บทที่ 16

“สหายถัง ข้าไม่เข้าใจว่า 5 นาทีคืออะไร ? ”

ถังหยินตบหัวเพราะความงี่เง่าของตัวเอง เขาจะใช้หน่วยวัดจากโลกก่อนหน้านี้ได้อย่างไรกัน ชายหนุ่มรีบอธิบาย “เอ่อ เอาเป็นให้เวลาหนึ่งก้านธูปก็แล้วกัน”

“อย่างนี้นี่เอง ! ” จางเป๋าเข้าใจและรีบออกไปทันที

ชิวเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ เขาหัวเราะ “นี่เจ้าระแวงเกินไปรึเปล่า ? ถ้าจะพักแค่เวลาธูปดับ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องส่งคนไประวังภัยเลย”

การระแวงคือวิถีชีวิตของถังหยิน “การระมัดระวังตัวสามารถทำให้เรือแล่นในทะเลได้มากกว่า 1 หมื่นปีนะรู้ไหม”

“ฟังดูมีเหตุผลดีนี่ ! ” ชิวเจิ้นพยักหน้าเข้าใจ

พวกเขาได้พักเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่จะมีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทีลนลาน และเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ถังหยินก็รู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเกี่ยวข้องกับศัตรูอย่างแน่นอน เขารีบถามทันที “มีอะไรเกิดขึ้น ? ”

“สหายถัง ท่านรอง… ศัตรูมาจากด้านหลัง ! ” อีกฝ่ายหอบหายใจอย่างหนักระหว่างพูด

“กี่คน ? ” ถังหยินถามอย่างใจเย็น

“ระยะทางมันไกลเกินไป พวกเรานับจำนวนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ดูแล้วคงมีกำลังพลมากกว่า 100,000 ทั้งยังมีม้าด้วย”

มากกว่า 100,000 คน… ถังหยินตัวสั่น ด้วยจำนวนทหารของเขา มันไม่มีทางต่อสู้กับอีกฝ่ายได้แน่ ๆ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจออกคำสั่งกับชิวเจิ้น “ให้พวกเราซ่อนตัวกันก่อน”

“รับทราบ ! ” ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ ชิวเจิ้นก็ยังยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาได้ เด็กหนุ่มพาทุกคนไปซ่อนในพงหญ้าข้างทาง

คนที่ส่งออกไปดูลาดเลาใช้เวลาสักเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมา หลังจากถังหยินและกลุ่มทหารของเขาจัดแจงกลบเกลื่อนร่องรอยตัวเองหมดแล้ว พวกเขาก็พากันซ่อนตัว ก่อนที่จะเห็นทหารขี่ม้ากำลังเดินเข้ามาจากด้านหลัง

เนื่องจากระยะทางไกลเกินไปและสภาพอากาศมืดสลัว ชายหนุ่มจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรชัดเจนมากนัก แต่ด้วยสิ่งที่หน่วยสอดแนมแจ้งมา มันก็พอแล้วที่จะให้ถังหยินรู้ว่าจำนวนศัตรูมีมากขนาดไหน กองทัพฝั่งศัตรูเมื่อมองจากมุมนี้แล้ว มันก็ทำให้เขาเห็นเป็นเงาดำขนาดใหญ่ตลอดเส้นทาง

ชิวเจิ้นยื่นหน้าออกไปมองรอบ ๆ หลังจากที่ไม่พบอะไรก็ได้พูดขึ้น “ทำไมข้าไม่เห็นอะไรเลย ? ”

ถังหยินดึงเด็กหนุ่มลงต่ำแล้วพูดเบา ๆ “อย่าโผล่ออกมา พวกเขาอยู่ใกล้เรามาก ! ”

“อ๊า ! ” ชิวเจิ้นสูดลมหายใจและหมอบต่ำไม่กล้าโผล่ขึ้นมาอีก

กลุ่มคนบนท้องถนนค่อย ๆ เข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับคิ้วของถังหยินเองที่ขมวดมากขึ้นทุกที

ในเวลานี้ชายหนุ่มสามารถเห็นธงประจำกลุ่มแล้ว เบื้องหน้านั่นคือคำว่า ‘ร่ายรำ’ ก่อนจะตามมาด้วยธงอีกมากมายที่โบกสะบัดอยู่ด้านหลัง เมื่อดูจากจำนวนคนที่ขี่ม้าอยู่แล้ว คาดว่าคนพวกนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน

เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ถังหยินก็พลันพบว่าพลทหารของอีกฝ่ายนั้นอยู่ในชุดเกราะดำ นี่พวกเขาเป็นกองทหารเฟิงงั้นเหรอ ? ถังหยินหมอบต่ำและถามชิวเจิ้น “ฝั่งพวกเรามีแม่ทัพคนไหนใช้คำว่า ‘ร่ายรำ’ บ้างไหม ? ”

“ร่ายรำ?” ชิวเจิ้นตอบรับด้วยท่าทางตกใจ “แน่นอนสิ เจ้าถามทำไมกัน ? ”

“ชื่อธงของอีกฝ่ายคือ ‘ร่ายรำ’ ซึ่งเมื่อข้าสังเกตจากชุดเกราะแล้ว คนพวกนี้ก็น่าจะเป็นพวกเฟิง”

“หา ? ” ชิวเจิ้นตะลึงและรีบถาม “หรือว่าจะเป็นคนจากตระกูลอู่ ? ”

มี 4 ตระกูลใหญ่ในแคว้นเฟิง หนึ่งในนั้นให้การสนับสนุนราชสำนักเฟิงอย่างเป็นทางการ ในเมื่อพวกเขาใส่ชุดเกราะและถือธง ‘ร่ายรำ’ อยู่ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะเป็นใครอื่นนอกจากตระกูลอู่ ชิวเจิ้นเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดด้วยความตระหนก “ถ้าเป็นแบบนี้ อีกฝ่ายก็ต้องเป็นพวกเราน่ะสิ ! ”

ถังหยินยักไหล่ เขาไม่ได้สนใจอะไรกับพวกคนใหญ่คนโตอยู่แล้ว แต่ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู งั้นก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่ทันได้รอให้ชิวเจิ้นพูดอะไรแล้วเดินไปยืนกลางถนน

ในเวลานี้คนอื่น ๆ เองต่างก็เห็นอย่างได้ชัดถึงธงที่อีกฝ่ายถืออยู่ และเมื่อเห็นถังหยินยืนอยู่กลางถนน พลทหารที่เหลือซึ่งแอบซ่อนอยู่ก็ได้ตกตะลึงจนหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ก่อนที่พวกเขาจะค่อย ๆ เดินตามกันออกไป

การปรากฏอย่างฉับพลันของกองกำลังนับ 100 ทำให้ทั้งกองทัพหวาดหวั่น พวกเขาพากันหยุดเคลื่อนพลทันทีและเตรียมพร้อมต่อสู้ แต่แล้วพวกเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเป็นคนจากแคว้นเดียวกัน

หลังจากนั้นไม่นานนายทหาร 2 คนที่สวมชุดเกราะสีดำพร้อมเสื้อคลุมสีดำก็ได้วิ่งไปหาถังหยิน เมื่อทั้งคู่เข้ามาใกล้ พวกเขาก็ถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าตกตะลึง

เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ถังหยินก็ทำได้แค่ยิ้มออกมาอย่างเดียว เพราะพวกเขาคือกองทหารที่แตกทัพมารวมตัวกัน ดังนั้นจึงไม่อาจตอบคำถามอะไรได้เลย

ในเมื่อเขาไม่สามารถตอบได้ คนอื่น ๆ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าพวกเขานิ่งเงียบ พลทหารทั้ง 2 คนจึงเริ่มที่จะหมดความอดทน ก่อนที่ 1 ในนั้นจะถามออกมาว่า “ใครคือผู้นำพวกเจ้า ? รีบตามพวกเรามาไปพบแม่ทัพอู่เดียวนี้ ! ”

เมื่อเห็นท่าทีแบบนี้ ถังหยินก็รู้สึกไม่พอใจ

ชิวเจิ้นกลัวว่าถังหยินจะเผลอทำตัวหยาบคาย ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบกอดอกแล้วพูดขึ้น “นี่คือผู้นำกลุ่มของเรา”

ทหารทั้ง 2 คนมองไปที่ถังหยินตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่ายหัว ก่อนจะพูดว่า “มากับพวกเราเดี๋ยวนี้” โดยไม่ทันรอให้ถังหยินได้พูดอะไรพวกเขาก็รีบเดินกลับไปกันก่อน ถังหยินยืนอยู่ในที่ที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หากแต่ดวงตาของเขากลับส่องแสงที่ดูน่าหวาดกลัวออกมา

ชิวเจิ้นเตือนเขาเบา ๆ “ตระกูลอู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจมาก อย่าไปลบหลู่พวกเขาเด็ดขาด ! ยิ่งไปกว่านั้นถ้าการพูดคุยเป็นไปได้ด้วยดี พวกเราก็น่าจะมีโอกาสรอดมากขึ้นไปอีก ! ”

ถังหยินมองไปยังเด็กหนุ่มและพูดขึ้น “มากับข้า ! ”

การพาชิวเจิ้นมาด้วยมันไม่ได้เพื่อช่วยเพิ่มความกล้าให้กับเขา แต่เป็นเพราะถังหยินไม่เข้าใจสถานการณ์ของกองทัพเฟิงในตอนนี้ ซึ่งถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายจับผิดชายหนุ่มได้ละก็ มันคงจะมีผลต่อเหล่าทหารที่ติดตามเขามาด้วย แม้ว่าถังหยินจะไม่สนใจ หากแต่ชิวเจิ้นก็น่าจะช่วยเขาจากปัญหาพวกนี้ได้แน่

ชายหนุ่มติดตามทั้งทหาร 2 นายเข้าไปยังขบวนทัพของอีกฝ่าย คนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว มันก็ช่างต่างกันเหลือเกิน เพราะจากการแต่งตัวที่ดูดีด้วยหมวกสีดำ เกราะสีดำ ผ้าคลุม แถมยังมีดาบที่เอว หอก และโล่ เพียงแค่นี้ก็เห็นได้ถึงความแตกต่างแล้ว

“นี่คงเป็นกองทัพส่วนตัวของตระกูลอู่” ชิวเจิ้นพูดเบา ๆ ระหว่างเดิน หัวใจของเขาเต้นระรัว ถ้าเกิดว่านี่เป็นกองกำลังส่วนตัวของพวกอู่จริงละก็ แม่ทัพของกองกำลังนี้ก็น่าจะเป็นคนจากตระกูลอู่จริง ๆ

ถังหยินไม่ได้แสดงความคิดอะไรออกมา สีหน้าของชายหนุ่มยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน !

พวกเขาทั้งคู่ถูกพาตัวเข้าสู่ขบวนทัพโดยทหารทั้ง 2 คนนั้น ก่อนจะหยุดลงที่หน้าแม่ทัพบนหลังม้า 2 นาย

แม่ทัพทั้ง 2 สวมชุดเกราะสีดำ โดยคนที่อยู่ทางซ้ายมือนั้นเป็นหญิงสาวที่ไม่สวมหมวกเกราะ ปล่อยผมสีดำของตนปลิวไสว ใบหน้าของนางเป็นรูปไข่ที่ขาวดั่งหยก ดวงตางดงามดุจน้ำใส ดูรูปร่างอ่อนแอ ส่วนอีกคนนั้นกลับปิดหน้าปิดตาอย่างมิดชิดด้วยหมวกเกราะจนไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เมื่อเห็นพวกเขาทั้ง 2 คนแล้ว ชิวเจิ้นเดาตัวตนของพวกเขาได้เลย เด็กหนุ่มตะลึงจนต้องคุกเข่าทันที “ผู้ใต้บังคับบัญชา ชิวเจิ้น ขอต้อนรับท่านแม่ทัพทั้ง 2 ”

ในขณะที่เขากำลังพูด ชิวเจิ้นกัดฟันพูดด้วยความตื่นเต้น และดึงถังหยินให้ทำตามเขา

ถังหยินเองก็ตะลึง เมื่อถูกเด็กหนุ่มดึงแขนเสื้อจนได้สติ ชายหนุ่มก็ทักทายอีกฝ่ายโดยไม่คุกเข่า “ถังหยินคือชื่อของข้า”

เมื่อเห็นว่าถังหยินยืนนิ่งไม่ได้คุกเข่า ทหารบนหลังม้าทั้ง 2 ก็พากันขมวดคิ้ว ชื่อถังหยินนั้นไม่ใช่ที่คุ้นหูมากนัก อีกฝ่ายดูจะไม่ใช่นายทหารตำแหน่งสูงมากเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่พวกระดับสูงเองก็ยังต้องก้มหัวให้กับตระกูลอู่ หญิงสาวที่งดงามบนหลังม้ายิ้มออกมา นางชี้ไปยังทหารด้านหลังซึ่งอยู่ไกลออกไปแล้วถาม “พวกที่อยู่ตรงนั้นคือทหารของเจ้าเหรอ ? ”

เสียงของหญิงสาวนั้นอ่อนหวานเสียจนทำให้หัวใจของหลาย ๆ คนรู้สึกคันคะเยอ หากแต่ชิวเจิ้นกลับเริ่มเหงื่อไหลเสียแล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาเคยได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับหญิงสาวนางนี้มานานแล้ว

ไม่มีความแตกต่างระหว่างชนชั้นในโลกของถังหยิน เฉกเช่นเดียวกับหยานหลี่ที่เป็นคนเก็บตัว พวกเขานั้นไม่ค่อยพบเจอกับผู้คนมากนัก และแม้พลังของชายหนุ่มในตอนนี้จะถือว่าอ่อนแอมาก แต่ถังหยินก็ไม่ได้สนใจจะข้องเกี่ยวกับใครมากมายในแคว้นเฟิง ดังนั้นเขาจึงแทบจะไม่สนใจคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย “เห็นก็น่าจะรู้แล้วนี่นา”

รูปร่างหน้าตาที่สกปรก และน้ำเสียงที่ดูหยิ่งยโสของเขาไม่ได้กระตุ้นความสนใจของหญิงสาวเลย นางถามอย่างสงสัย “เจ้าหมายถึงอะไร ? ”

“พวกเขาคือกองทหารที่แตกทัพ ข้าก็แค่รวบรวมคนพวกนี้เข้ามาให้ครบเพื่อจัดตั้งกองกำลังชั่วคราวเท่านั้น”

“โอ้ ! ” ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเข้าใจและพยักหน้า “น่าจะเป็นการลำบากสำหรับเจ้าที่รวบรวมพวก ‘หนีตาย’ กันมานะ งั้นให้เรารับช่วงต่อเองเถอะ ! ”

ความหยิ่งยโสของถังหยินได้ดึงดูดความไม่พอใจของหญิงสาวนางนี้เข้าเสียแล้ว ดังนั้นนางเน้นคำว่า ‘หนีตาย’ เสียงดังฟังชัดเลยทีเดียว

โดยไม่ต้องรอให้ถังหยินพูด ชิวเจิ้นก็พูดต่อ “ท่านแม่ทัพอู่ พวกเรานั้นสู้กับพวกหนิงมาตลอดทาง”

“โอ้ ? ” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น สายตาของนางมองไปยังเด็กหนุ่ม

ชิวเจิ้นพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เมื่อวานพวกเราจัดการพวกหนิงไป 100 กว่านาย แถมยังโค่นหนึ่งในหัวหน้ากองของอีกฝ่ายมาด้วย”

จัดการหัวหน้ากอง ? นี่มันแปลกประหลาดมาก คนบนหลังม้าทั้ง 2 เริ่มขยับตัว ชิวเจิ้นจะไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปแน่ ๆ เขาหยิบเศษผ้าออกมาแล้วพูดขึ้น “นี่คือตราประจำของทหารกองนั้น ท่านแม่ทัพอู่โปรดพิจารณา”

หนึ่งในทหารส่วนตัวของนางรับมันมา ก่อนจะยื่นให้หญิงสาว เมื่อเห็นของตรงหน้า นางก็พลันลดหัวลงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมอบมันให้กับคนอื่นพร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาบาง “ถ้างั้น…”