ดหัวศัตรูมากกว่า 100 หัวได้ ชิวเจิ้นรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก เขาได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยออกไปว่า “ตอนนั้นพวกเรากำลังหนี ยังไงเสีย ชีวิตก็ย่อมสำคัญกว่าลาภยศอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแล้วก็นะ…” เขาส่ายหัว

“น่าเสียดาย ! ถ้าพวกข้ารู้ว่าถังหยินเก่งขนาดนั้นก็คงไม่หนีกันออกมาหรอก ! ”

ชิวเจิ้นขมวดคิ้ว “ในเมื่อพวกเจ้าเลือกที่จะตามสหายถังมาแล้ว ถ้างั้นก็ต้องฟังคำสั่งเขาและอย่าเรียกชื่อเขาตรง ๆ ให้เรียกว่าสหายถังหรืออะไรก็ได้ แต่ห้ามเรียกชื่อของเขาออกมาเด็ดขาด ! ” มันเป็นเรื่องดีที่มีกำลังพลมากมาย แต่ทว่าการจะควบคุมคนจำนวนมากก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน ชิวเจิ้นนั้นต่อสู้ไม่เป็น ดังนั้นแล้วจึงเหลือแค่เพียงถังหยินเท่านั้นที่เป็นกำลังหลักในตอนนี้

ในโลกที่แสนวุ่นวาย มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด ใครก็ตามที่อ่อนแอย่อมเป็นได้แค่ผู้ติดตาม ทุกคนพยักหน้าให้กันและกัน และรีบเดินเข้าไปแนะนำตัวกับถังหยิน “สหายถัง ข้าคือจางเป๋า” ชายร่างใหญ่ที่แทงหอกใส่ถังหยินก่อนหน้านี้แนะนำตัวเอง

“ข้าชื่อหลิวยู่”

“ข้าชื่อจางอี้”

“ชื่อของข้าคือ …”

ถังหยินไม่ได้ใส่ใจชื่อพวกเขามากนัก แต่ชายหนุ่มก็พยักหน้าจดจำชื่อเหล่านั้นเอาไว้ในก้นบึ้งของจิตใจในฐานะของคนที่อยู่ต่างโลกกัน

เมื่อรับรู้ถึงเรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดลง ถังหยินจึงหยุดและบอกกับทุกคน “พักที่นี่กันเถอะ”

“รับทราบ ! ” ได้ยินแบบนี้ทหารทุกคนก็รู้สึกผ่อนคลาย พวกเขาพากันนั่งพักหอบหายใจอย่างหนักหน่วง รวมไปถึงชิวเจิ้นด้วย

เมื่อมีแรงกลับมาแล้ว ชิวเจิ้นก็ลุกขึ้น เขาเดินไปพูดกับถังหยิน “พวกเรายังห่างจากประตูหน้าด่านตงกว่า 300 ลี้ ถ้าเดินเท้าอาจต้องใช้เวลา 3-4 วัน แต่ถ้ามีม้าพวกเราคงไปถึงได้เร็วกว่านั้น”

ถังหยินรอให้เด็กหนุ่มพูดต่อ “เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาม้ามาให้ได้”

ถังหยินถามต่อ “เจ้าเดินไม่ได้หรือไง ? ”

ชิวเจิ้นส่ายหัวแล้วตอบกลับ “ข้ากังวลเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเรากำลังเดิน”

ถังหยินเลิกคิ้วขึ้น “หมายความว่ายังไง ? ”

ชิวเจิ้นกล่าวอย่างจริงจัง “พวกเรากำลังหนีไปทางประตูหน้าด่านตง และไม่ใช่ว่าพวกหนิงก็กำลังมาทางเดียวกันหรือ ? ”

เด็กหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อว่า “ประตูหน้าด่านตงอยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นเฟิง มันเป็นพื้นที่ซึ่งมีการต่อสู้กันตลอดเวลา ในตอนนี้พวกหนิงเองก็กำลังตามล่าพวกเรามาติด ๆ เรื่องที่พวกเราคิดจะไปยังประตูหน้าด่านตง ใช่ว่าพวกหนิงจะคาดเดาไม่ได้ และเจ้าจริงคิดหรือว่าพวกมันจะยอมปล่อยโอกาสครั้งนี้ไป ?”

“ข้าคิดว่าพวกหนิงไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอน ตอนนี้คงมีพวกทหารหนิงมากมายพากันไปรวมตัวที่ประตูหน้าด่านตงแล้ว ถ้าเกิดว่าพวกเราไปช้ากว่านี้ 3 – 4 วัน คิดดูสิว่าเราจะฝ่าเข้าไปได้ไหม ? ”

ถังหยินทบทวนความคิด และพูดขึ้น “เจ้าจะบอกว่าพวกหนิงจะใช้โอกาสนี้เข้าตีประตูหน้าด่านตงสินะ ? ”

ชิวเจิ้นหัวเราะอย่างขมขื่น “ถึงจะเป็นแค่การคาดเดา แต่ก็บอกได้เลยว่าไม่ไกลเกินจริงหรอก”

ถังหยินกล่าว “ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วพวกเราจะหาม้าได้จากที่ไหน ? ”

“มีทางเดียวเท่านั้น ! ”

“ปล้นงั้นเหรอ ? ”

“ใช่ !” ชิวเจิ้นกล่าว “พวกเราต้องซุ่มโจมตีที่ริมทาง และไม่ต้องสนว่าคนที่ผ่านมาเป็นใครจากไหน ขอแค่คนพวกนั้นมีกำลังคนที่น้อยกว่าและมีม้าก็พอ ด้วยทักษะของเจ้าและทหารที่มีในมือ ข้าเชื่อว่าพวกเราต้องทำสำเร็จเป็นแน่ ! ”

ถังหยินครุ่นคิดและพยักหน้า “ก็ได้”

ทั้งสองเพิ่งพูดจบ ทหารจากเฟิงก็เดินเข้ามาใกล้ถังหยินและยื่นถุงเก็บน้ำให้กับเขาด้วยใบหน้าสั่นๆ “ถัง… พี่ใหญ่ถัง ดื่มน้ำนี่สิ”

ท่าทางของถังหยินนั้นไม่ได้น่ากลัวเลย ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกลับดูหล่อเหลา แค่เพียงเขายิ้มก็ดูดีขึ้นในทันที โดยเฉพาะตอนชายหนุ่มหัวเราะ นั่นก็ยิ่งทำให้ความหล่อเหลาแพร่กระจายออกมามากขึ้น มีเพียงแค่สายตาที่เย็นชาเท่านั้นที่ทำให้ทุกคนไม่กล้าเข้าใกล้

น้ำ ? ถังหยินมองเด็กหนุ่มอายุราว ๆ 16 ตรงหน้าของเขา ในโลกของชายหนุ่ม คนอายุเพียงเท่านี้นั้นยังถือว่าเด็กมากนัก แต่ในโลกแห่งนี้เขากลับต้องมาเป็นนักรบถือดาบเข้าสู่สมรภูมิแล้ว ถังหยินจำได้ว่าเด็กคนนี้ชื่อจางเป๋า เมื่อเห็นปากของอีกฝ่ายแห้งแตก ถังหยินก็ปฏิเสธไป “เจ้าดื่มเถอะ ข้าไม่หิว”

“นี่มัน… เป็นไปได้ยังไง…” เด็กหนุ่มหันมองทหารคนอื่น ๆ ด้านหลัง ก่อนจะวางถุงน้ำลงกับพื้นตรงหน้าถังหยิน และเอามัดซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษมันออกมา แท้จริงแล้วห่อกระดาษดังกล่าวก็คือเสบียงอาหารของจางเป๋านั่นเอง เด็กหนุ่มเลือกที่จะให้มันกับถังหยินผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ

ถังหยินมองหน้าเด็กหนุ่มและมองคนอื่นต่อ ใบหน้าทุกคนต่างก็ขาวซีด ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าพวกเขาหิวทั้งข้าวและน้ำขนาดไหน ทว่าในสถานการณ์แบบนี้พวกเขากลับยังคิดที่จะมอบเสบียงให้กับตน มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ถังหยินยืนขึ้น และเดินเข้าไปในกอหญ้าโดยไม่ได้พูดอะไร

“พี่ใหญ่ถัง ท่านจะไปไหน ? ”

ถังหยินมักจะทำให้ใครก็ตามที่รู้จักหวาดกลัว และตอนนี้เอง พวกทหารก็พากันคิดว่าพวกตนน่าจะทำให้ถังหยินไม่พอใจอะไรสักอย่าง ดังนั้นชายหนุ่มผู้นี้จึงกำลังจะทิ้งพวกเขาไป

ถังหยินหันกลับมาและหัวเราะ ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “เดี๋ยวข้ากลับมา ! ”

เมื่อชายหนุ่มยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ มันก็ช่างเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เสียเหลือเกิน มันมากเสียจนทำให้ทุกคนเริ่มผ่อนคลาย ถังหยินรีบไปและกลับมาตามคำพูด เขากลับมาพร้อมกับกระต่ายป่าตัวใหญ่ 2 ตัวในมือ

ชายหนุ่มโยนมันไปกลางวงทหารและกล่าว “มากินกันให้เต็มคราบไปเลย ! ”