แน่นอนว่าถังหยินไม่มีวิชาปีศาจหรืออะไรทำนองนั้นหรอก เขาแค่ประยุกต์ใช้วิชาจากโลกก่อนมาใช้เท่านั้น

โดยไม่ให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปด้านหน้าและเขวี้ยงหอกในมือออกไปสุดแรง มันแรงและเร็วเสียจนทำให้หอกทั้ง 4 อันนั้นดูราวกับดอกไม้สีเงินที่กำลังเบ่งบานขึ้นบนแขนทั้ง 2 ข้าง หน้าอก และช่วงท้องของชายร่างใหญ่

การต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์นั้นตรงไปตรงมาเสมอ ทว่าพลังปราณและทักษะยุทธ์นั่นกลับเป็นเรื่องที่ชวนให้เหนือความคาดหมายเสียเหลือเกิน การต่อสู้ของคนเหล่านี้ไม่เคยธรรมดาเลยแม้สักครั้งเดียว ชายร่างใหญ่ไม่สามารถขยับตัวได้ชั่วคราว เขามัวตะลึงกับกระบวนท่าของถังหยิน ลืมแม้แต่จะโคจรลมปราณเพื่อป้องกันตัว

ในขณะที่หอกทั้ง 4 ของถังหยินนั้นยังไม่ถึงเป้าหมาย ชายร่างใหญ่ก็รีบขยับร่างหลบเท่าที่จะทำได้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าพลังของเขานั้นไม่อาจต่อกรซึ่ง ๆ หน้าได้ ดังนั้นเขาจึงใช้ความว่องไวเพื่อจัดการอีกฝ่าย

ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งใช้พลังทั้งหมดในการโจมตี อีกฝ่ายกลับใช้พลังทั้งหมดในการป้องกันแทน ซึ่งเมื่อมองดูแล้ว ฝ่ายหลังย่อมเป็นคนที่เสียเปรียบกว่า ถังหยินนั้นไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย ทว่าชายร่างใหญ่กลับรู้สึกเหนื่อยอ่อนจนเม็ดเหงื่อไหลออกมาเสียแล้ว

การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเหมือนการต่อสู้ระหว่างสุนัขจิ้งจอกกับหมี

ชายร่างใหญ่ค่อย ๆ พบว่ามันยากที่จะต้านทานฝ่ายตรงข้ามได้ พลังของเขาเองก็เริ่มอ่อนแอลง การเคลื่อนไหวเริ่มช้าลงเรื่อย ๆ ร่างกายของพลทหารหนิงนายนี้เต็มไปด้วยบาดแผลจากหอกทั้ง 5 จุด ถึงจะไม่อันตรายแต่มันก็น่าอับอายมาก

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอ่อนแรงลง ดวงตาถังหยินก็เริ่มเปล่งประกาย เขาใช้โอกาสนี้แทงหอกไปยังหน้าท้องของชายร่างใหญ่ในทันที

หลังจากถูกถังหยินกดดันมาอย่างยาวนาน ชายร่างใหญ่ก็เริ่มบ้าคลั่ง เขาปล่อยให้หอกที่พุ่งมาแทงเข้าใส่เต็ม ๆ ไม่หลบหลีกแต่อย่างใด

ชายร่างใหญ่ยืนรับความเจ็บปวด เขาร้องออกมา ก่อนจะยืดแขนออกจับหอกไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมไปบีบคอ ถังหยินไว้แน่น “ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย ! ”

ถังหยินตอบโต้เร็วมาก เขาปล่อยมือจากหอกแล้วจับคอของอีกฝ่ายเช่นกัน

ผลที่ตามมาคือการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างทั้ง 2 ได้กลายเป็นการต่อสู้ที่ดูแปลกประหลาด ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ถังหยินต้องการอยู่แล้ว !

ด้วยการใช้ประโยชน์จากชายร่างใหญ่ที่บ้าพลังตรงหน้า ชายหนุ่มทิ้งตัวลงไปข้างหลังแล้วลากทั้ง 2 ล้มไปด้วยกัน ถังหยินออกแรงดึงชายร่างใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะพากันกลิ้งเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้จะเป็นเช่นนี้ กำลังทหารทั้ง 2 ฝ่ายต่างตกตะลึงจนไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา

ในขณะนี้เสียงกรีดร้องแหลมดังออกมาจากพุ่มไม้ ทุกคนก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหว ก่อนที่ถังหยินก็เดินออกมาด้วยรอยยิ้มของปีศาจ มือของเขามีเศษผ้าอยู่ มันไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากของชายร่างใหญ่

ทหารหนิงตะลึงมึนงงเช่นเดียวกับพวกเฟิง ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชายร่างใหญ่ในพุ่มหญ้านั่น มีเพียงชายหนุ่มที่กลับออกมาพร้อมด้วยเศษผ้า

ใบหน้าของถังหยินสดใสกว่าเดิม ดวงตาของเขาเจิดจรัสจนไม่มีใครกล้ามอง ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าชายหนุ่มได้กลืนกินชายคนนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือถ้าพูดให้ชัดเจนก็คือถังหยินนั้นได้ใช้เพลิงแห่งความมืดเผาชายร่างใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงถูกชายหนุ่มกลืนกินเข้าไป แน่นอนว่ามันย่อมไปเพิ่มพลังให้กับเขาเป็นอย่างมาก แถมความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ก่อนหน้าก็ยังหายไปอีกด้วย เนื่องจากเขาได้รับพลังมาจากอีกฝ่ายแล้ว

ถึงเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ แต่ชิวเจิ้นนั้นก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่พลังของถังหยินนั้นห่างจากอีกฝ่ายมาก แต่เขากลับเอาชนะมาได้ ? ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นชัยชนะที่ใสสะอาดอีกด้วย

บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นคนที่เขามองหาอยู่ก็เป็นได้ !

มันยากสำหรับชิวเจิ้นที่จะเก็บความดีใจเอาไว้ เขาพุ่งออกมาจากพุ่มไม้และตะโกน “ผู้นำของพวกมันแพ้แล้ว ! พวกเราจัดการมันเลย !”

การที่เขาพุ่งออกมามันทำให้พวกเฟิงหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่การตะโกนของเด็กหนุ่มมันก็ทำให้ทุกคนรู้ตัวทันที ! พวกเราชนะแล้ว ! สหายของพวกเขาจัดการหัวหน้าศัตรูได้แล้ว !

ความกลัวและความสิ้นหวังจากการถูกตามล่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ถูกปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้พวกเขาเหมือนกับชิวเจิ้นที่เริ่มจับอาวุธของตน และมองพวกทหารหนิงด้วยดวงตาแดงก่ำ บัดนี้ การโต้กลับได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว !!!

ในทางกลับกัน พวกทหารหนิงเองก็เริ่มมีอาการหวาดกลัว พวกเขารู้ดีว่าคนที่ถูกถังหยินฆ่านั้นไม่ใช่แค่นายทหารธรรมดา หากแต่คนผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพที่เก่งกาจของแคว้น ชายผู้นั้นเป็นนักสู้ที่มากไปด้วยความสามารถ แต่ตอนนี้เขากลับถูกจัดการไปแล้ว แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกที่เหลือไม่กลัวได้ยังไง ?

ไร้ซึ่งการต่อต้าน ทหารหนิงกว่า 200 นายเริ่มล่าถอยอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สูญเสียผู้นำไป ทั้งกองทัพก็ปั่นป่วน นายทหารหนิงมากมายต่างวิ่งผลักกันล้มระเนระนาด และด้วยเหตุนี้มันจึงเพิ่มความห้าวหาญให้กับทหารเฟิงทั้ง 30 นาย พวกเขาพากันไล่สังหารทหารหนิงด้วยอาวุธที่มีอย่างบ้าคลั่งราวกับปีศาจร้าย

ฉากแบบนี้ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ในหัวใจของชิวเจิ้น เขาตะโกนออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน “อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้ ! พวกเราต้องเด็ดหัวพวกมันไปรับรางวัลให้ได้ !!”

เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มดูเหมือนจะกลายเป็นแรงกระตุ้น ทหารเฟิงที่เหลืออยู่ทั้งหมดต่างไล่ตามศัตรูแบบเอาเป็นเอาตาย บางคนที่ไร้อาวุธก็ถึงกับใช้หมัดชกต่อยจนกว่าอีกฝ่ายจะตาย

สถานการณ์ในสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ถูกล่ากลายเป็นผู้ล่าในพริบตา และตราบเท่าที่สงครามยังไม่จบ ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะ การสังหารหมู่จบลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้การไล่ล่าของทหารเฟิง พวกหนิงกว่า 200 นายกลายเป็นศพและคนที่เหลือก็กระจัดกระจาย

ถังหยินไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำครั้งนี้ ชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งรออยู่ที่ริมถนนพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายที่ประดับอยู่บนใบหน้า

ชิวเจิ้นเดินเข้าไปหาเขาและมองผ้าพันแผลที่มือตน เขาย่อตัวลงแล้วพูด “ให้ข้าช่วยเจ้าเอง ! ” และไม่ว่าถังหยินจะเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เด็กหนุ่มลงมือพันแผลในทันที

ก่อนหน้านี้เขาเห็นมือของถังหยินมีเลือดไหลและแผลมันก็ไม่ได้น้อยเลย แต่ทว่าตอนนี้เลือดมันกลับหยุดไหลได้เอง แถมบาดแผลก็กำลังสมานตัว เหลือทิ้งไว้เพียงเส้นขีดสีแดงในมือเท่านั้น ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มตกตะลึง หากแต่ไม่นานเขาก็ตั้งสติได้ และเริ่มทำการพันแผลต่อ

“ครั้งหน้าห้ามทำแบบนี้อีกนะ ! ” ชิวเจิ้นพูด

ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ถังหยินตะลึง “เจ้าหมายความว่ายังไง ? ”

ชิวเจิ้นลดเสียงของเขาและพูดว่า “อย่าทำอะไรที่มันเสี่ยง ๆ เช่นนี้ เจ้ากำลังเอาชีวิตตัวเองไปใกล้ความตายอยู่นะ”

ถังหยินไม่คิดแบบนั้น เขาหัวเราะออกมา ทว่าเมื่อเห็นท่าทีจริงจังของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็พลันหยุดชะงัก ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “นั่นมันเป็นเรื่องของข้า”

“ตอนแรกมันก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” เขาหันขึ้นมาสบตาถังหยิน ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาว่า “อย่างน้อยก็ให้ข้าไปกับเจ้าเถอะ ชีวิตไม่ได้เป็นของเจ้าคนเดียว หากแต่การมีชีวิตและความตายของเจ้านั้นมันมีผลกับข้าด้วย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาตายเพื่อที่จะให้ทุกอย่างที่ทำมาสูญเปล่าหรอกนะ”

ไม่มีใครเคยพูดเรื่องแบบนี้กับถังหยินมาก่อน ชายหนุ่มอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด เขาทำทุกอย่างง่าย ๆ ตามความต้องการของเขาเอง แต่ตอนนี้มันต่างกันออกไป มันคือความรับผิดชอบ

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ? ” ความรู้สึกนี้มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่คุ้นเคย แต่เขาเองก็ไม่ได้เกลียดมัน อย่างน้อยชายหนุ่มก็ได้รับรู้ว่าการเป็นคนสำคัญมันเป็นยังไง

“ข้าก็บอกเจ้าไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้ารู้สึกว่ามีสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่งผูกมัดเรา 2 คนเอาไว้ ถ้าเราร่วมมือกัน พวกเราจะต้องสร้างความยิ่งใหญ่ในโลกแสนวุ่นวายนี้ได้แน่ ! ” น้ำเสียงชิวเจิ้นบ่งบอกได้ถึงความมุ่งมั่น

ถังหยินมองเด็กหนุ่มอยู่นาน จากนั้นพูดเบา ๆ “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นแค่คนเจ้าเล่ห์และก็โหดเหี้ยมเท่านั้น ที่ไหนได้เจ้าเองก็มีความทะเยอทะยานเช่นกันซินะ”

เมื่อได้ยินเรื่องนั้น ชิวเจิ้นก็ตกตะลึง “เจ้าคิดแบบนั้นเหรอ ? แต่ข้าไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นเลยนะ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ภายในใจของเด็กหนุ่มก็ยอมรับคำเยินยอนี้

“หึหึ” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นบนฟ้า ถังหยินไม่รู้ว่าคนอื่นคิดกับตัวเขายังไง แต่สัญชาตญาณของชายหนุ่มมักแม่นยำเสมอ

“ข้าจะจำสิ่งที่เจ้าพูดเอาไว้” เขายืนขึ้นพร้อมกับพยักหน้าให้ชิวเจิ้นและยิ้ม “แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี ข้าคนนี้นี่แหละที่ไม่เคยเอาชีวิตไปเสี่ยงตายแบบนั้น ที่ลงมือ นั่นก็เป็นเพราะข้ามั่นใจว่าทำได้ แล้วข้าก็ทำได้จริงเสียด้วย จริงไหมล่ะ ? ”

คำตอบของถังหยินนั้นไม่น่าพอใจเป็นอย่างมาก แต่ชิวเจิ้นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง

ยิ่งเด็กหนุ่มโต้ตอบกับถังหยินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลก พูดตามตรงเลยก็คือชายตรงหน้าเขานั้นมีพลังที่เก่งกาจและรากฐานพลังที่น่าจะสูงมาก ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามเลย ถังหยินไม่มีอาวุธที่วิเศษวิโสอะไรเลย แต่ในจังหวะที่เขาถืออาวุธไว้ในมือ มันก็ราวกับว่าชายหนุ่มผู้นี้สามารถควบคุมทุกอย่างบนโลกได้

หนทางอีกยาวไกล ยังมีโอกาสที่จะให้เขาได้ทำความรู้จักอีกมาก ชิวเจิ้นกลับไปมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม เด็กหนุ่มก้มหัวและมองเศษผ้าที่เหลืออยู่ เขาพบว่ามันเป็นผ้าคาดประจำตัวกองทัพ ชิวเจิ้นอ่านมันออกมาดังๆ “เจาหยวน หน่วยทหารราบที่ 23 กองพลที่ 8 นายกอง…”

เมื่อเห็นคำ 3 คำที่เขียนว่า ‘นายกองเชียน’ ดวงตาของ ชิวเจิ้นก็เบิกกว้างแล้วตกตะลึง “โอ้สวรรค์… เจ้าเพิ่งจะ… ชายคนนั้นคือนายกองจริง ๆ ด้วย”

ระบบทหารของจักรวรรดิเฮาเทียนได้แบ่งขนาดของกองกำลังทหารออกเป็น 5 ขนาด ได้แก่จำนวน 30 นาย 100 นาย 1,000 นาย 10,000 นาย และ 1 แสนนาย ในสงครามครั้งใหญ่ ตำแหน่งที่สำคัญอย่างผู้นำกองพลหรือกองกำลังเล็ก ๆ อย่างนายกองนั้นไม่ใช่ตำแหน่งที่เล็ก ๆ เลย

“สหายถัง ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ! ” ดวงตาของชิวเจิ้นเปล่งประกาย