จนถึงตอนนี้ถังหยินก็ยังไม่เคยร่วมงานกับกองทัพมาก่อน เหตุผลที่ชายหนุ่มมาอยู่ในจุดนี้ก็เป็นเพราะเขาใส่ชุดของทหารที่ตายไปแล้วเท่านั้น “ไม่ใช่ว่าพวกเขาคำนวณจากหัวของคนที่ตายแล้วงั้นหรือ ? ยังไงพวกเราก็หาหัวหมอนี่ไม่ได้หรอก”

“ไม่เป็นไร ใช้ตราประจำตัวก็ได้ เพราะยังไงเราก็มีคนมากมายเป็นพยาน ! ” ชิวเจิ้นหัวเราะออกมาและมอบตรานั่นคืนกลับไป ถังหยินไม่ได้รับมันไปและมองไปที่เด็กหนุ่ม “ข้ามอบมันให้เจ้าก็แล้วกัน” ระหว่างที่พูดเขาก็หันมองไปยังพวกทหารเฟิงคนอื่น ๆ มีทหารเฟิงกว่า 30 นายที่กำลังกวาดล้างพวกที่เหลือรอดอยู่ บางคนกำลังก้มเก็บอาวุธ บางคนก็หาอาหาร หรือไม่ก็ไล่เก็บเสบียง พวกเขาคือกลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพราะถูกพวกหนิงจับไว้

ชิวเจิ้นมองตามถังหยินไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “สหายถัง ดูเหมือนว่าพวกเราจะเพิ่มคนที่ช่วยไว้ได้อีกแล้วนะ แบบนี้น่าจะตั้งกองรบได้แล้วล่ะ ! ” รอยยิ้มของเด็กหนุ่มในครั้งนี้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

ถังหยินและชิวเจิ้นซ่อนตัวอยู่ที่ข้างถนนเพื่อที่จะปล้นม้า แต่ไม่ว่าจะรอนานเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่ได้ม้าอย่างที่หวัง แต่กลับได้กองพลทหารเฟิงที่แตกทัพมาแทน เพียงชั่วข้ามคืน พวกเขาก็รวมพลได้มากกว่า 100 นายแล้ว

เมื่อมีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน ถังหยินจึงไม่สามารถเมินเฉยไม่ได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจที่จะใช้ระบบกองทัพเข้ามาช่วย ชายหนุ่มทำการแบ่งกองทหารออกเป็น 4 หน่วย และเลือกคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดในแต่ละหน่วยเป็นหัวหน้าหน่วยชั่วคราว โดยมีถังหยินเป็นผู้ที่คุมทั้งกองทัพ และชิวเจิ้นเป็นรองแม่ทัพ

เด็กหนุ่มอยู่ในกองทัพมานาน และถึงแม้ก่อนหน้าจะเป็นเพียงแค่นายทหารธรรมดา แต่ตอนนี้ชิวเจิ้นกลับมีผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่า 100 นาย เมื่อเห็นแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะภาคภูมิใจในทางเลือกของตน

เมื่อเห็นความยุ่งยากที่เริ่มเกิดขึ้น ถังหยินก็ไม่ได้มีความสุขสักเท่าไหร่ ยิ่งคนมากก็ยิ่งไม่เหมาะกับคนอย่างเขาที่ชอบความสันโดษ ซึ่งต่างกับชิวเจิ้นที่กำลังยิ้มแย้มอยู่ในขณะนี้

ตอนนี้พวกเฟิงที่พ่ายแพ้ส่วนใหญ่นั้นต่างก็ถูกจับกุมตัวไป ดังนั้นที่นี่จึงอันตรายมากทีเดียว พวกเขาอาจเดินทัพไปเจอเข้ากับกองทัพหลักของพวกหนิงเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยกองกำลังเพียง 100 นาย ไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้

ถังหยินนึกถึงเหตุการณ์ในหุบเขาที่ทั้งโหดร้ายและน่ากลัว มันทำให้เขาตระหนักได้ว่าชีวิตนั้นเปราะบางแค่ไหน และไม่ว่าจะมีพลังที่เก่งกาจเพียงใด แต่คนเพียงหยิบมือก็คงไม่อาจสู้กับคนทั้งกองพันได้หรอก

ในเวลานี้เมื่อเห็นว่าชิวเจิ้นได้คุยกับหัวหน้าหน่วยชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินเข้ามากระซิบถาม “พวกเรายังต้องไปประตูหน้าด่านตงอยู่ไหม ? ”

“แน่นอน ! ”

“แต่พวกเรามีกันตั้งมาก แล้วแบบนี้จะไปหาม้าที่จำนวนพอดีกันมาจากไหน ? ”

ชิวเจิ้นเกาหัวของเขาและพูดอย่างไร้เดียงสา “เจ้าพูดถูก แต่ข้าก็ปล่อยพวกเขาไปไม่ได้เช่นกัน จริงไหม ?! ถึงแม้พวกเราจะเสียเวลานิดหน่อยในการเดินทางไปประตูหน้าด่านตง แต่อย่างน้อยมันก็ยังก็มีโอกาสที่เราจะเจอม้าระหว่างทางอยู่บ้าง !”

แม้ว่าชิวเจิ้นจะพูดด้วยท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ถังหยินก็มองไม่เห็นความหนักใจที่ว่าเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง เด็กหนุ่มผู้นี้อาจจะไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

ถังหยินถอนหายใจแล้วส่ายหัว “แล้วแต่เจ้าละกัน ! ” ระหว่างที่เขาพูด ชิวเจิ้นก็ดึงแขนเสื้อชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าหน่วยถูกเลือกมาแล้ว เจ้าต้องไปทำความรู้จักพวกเขาเสียก่อน”

ถังหยินถูกดึงโดยชิวเจิ้นเพื่อไปแนะนำตัว

หัวหน้าหน่วยทั้ง 4 นั้นประกอบไปด้วย จางเป๋า ซ่งเจิ้น ยู่ฮัว และหลี่ยู่ ซึ่งตัวถังหยินก็คุ้นเคยกับจางเป๋าเป็นอย่างดี ทว่ากับอีก 3 คนที่เหลือนั้นเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อย่างไรก็ตามซ่งเจิ้นกับอีก 2 คนก็เหมือนจางเป๋า พวกเขาให้ความเคารพถังหยินมาก

“สหายถัง ! ” เมื่อเห็นถังหยินเดินเข้ามา พวกเขาก็ก้มหัวทักทาย เมื่อพวกเขาสุภาพกันขนาดนี้ ถังหยินก็รู้สึกไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ เขายิ้มออกมาแล้วโค้งหัวโต้ตอบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสหายถังจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ ! ” ซ่งเจิ้นเป็นคนตรงไปตรงมา

เมื่อมองดูรูปร่างของถังหยิน เขาก็ดูไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเสียเท่าไหร่ ชายหนุ่มแต่งตัวในชุดทหารธรรมดา มีก็เพียงแค่ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูโดดเด่นและรอยยิ้มที่ดูสุภาพเท่านั้น

“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเจ้าติดตามคนไม่ผิดหรอก” ถังหยินเล่นตามน้ำไปกับชิวเจิ้นไปก่อน เขาไม่อาจทำให้บรรยากาศพังได้ “เดี๋ยวพวกเราจะพักกันก่อน แล้วจากนั้นจึงค่อยเดินทางไปยังประตูหน้าด่านตงในวันพรุ่งนี้ มีใครจะคัดค้านไหม ? ”

“ไม่คัดค้าน ! ” จางเป๋าและอีก 3 คนพยักหน้ารับข้อตกลง

“ถ้างั้นข้าจะมอบหมายงานเฝ้าระวังให้กับสหายจาง เจ้าจงไปเรียกกำลังพลบางส่วนมาทำงานนี้ซะ”

สีหน้าของจางเป๋าดูจริงจัง “รับทราบ ! ”

จากนั้นชิวเจิ้นก็พูดต่อ “สหายซ่ง ไปพาคนในกองมาแล้วออกไปหาเสบียงอาหารและน้ำดื่มมา ยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี พวกเรากำลังจะไปยังประตูหน้าด่านตงที่เต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นจึงต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ! ”

“ไม่มีปัญหา ! ” ซ่งเจิ้นตอบกลับ

ถังหยินนั่งข้าง ๆ เขามองภาพตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าให้ แม้ว่าชิวเจิ้นจะเป็นพูดมาก แต่เขาก็จัดการงานทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แม้แต่ในโลกที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้า ความสามารถแบบนี้ก็ถือว่าหาตัวจับได้ยากยิ่ง

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ท้องฟ้าที่เป็นสีเทา เขาพูดเบา ๆ “ทุกคนควรรีบเข้านอน ข้าเกรงว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางกันยากลำบากมากทีเดียว”

ซ่งเจิ้นถามอย่างสงสัย “หมายความว่ายังไง ? ”

ถังหยินพูดอย่างไม่แยแส “พรุ่งนี้ฝนจะตก”

อย่างที่ถังหยินกล่าวไว้ ในเช้าวันต่อมาหลังจากที่เริ่มออกเดินทาง ฝนก็ได้ตกลงมาจริง ๆ ละอองฝนชนิดนี้น่ารำคาญกว่าฝักบัวมาก มันเบาบางมากและไม่มีใครรู้ว่ามันจะตกอีกนานแค่ไหน ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครื้มฝนที่เหมือนกับก้อนหินถ่วงจิตใจพวกเขา

เมื่อใกล้เที่ยง ถนนก็เริ่มกลายเป็นโคลนทำให้ทุกคนช้าลงไปอีก การเดินในฝนเช่นนี้ทำให้ทุกคนเหนื่อยล้า แต่ถึงจะเหนื่อยล้ายังไงก็ไม่มีใครกล้าหยุด เพราะพวกเขาอยู่ในสถานที่ที่อันตราย การหยุดพักจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ในสถานการณ์แบบนี้

ฝนเริ่มหนักขึ้น ทุกคนต่างก็เหนื่อยและหิว

ได้ยินเสียงชิวเจิ้นหอบหายใจ ถังหยินจึงถาม “เจ้าไหวไหม ? ”

ใบหน้าของผู้ที่เอ่ยถามอย่างถังหยินนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยตลอดการเดินทาง ไม่มีแม้แต่การหอบหายใจ และท่าทีเหนื่อยอ่อน เมื่อเห็นแบบนี้ ชิวเจิ้นจึงคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นปีศาจเสียกระมัง ? คนตรงหน้านี้เดินทางมาตั้งแต่เช้าแต่ก็ยังไม่มีท่าทีจะเหนื่อยล้าหรืออะไรใด ๆ ทั้งนั้น นี่มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เด็กหนุ่มได้แต่พูดอย่างขมขื่นออกไปว่า “สหายถัง ไม่ใช่แค่ข้านะ หากแต่พี่น้องของพวกเราก็เหนื่อยไม่ต่างกัน”

ถังหยินหันมามองด้านหลัง ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มพบเข้ากับความจริงตรงหน้า ตอนนี้ภายในกองทหารของเขานั้น ทุกคนต่างก็พากันเดินก้มหัวด้วยความอ่อนล้ากันแทบทั้งสิ้น

ในโลกของถังหยิน เขาไม่เคยสนใจใครมาก่อน และชายหนุ่มเองก็ไม่คิดจะสนใจใครอื่นด้วย นี่ถ้าไม่ได้ชิวเจิ้นพูด ชายหนุ่มก็คงไม่นึกถึงหรอก

ถังหยินหยุดเดินยกแขนขึ้นและตะโกน “หยุดก่อน ! เราจะพักกันที่นี่ ! ”

“นั่นคือสิ่งที่ข้ารอคอย” สิ้นเสียงของชายหนุ่ม ชิวเจิ้นก็ไม่สนใจอะไร เด็กหนุ่มจัดแจงนั่งพักกลางถนนหยิบกระติกน้ำออกมาดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายในทันที หลังจากพักหายใจเขาก็พูดขึ้น “พวกเราเดินทางกันมาได้ 100 กว่าลี้แล้วละมั้ง ใช่ไหมสหายถัง ? ”

ถังหยินมองหน้าคู่สนทนา “มากสุดก็แค่ราว ๆ 40 ลี้เท่านั้น ด้วยความเร็วแบบนี้ ต่อให้เป็นข้า ยังไงก็ต้องใช้เวลาเกินกว่า 10 วัน”

“โอ๊ย ! ” มือทั้ง 2 ของชิวเจิ้นกุมหลัง หัวของเขาแหงนขึ้นฟ้า ก่อนจะหัวเราะออกมา “ถ้าท้องฟ้าไม่เป็นแบบนี้ ข้าก็คงไม่พูดหรอก แต่พวกเรานั้นเคลื่อนที่ช้าเกินไป ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ! ” ถังหยินไม่สนใจ เขาหยิบเนื้อกระต่ายมากินอย่างสบายใจ

เนื่องจากไม่มีการปรุงรส ดังนั้นเนื้อกระต่ายจึงไม่ค่อยอร่อย แถมยังมีรสเปรี้ยวแปลก ๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับถังหยินนั้น ตัวเขาก็ไม่ได้เรื่องมากตราบเท่าที่มันทำให้อิ่มท้องได้ ยังไงเสียการมีเนื้อให้กินย่อมดีกว่าต้องทนกินหญ้าแห้งเป็นไหน ๆ

หลังจากกินไป 2 ชิ้น ถังหยินก็เริ่มคิดไปไกลและโบกมือเรียกให้จางเป๋าที่อยู่ไม่ไกลออกไปให้วิ่งเข้ามาหา “สหายถังมีอะไรหรือ ? ” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเรียกตัว

“บอกพี่น้องพวกเราให้ระวังภัยในระยะ 3 ลี้”

จางเป๋าดูมีท่าทีตกใจ หากแต่ก็พยักหน้ารับ และก่อนที่จะจากไปถังหยินก็ได้เรียกอีกฝ่ายกลับมา “ในอนาคต ถ้าหากมีการหยุดนานกว่า 5 นาทีให้ส่งสัญญาณบอกทุกคนด้วย เพื่อรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครเข้ามาใกล้พวกเราได้”

“…รับทราบ ! ” ถึงเขาจะพูดแบบนั้น ทว่าจางเป๋าก็ไม่ได้คิดจะไปทันที เขาเอาแต่มองหน้าถังหยินอย่างกระอักกระอ่วน

ชายหนุ่มถาม “มีอะไรที่เจ้าต้องการจะพูดหรือเปล่า ? ”