ภาคที่ 1 บทที่ 23 เบาะแส

มู่หนานจือ

องครักษ์ได้ยินแล้วก็รู้สึกกลุ้มใจเป็นอย่างมาก

นี่มันคนเบื้องบนทะเลาะกัน แต่คนเบื้องล่างเป็นฝ่ายรับกรรมจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นขันทีหวังหรือหวังจ้านซื่อจื่อชินเอินป๋อต่างก็หาเรื่องไม่ได้ทั้งนั้น!

หากรู้ตั้งแต่แรกว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ เขาน่าจะเปลี่ยนเวรกับคนอื่น

เขารีบเอ่ยว่า “มิกล้า! มิกล้า!” แล้วถอยไปข้างหนึ่ง ปล่อยให้หวังจ้านกับเจียงเซี่ยนออกไปข้างนอก

หวังจ้านพาเจียงเซี่ยนเดินตรงไปยังรถม้าที่จอดอยู่ใต้ต้นหลิวฝั่งตรงข้ามประตูเสินอู่อย่างรวดเร็ว เขาเดินไปพลาง ก็ยังเอ่ยกับเจียงเซี่ยนเสียงเบาไปพลางด้วยว่า “ปกติแล้วเรื่องในวังก็ล้วนหลอกลวงเบื้องบนและเปิดเผยความจริงกับคนเบื้องล่างทั้งนั้น บางครั้งจะปิดก็ปิดไม่อยู่เช่นกัน มิสู้บีบบังคับและอุดปากคนพวกนี้ไว้ดีกว่า”

“ข้าเข้าใจ” เจียงเซี่ยนตอบ พลางเกาะมือหวังจ้านและเหยียบที่วางเท้าขึ้นรถม้าไป

ตอนนั้นที่นางควบคุมวังทั้งหก ไม่รู้ว่าขันที นางใน และคนของสำนักพระราชวังโกงกินไปเท่าไร เส้นด้ายหลอดหนึ่งที่ของคนอื่นราคาสามเฟินมาถึงในมือนางก็กลายเป็นราคาสองตำลึง แล้วนางจะพูดอะไรได้? จะไปตรวจสอบใคร? ดังนั้นในฐานะผู้ปกครองก็ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งในและนอกราชสำนักนี้ก็เหมือนครอบครัวหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีคัมภีร์ที่อ่านยากอยู่กี่เล่ม คนที่ไม่เคยดูแลครอบครัวจะไม่รู้ ส่วนคนที่เคยดูแลครอบครัวมาแล้วเหมือนนาง ก็เกรงว่าจะไม่มีใครยอมไปทนทุกข์นั้นอีก

รถม้าแล่นห่างจากประตูเสินอู่ไปอย่างเร็วมาก สวนกับรถม้าหลังคาแบนที่ล้อมด้วยม่านผ้าดิ้นสีเหลืองเข้ม

รถม้าหลังคาแบนหยุดจอดอย่างรวดเร็ว หลี่เชียนเลิกม่านขึ้นและยื่นหน้าออกมา มองไปยังรถม้าม่านผ้าดิ้นสีแดงและน้ำเงินที่อยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า “หือ นั่นรถม้าของตระกูลชินเอินป๋อไม่ใช่หรือ?”

ชายที่ขับรถดูอายุราวสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำตาล คิ้วดกดำและปากหนา  ท่าทางซื่อสัตย์จงรักภักดี

พอได้ยินที่หลี่เชียนเอ่ย เขาก็หันกลับไปมองครั้งหนึ่ง สายตายาวไกลและเฉียบคม พลางเอ่ยว่า “เป็นรถม้าของตระกูลชินเอินป๋อขอรับ”

หลี่เชียนเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยว่า “เว่ยสู่ ข้าจำได้ว่าวันนี้หวังจ้านซื่อจื่อชินเอินป่อเหมือนไม่เข้าเวร…”

ชายที่ถูกเรียกว่าเว่ยสู่คิดแล้วก็เอ่ยว่า “นายน้อย วันนี้หวังจ้านซื่อจื่อชินเอินป๋อหยุด พรุ่งนี้เที่ยงถึงจะมีเวรขอรับ”

หลี่เชียนได้ยินก็ขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “เว่ยสู่ บอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้ว ที่นี่คือเมืองหลวง จะเรียกข้าว่านายน้อยอีกไม่ได้ จะเรียกก็เรียกคุณชาย”

เว่ยสู่ทำเสียง “เหอะ” เบาๆ เหมือนไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังเรียก ‘คุณชาย’ อย่างเชื่อฟัง

หลี่เชียนพยักหน้าอย่างพอใจ สายตาทอประกาย และสั่งเว่ยสู่ “ตามรถม้าของตระกูลชินเอินป๋อไป…พวกเราก็ไปดูสักหน่อยเถอะ!”

เว่ยสู่แปลกใจ และพึมพำว่า “คุณชาย ยามอู่[1]ท่านต้องไปที่วังคุนหนิงนะขอรับ”

“ไม่เป็นไร” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากเวลาไม่พอ พวกเรากลับมาก่อนก็ได้”

เว่ยสู่ติดตามหลี่เชียนตั้งแต่อายุสิบห้า เขารู้ว่าหลี่เชียนเป็นคนเฉลียวฉลาด จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก เขาดึงบังเหียนม้าสีแดง หันหัวกลับและตามรถม้าของหวังจ้านไป

ม้าของหวังจ้านไปที่ประตูเต๋อเซิ่งอย่างราบรื่นตลอดทาง

เว่ยสู่มองคนขับรถที่ขับรถม้าให้หวังจ้าน มือเหมือนพัดที่ทำจากใบต้นปาล์ม เส้นเลือดปูดโปน แข็งแรงมาก แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาที่ไม่มีความสำคัญ กลัวว่าเขาจะรู้ตัวว่าถูกคนสะกดรอยตาม จึงสะบัดแส้และรีบแซงรถม้าของหวังจ้านไปอยู่ข้างหน้า

คนขับรถม้าของหวังจ้านก็ไม่สงสัยจริงๆ และเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่ฝ่ายซักล้างตั้งอยู่

เว่ยสู่ที่อยู่ข้างหน้าคิดไม่ถึงว่าหวังจ้านจะเลี้ยวอย่างกะทันหัน จึงอ้อมไปรอบหนึ่งถึงเข้าตรอกที่ฝ่ายซักล้างตั้งอยู่อีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าตรอกนั้นไม่ยาว ถนนเส้นเดียวตรงไปถึงสุดตรอก รถม้าของหวังจ้านก็จอดอยู่หน้าประตูฝ่ายซักล้างอย่างง่ายๆ พวกเขาไม่มีที่ซ่อนแม้แต่ที่เดียว จึงจำเป็นต้องทะลุผ่านตรอกไปอย่างรวดเร็ว และจอดรถม้าทิ้งไว้หน้าประตูโรงเตี๊ยมที่นับวันกิจการก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก เขาเข้าไปสั่งชากาหนึ่ง หลี่เชียนเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบบนรถม้า สวมหมวกสักหลาด กดปีกหมวกให้ปิดบังใบหน้า และเข้าไปในตรอกฝ่ายซักล้าง

หวังจ้านกับเจียงเซี่ยนลงจากรถม้าแล้ว

เจียงเซี่ยนแต่งตัวเป็นผู้ติดตามของหวังจ้าน ในมือยังแสร้งทำเป็นถือของว่างอยู่หลายกล่องด้วย และไปยังที่พักของหลิวชิงหมิงขันทีฝ่ายซักล้างกับหวังจ้านทันที

หลิวชิงหมิงเหยียบส้นรองเท้า พลางผูกสายรัดเสื้อผ้าและวิ่งมาอย่างเร่งรีบ “ใต้เท้าหวัง ท่านมาได้อย่างไรขอรับ? ดูอากาศหนาวนี่สิ ทำไมท่านถึงไม่ส่งคนมาบอกข้าล่วงหน้าก่อนสักหน่อยล่ะ? ข้าจะได้ทำหม้อไฟแล้วพวกเราสองพี่น้องก็ดื่มเหล้ากันสักสองจอก!” เขาเอ่ยจบก็ตวาดขันทีที่อยู่ข้างกายเสียงดัง “ยังไม่รีบไปจัดเหล้ากับอาหารที่หอหรูอี้มาสักโต๊ะอีก!”

ขันทีวิ่งสะเปะสะปะ

หวังจ้านแกล้งทำเป็นเอามือไพล่หลังและยืดอก ท่าทางหยิ่งยโส และเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลิวไม่จำเป็นต้องเกรงใจ วันนี้ข้ารับคำสั่งมา ไม่อาจชักช้าได้ วันหลังค่อยมารบกวนพี่หลิว เดี๋ยวข้าจะเชิญพี่หลิวไปดื่มเหล้าและกินแกงเนื้อแพะที่หอหรูอี้เอง!”

หลิวชิงหมิงตอบว่า “ได้” ติดกันหลายครั้ง และถามอย่างประจบประแจงว่า “ใต้เท้าหวัง ขันทีเฉิงเป็นอย่างไรบ้าง? ใกล้จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาแล้ว เขาคงยุ่งมากเลยใช่หรือไม่? เขากวางอ่อนที่ข้าส่งไปครั้งที่แล้วเขาชอบหรือไม่? จะให้ข้าคิดหาทางทำอะไรส่งไปให้เขาอีกหรือไม่?”

สีหน้าของหวังจ้านก็หมองลงเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนก้มหน้าอยู่ และพยายามอดทนเอาไว้ถึงไม่หัวเราะออกมา

ได้ยินขันทีหลิวคนนี้เรียกว่าหวังจ้านว่า ‘ใต้เท้าหวัง’ ทีแรกนางยังคิดว่าหลิวชิงหมิงรู้จักหวังจ้าน ตอนนี้ดูเหมือนไม่รู้ว่าหวังจ้านพูดอะไรกับขันทีหลิวไปบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าขันทีหลิวเข้าใจผิดคิดว่าหวังจ้านเป็นลูกชายบุญธรรมหรือหลานชายบุญธรรมของขันทีเฉิงแล้ว

นางปรายตามองหวังจ้านครั้งหนึ่ง

หวังจ้านทำเป็นมองไม่เห็น และเอ่ยกับหลิวชิงหมิงว่า “ของนั้นข้าส่งให้ขันทีเฉิงแล้ว เขาชอบมาก บอกว่าผ่านช่วงนี้ไปแล้วทุกคนมาดื่มชากัน”

หลิวชิงหมิงดีใจจนออกนอกหน้า เขาค้อมตัวเชิญหวังจ้านกับเจียงเซี่ยนเข้าไปในห้องข้างๆ และสั่งขันทีที่อยู่ข้างกาย “ให้พวกนางเอาเสื้อคลุมลายนกยูงสีน้ำเงินกับดอกเป่าเซียงไหมทองที่เอามาให้พวกนางปะชุนครั้งที่แล้วมา ใต้เท้าหวังต้องนำกลับวัง”

ขันทีขานรับและออกไป

หลิวชิงหมิงเชิญหวังจ้านดื่มชา

เจียงเซี่ยนรู้แล้วว่าหวังจ้านใช้ข้ออ้างอะไรในการหาตัวเซียวหรงเหนียงโดยไม่แพร่งพรายเรื่องราวออกไป

ฝ่ายซักล้างรับผิดชอบซักและลงแป้งเสื้อผ้าของชนชั้นสูงในวังหลัง ดังนั้นจึงมีนางในที่เชี่ยวชาญการปะชุนเสื้อผ้ามาก ฝีมือของนางในเหล่านี้ดีกว่าช่างเย็บปักถักร้อยของกองพระภูษาด้วยซ้ำ และเนื้อผ้าแบบนกยูงไหมทองนี้ก็หาได้ยากมาก เป็นของบรรณาการ หากคนรับใช้ข้างกายชนชั้นสูงในวังไม่ระวังและทำเสื้อขาด อยากแอบปะชุน ไม่ให้ใครดูรอยขาดบนเสื้อผ้าออก ก็แอบเอามาปะชุนที่ฝ่ายซักล้างที่อยู่นอกวังจะดีที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝีมือดี แถมยังหลีกเลี่ยงข่าวรั่วไหลออกไปได้ด้วย

หวังจ้านทำงานละเอียดรอบคอบ และรู้วิธีทำให้คนวางใจจริงๆ

เจียงเซี่ยนมองออกไปข้างนอกผ่านประตูและหน้าต่างลายน้ำแข็งแตกที่เกาะกระจกอยู่

ขันทีคนหนึ่งพานางในสองคนที่ว่านอนสอนง่ายเดินถือห่อผ้าลายเปี้ยนตี้จินสีแดงเข้มมาอย่างหวาดกลัว

ไม่รู้ว่าขันทีคนนั้นพูดอะไรกับนางในสองคนนั้นไปบ้าง นางในสองคนเงยหน้าพร้อมกัน

เจียงเซี่ยนเบิกตาโตทันที

นางในคนหนึ่งท่าทางอายุสามสิบปี หน้าดำและผอม ส่วนอีกคนอายุสิบห้าสิบหกปี ผิวขาว หางตาตก ทั้งผอมและตัวเล็ก ท่าทางไร้ชีวิตชีวา ไม่ใช่เซียวหรงเหนียงแล้วยังจะเป็นใคร?

ทว่าว่าเอวนาง…รัดผ้าแถบสีเขียวอยู่ บางมาก สองมือก็ปิดได้ แล้วจะตั้งครรภ์หกเดือนอยู่ได้อย่างไร!

เจียงเซี่ยนทำอะไรไม่ถูก

ผลักบานประตูและเดินออกไป

สายตาของเซียวหรงเหนียงกับนางในอีกคนจับจ้องอยู่ที่นางตลอด แล้วเหลือบตาลงอย่างตื่นตระหนก

เจียงเซี่ยนอยากเรียก ‘เซียวหรงเหนียง’ สักครั้งพอดี เพื่อยืนยันว่าตนเองจำคนผิดหรือไม่

ถึงอย่างไรสำหรับนางในชาติก่อน เซียวหรงเหนียงก็ตายไปสี่ปีแล้ว

นางกลัวตนเองจะจำผิด

เพียงแต่ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปาก ขันทีที่พานางในสองคนเข้ามาก็ยิ้มพลางเอ่ยกับนางแล้วว่า “ท่านมากับใต้เท้าหวังใช่หรือไม่? สองคนนี้เป็นคนที่รับคำสั่งให้ช่วยใต้เท้าหวังปะชุนเสื้อคลุมนกยูงไหมทองตัวนั้น”

———————————–

[1] ยามอู่ = ช่วงเวลา 11.00-12.59 น.