บทที่ 13

พวกเขาเลือกที่จะทำตามแผนของชิวเจิ้น ถังหยินกับทุกคนพากันไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง เพื่อหาจังหวะขโมยม้าสำหรับใช้เดินทางไปยังประตูหน้าด่านตง อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกอย่างเป็นไปดั่งที่คาดหวัง

ทหารกว่า 2 แสนนายของแคว้นเฟิงถูกกำราบด้วยกองทัพหนิงจนแตกพ่ายไป จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่สามารถกลับมารวมตัวใหม่ได้อีก พลทหารมากมายต่างพากันกระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ และเมื่อทั้ง 2 ทัพซึ่งแยกออกจากกันได้มารวมตัวกันคนละฝั่ง โดยที่มีนายทหารตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเขาอยู่ตรงกลาง สถานการณ์แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าวุ่นวายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ?

ถังหยินและคนอื่น ๆ ซ่อนตัวอยู่นานกว่าจะมีกองทหารวิ่งมาทางพวกเขาจากด้านหน้า ด้านหลังของคนพวกนั้นมีธงโบกสะบัดอยู่ นั่นคือธงของแคว้นหนิง ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่ากองกำลังตรงหน้านั้นคือพวกที่คอยไล่ล่าฆ่าทหารเฟิงที่กำลังกระจัดกระจายกันอยู่

ชิวเจิ้นมองสถานการณ์และยิ้มให้กับถังหยิน “นี่คือพวกทหารฝั่งศัตรู มีราว ๆ พันกว่านาย เจ้ารับมือไหวหรือเปล่า ?”

ดวงตาของถังหยินแม่นยำยิ่งกว่า เขามองทุกอย่างละเอียดยิ่งกว่าเด็กหนุ่ม “เจ้าผิดแล้ว แท้จริงแล้วพวกมันมีกันราว ๆ 2 พันคนต่างหาก”

“เยอะเลยทีเดียว ! ” ชิวเจิ้นสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารีบเตือนชายหนุ่มว่า “มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าเราคิดก่อนลงมือทำอะไร บางทีพวกเราควรจะถอนตัวเพื่อที่จะได้ไม่โดนเจอตัวดีไหม ? ” ถึงจะถูกรายล้อมไปด้วยต้นหญ้ามากมายแต่เขาก็ยังไม่รู้สึกปลอดภัย

ถังหยินไม่คัดค้านใด ๆ ทั้งนั้น หลังจากที่มาด้วยกันกับเด็กหนุ่มคนนี้ ชายหนุ่มก็พบว่าความคิดของชิวเจิ้นนั้นลึกล้ำเสมอ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นอัจฉริยะ แต่เมื่อมีคนคอยให้คำแนะนำแบบนี้ มันก็ย่อมดีกว่า

จางเป๋าที่ซ่อนตัวอยู่ได้พูดขึ้น “ทหารพวกนั้นกำลังไล่ล่าพี่น้องของเราอยู่ ถ้าพวกเราจัดการคนพวกนี้ได้ แบบนั้นจะต้องช่วยเหลือคนได้มากแน่ ๆ ”

ชิวเจิ้นหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดว่า “ไม่มีสิ่งใดที่เราจะทำได้หรอก สงครามนำมาซึ่งความสูญเสียเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็มีกันแค่ 10 คนเท่านั้น ถึงจะออกไปก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มากนักหรอก”

คำพูดของเขาทั้งเย็นชาและไร้ความปรานี ทว่ามันก็เป็นความจริงเช่นกัน จางเป๋านั้นรู้สึกไม่พอใจที่ได้ยิน เขาอยากจะขัดขืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเงียบลงด้วยความผิดหวัง

พวกเขานั้นไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจเหมือนถังหยิน ดังนั้นถ้าออกไปจริง ๆ ทหารธรรมดาอย่างพวกเขาคงมีแต่จะถูกทหารหนิงจับไปเสียมากกว่า

อ๊า!

หอกสีเงินแทงทะลุหัวใจของทหารเฟิง เจ้าของหอกนั่นคือชายไร้เกราะที่ร่างกายท่อนบนเป็นสีดำ รูปร่างของเขาดุดันบอบบาง เทียบกับพวกทหารหนิงแล้วเขาเหมือนกับหงส์ท่ามกลางฝูงไก่

หลังจากจัดการไปได้หนึ่งนาย ชายคนนั้นก็ยังไม่หยุด เขาเหวี่ยงหอกในมือเพื่อสะบัดร่างนั้นออกไป จากนั้นก็ทำการใช้หอกเสือกแทงศัตรูที่อยู่ด้านหน้าจนพวกเขาไม่อาจหนีไปไหนได้อีก

นี่ไม่ใช่การต่อสู้ หากแต่เป็นการสังหารอยู่ฝ่ายเดียว

ทหารที่กำลังซุ่มโจมตีอยู่ในหญ้าเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเศร้าและโกรธ แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียง พวกเขาทำได้แค่ดูมิตรสหายของพวกเขาถูกฆ่าราวกับว่าเป็นผักปลา

ไม่ต้องพูดถึงจางเป๋าและคนอื่น ๆ แม้กระทั่งผู้ที่มีจิตใจเย็นชาอย่างถังหยินก็ไม่สามารถทนดูแบบเงียบ ๆ ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ หากแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร

มันจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่เข้าไปยุ่งด้วย แต่แทนที่ถังหยินจะถอยหนี ชายหนุ่มกลับพุ่งออกจากพงหญ้าแทน ความตื่นเต้นที่ควบคุมไม่ได้ฉายชัดอยู่บนดวงตาคู่นั้นของเขา

วิธีคิดของถังหยินนั้นยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ และเพราะแบบนั้นมันจึงทำให้คนอื่นคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่บ้าเอา มาก ๆ

นายทหารหนิงที่กำลังต่อสู้อยู่รู้สึกได้ถึงทหารเฟิงที่กำลังพุ่งเข้ามาหา แต่แทนที่เขาจะวิ่งหนี ชายผู้นั้นกลับหัวเราะออกมาแล้วยกหอกสีเงินในมือเล็งไปยังหัวของถังหยิน

ถังหยินไม่ได้หลบ เขาต้องการทดสอบพลังของอีกฝ่ายอย่างจงใจ ชายหนุ่มกำดาบเหล็กในมือของเขาแน่น รับการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่หลบเลี่ยง

เคร้ง!

เสียงเหล็กกระทบกันดังทะลุแก้วหูทุกคน ทำให้นายทหารหนิงผู้นั้นมือชา และสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายร่างใหญ่พยายามใช้กำลังทั้งหมดต้านทานถังหยินเอาไว้ ทว่าการทำเช่นนั้น มันก็ทำให้เขาต้องถอยหลังออกมา 2-3 ก้าว

ชายร่างใหญ่ตะลึง ถังหยินเองก็ตะลึงเช่นกัน ชายหนุ่มคิดว่าตนน่าจะเจอเข้ากับผู้ฝึกยุทธ์เป็นแน่ ความสามารถของถังหยินนั้นถือได้ว่าอยู่ในขั้นดีพอตัว ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะบอบบาง แต่พลังของเขาเองก็น่าทึ่งเช่นกัน ในโลกก่อนหน้านี้ ถังหยินได้เจอกับศัตรูมากมาย ทว่าชายหนุ่มก็สามารถกำราบคนพวกนั้นได้อย่างสบาย ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจอเข้ากับคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ที่ต่างโลก

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของถังหยิน ชายหนุ่มเงื้อดาบในมือขึ้นสูง และจึงฟาดฟันลงไปที่หัวของชายร่างใหญ่

ชายร่างใหญ่ไม่แม้แต่จะให้ความสนใจกับการโจมตีของถังหยินอย่างจริงจัง เขาหัวเราะอย่างเย็นชาและกำหอกในมือ ทันใดนั้นหอกนั่นก็พลันปลดปล่อยหมอกสีขาวออกมารอบ ๆ ราวกับมีชีวิต เมื่อหมอกสีขาวหลอมรวมเข้ากับหอกสีเงิน นั่นก็ทำให้หอกในมือของพลทหารหนิงนายนี้ขยายตัวเป็นครึ่งจั้ง และในจังหวะเดียวกันก็ได้มีหนามแหลมงอกออกมาจากปลายหอก

ถึงจะดูช้า แต่จริง ๆ แล้วมันเกิดขึ้นเร็วมาก การเปลี่ยนแปลงของหอกนั้นใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น !

เมื่อดาบของถังหยินอยู่ห่างจากศีรษะของชายร่างใหญ่ไม่ถึงคืบ อีกฝ่ายก็เหวี่ยงหอกสีเงินที่เปลี่ยนรูปร่างสวนกลับมาอย่างดุเดือดพร้อม ๆ กันกับที่ตะโกนออกมาว่า “ไปตายซะ ! ”

เคร้ง !

เคร้ง !

เสียงแรกคือโลหะกระทบกัน อย่างต่อมาคือเสียงของอาวุธที่แตกหัก ดาบในมือของถังหยินถูกหอกกระแทกจนกระเด็นไปในอากาศ

“น่ะ นี่มัน…” เมื่อจางเป๋าที่กำลังซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้าเห็นหอกในมืออีกฝ่าย เขาก็ตะลึงจนพูดไม่ออก

สีหน้าของชิวเจิ้นเองก็ไม่ต่างกัน เขาพึมพำด้วยเสียงโทนต่ำ “นี่มันอาวุธปราณ ศัตรูเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ! ” เขาสบถในใจ มันไม่เป็นอะไรหรอกที่ถังหยินจะไม่ฟังเขาและพุ่งออกไปแบบนั้น แต่การที่ชายหนุ่มวิ่งเข้าไปเจอกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีอาวุธปราณในมือแบบนี้ มันกลับน่าหนักใจไม่ใช่น้อย

ผู้ฝึกยุทธ์สามารถหลอมรวมพลังปราณเข้ากับอาวุธที่ใช้อยู่ได้ เพื่อแปรเปลี่ยนรูปร่างของอาวุธจนทำให้กลายเป็นอาวุธปราณ ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ คนคนนั้นจะต้องระดับปราณวิบัติขึ้นไป ทว่าถังหยินในตอนนี้นั้นเพิ่งจะอยู่ระดับปราณรับรู้เท่านั้น เทียบกับอีกฝ่ายแล้ว ชายหนุ่มต่ำกว่าถึง 2 ระดับ จึงถือได้ว่าเป็นความต่างกันของพลังที่ค่อนข้างมาก มันคงเป็นเรื่องยากที่ถังหยินจะชนะได้

สาเหตุที่ชิวเจิ้งยอมเสนอตัวเป็นผู้ช่วยของชายคนนี้ เป็นเพราะทุกอย่างในเวลานั้นต่างก็สบโอกาสให้เขาทะยานขึ้นสูงได้อย่างง่ายดาย สำหรับชิวเจิ้งแล้ว ถังหยินเป็นดั่งแสงแห่งความหวัง

และถึงแม้ว่าการสนับสนุนชายหนุ่มคนนี้จะสามารถช่วยให้เขามีอนาคตที่ดีได้ก็เถอะ แต่การที่ถังหยินเจอกับคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่า นั่นก็หมายความว่าแผนการในอนาคตที่เด็กหนุ่มวาดฝันเอาไว้นั้น… มันได้จบลงแล้ว เขารู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ถังหยินจะกลายเป็นผู้ชนะในศึกนี้ ดังนั้นในหัวของเขาจึงเริ่มคิดหาหนทางเอาชีวิตรอดทันที

“พวกเราจบแล้วล่ะ…” ชิวเจิ้นคุกเข่าลงบนพื้น เขาสิ้นหวังเสียจนไม่กล้าที่จะมองภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ !

อาวุธปราณ ! ชายคนนั้นอยู่ในระดับที่ห่างกันเกินไป ! ถังหยินถูกหอกนั่นแทงเข้า ทว่าเขาก็ไม่ได้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้นั้นดาบในมือของชายหนุ่มได้หลุดหายไปแล้ว และฝ่ามือของเขาก็มีบาดแผลที่เลือดกำลังไหลออกมาเป็นทาง ดวงตาของถังหยินยังคงจ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยความแน่วแน่ เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา เพราะในสายตาถังหยินนั้น ชายร่างใหญ่ผู้นี้ราวกับเป็นขนมเค้กก้อนใหญ่ที่แสนอร่อย

ชายร่างใหญ่เกลียดความรู้สึกนี้มาก

ในเวลานี้ทหารหนิงคนอื่น ๆ ต่างก็อยากจะเข้าไปล้อมถังหยินเอาไว้ แต่ชายร่างใหญ่กลับยกมือขึ้นขวาง “อย่าเข้ามา เจ้าหมอนี่เป็นของข้า ! ” บอกแบบนั้นแล้วเขาก็ควงหอกพุ่งเข้าไปหาถังหยิน “ไอ้บัดซบ ! เข้ามาให้ข้าคนนี้ได้แทงเจ้าหน่อยเถอะ ! ”

ถังหยินไม่ได้โกรธ แต่เขากลับหัวเราะออกมาแทน ชายหนุ่มแลบลิ้นออกมาแล้วพูดอย่างเชื่องช้า “ในสายตาของข้า เจ้านั่นแหละจะถูกข้าแทงเสียมากกว่า” ระหว่างที่พูด ร่างของถังหยินก็ได้ไปปรากฏยังด้านหน้าทหารเฟิงคนหนึ่ง

ในระหว่างที่อีกฝ่ายมัวแต่ตกตะลึง เขาก็ได้อาศัยจังหวะนั้นคว้าหอกมาจากมือของทหารคนนั้นแล้วพุ่งเข้าใส่ชายร่างใหญ่

“เจ้านั่นแหละที่กำลังจะต้องตาย ! ” ชายร่างใหญ่ไม่เข้าใจว่าถังหยินคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของอีกฝ่ายที่พุ่งทะยานเข้าหาแบบตรง ๆ มันก็ทำให้พลทหารหนิงผู้นั้นคำรามออกมาเสียงดัง ก่อนจะเสือกแทงปลายหอกเข้าใส่หน้าอกของถังหยินอย่างแรง

ไม่ว่าจะเป็นถังหยินหรือหยานหลี่ มันก็ยากเกินกว่าที่จะล้มชายร่างใหญ่คนนี้ หากทว่านี่กลับเป็นการรวมกันของทั้ง 2 คน ระหว่างถังหยินผู้มากไปด้วยทักษะการต่อสู้ และหยานหลี่ผู้เชี่ยวชาญการใช้พลังปราณจากเมื่อ 500 ปีก่อน เมื่อรวม ๆ กันแล้ว นี่จึงทำให้ชายหนุ่มนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

ชายร่างใหญ่แทงหอกในมือของเขาไปข้างหน้า ในขณะที่ถังหยินเองก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นเพื่อหลบการโจมตี และเมื่อหอกของอีกฝ่ายแทงเข้าใส่ความว่างเปล่า ถังหยินก็พลันใช้หอกของอีกฝ่ายเป็นฐานรอง ชายหนุ่มใช้ออกด้วยวิชาฝ่าเท้าล่องลม ทำการกระโดดขึ้นเหยียบบนหอก เขาส่งร่างของตัวเองพุ่งไปข้างหลังอีกฝ่าย จากนั้นจึงใช้หอกแทงเข้าที่ด้านหลังของชายร่างใหญ่เต็ม ๆ

ด้วยสัญชาตญาณของผู้ฝึกยุทธ์ ชายร่างใหญ่รับรู้ได้ถึงความอันตราย โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เขาขยับร่างเอี้ยวตัวไปข้าง ๆ ก่อนที่หอกนั่นจะทะลวงผ่านหลัง ฝากรอยแผลทิ้งไว้บนสีข้างของพลทหารหนิงผู้นั้น

“บ้าเอ๊ย ! ” ชายร่างใหญ่ตะลึงและตกใจจนไม่อาจเก็บคำสบถไว้ได้ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกกลัวจนต้องค่อย ๆ ถอยหนีออกมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องเมื่อครู่นี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง !

นี่มัน… เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ? ต่อให้พยายามครุ่นคิดอย่างหนักแค่ไหนเขาก็ยังไม่เข้าใจ แท้จริงแล้วคนตรงหน้าเขานั้นมันเป็นปีศาจหรือยังไงกัน !!!